คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 3)


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    เรื่องของการอบรมเจริญกุศล เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ก็จะต้องประกอบพร้อมกันไปทุกอย่างเท่าที่สามารถจะเกิดได้ มิฉะนั้นก็จะเป็นผู้ที่หนาแน่น ด้วยอกุศล และยากจริงๆ ที่จะละคลายอกุศลนั้นได้

    ข้อความใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อรรถกถา สุสิมสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สุสิมะ มรรคก็ตาม ผลก็ตาม ไม่ใช่เป็นผลของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ แต่มรรคหรือผลนี้เป็นผลของวิปัสสนา เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนา เป็นความสำเร็จของวิปัสสนา

    เพราะฉะนั้น ใครที่อยากจะทำฌาน รู้ได้เลยว่าทำไมถึงอยาก แสดงให้เห็น อยู่แล้วว่า ไม่ได้มุ่งหมายที่จะออกจากวัฏฏะ

    โสตาปัตติมรรคจิต โสตาปัตติผลจิต สกทาคามิมรรคจิต สกทาคามิผลจิต อนาคามิมรรคจิต อนาคามิผลจิต อรหัตตมรรคจิต อรหัตตผลจิต ไม่ใช่เป็นผล ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ แต่มรรค หรือผลนั้นเป็นผลของวิปัสสนา เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนา เป็นความสำเร็จของวิปัสสนา ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจหนทางที่จะอบรมเจริญวิปัสสนา การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ

    ถ. เรื่องมิจฉาปฏิปทา สัมมาปฏิปทา เป็นเรื่องละเอียด สมมติว่าในขณะที่เจริญสติปัฏฐาน มีสภาพธรรมปรากฏ และเราระลึกในสภาพธรรมนั้น การระลึก ในสภาพธรรมนั้นขณะเจริญสติปัฏฐานใหม่ๆ กำลังของปัญญาก็ยังไม่มี ขณะนั้น จะหวังออกจากวัฏฏะหรือ

    สุ. ก็เป็นผู้มีความเพียรที่รู้ว่า ขณะใดที่สติเกิด ขณะนั้นก็ค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวที่ไม่ใช่ธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม อวิชชาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่าง เป็นธาตุแต่ละชนิด

    ถ. ก็รู้ในสภาพธรรม ระลึกในสภาพธรรม รูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง เล็กๆ น้อยๆ กำลังของปัญญาก็ยังไม่ทราบหรอกว่า จะออกจากวัฏฏะได้หรือไม่

    สุ. ถ้าระลึกแล้ว เข้าใจขึ้น จะไม่ถึงหรือ

    ถ. ถึง นั่นแน่นอน แต่ตอนเจริญใหม่ๆ ยังไม่มีกำลังที่จะออกไปไหน

    สุ. ไม่มีกำลัง แต่ก็ไม่ทำหนทางที่ผิด ไม่ไปสู่ทางผิด

    ถ. ก็สะสมไป

    สุ. ไม่ใช่เรื่องเร่งรัด แต่เป็นเรื่องอบรม และเป็นเรื่องสัจจะ คือ ความจริง เป็นความตรงต่อตัวเอง ถ้าปัญญายังอยู่ในขั้นของการฟัง ก็จะให้ถึงขั้นประจักษ์แจ้งไม่ได้ ถ้าสติเริ่มระลึก เพียงการเริ่มต้นที่อบรม ก็จะให้ถึงขั้นประจักษ์แจ้งไม่ได้ อีกเหมือนกัน แต่เมื่อเหตุมีสมควรแก่ผลเมื่อไร การประจักษ์แจ้งลักษณะของ สภาพธรรมก็ไม่มีใครที่จะยับยั้งได้ เป็นเรื่องของการรอคอยกาลเวลาด้วยการอบรมเจริญความรู้โดยไม่ต้องสนใจกับผล เพราะไม่ว่าจะสนใจหรือไม่สนใจก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร นอกจากการหวังรอด้วยความเป็นตัวตน แต่ถ้ารู้ว่าเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ทุกขณะ ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไร ได้ยินที่ไหน คิดนึกอะไร สติปัฏฐานก็สามารถ เกิด และรู้ได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ตราบใดที่ยังมีอกุศลอยู่ มีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด ก็ต้องเกิด แต่ก็ มีปัจจัยที่จะให้กุศลจิตเกิด และมีปัญญาที่รู้หนทางซึ่งจะทำให้ระลึกรู้ลักษณะของ สภาพธรรมด้วย เพราะฉะนั้น ชีวิตตามความเป็นจริงก็ต้องมีทั้งอกุศล และกุศล โดยผู้นั้นเองเป็นผู้รู้ตามความเป็นจริง มีอกุศลประเภทใดเกิดก็รู้ มีกุศลประเภทใดเกิดก็รู้ เมื่อมีปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นก็รู้ตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเอง หรือจะถามว่า แล้วเวลาวิปัสสนาญาณเกิดนั้นรู้หรือเปล่า ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าปัญญาคือวิปัสสนาญาณ ที่ปัญญาจะไม่รู้นั้น เป็นไปไม่ได้

    ถ้าเป็นการอบรมเจริญในทางที่ไม่ทำให้เกิดความรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็จะสงสัย แม้แต่ลักษณะของวิปัสสนาว่า แล้วเวลาที่ เป็นวิปัสสนาญาณจะรู้หรือเปล่า ซึ่งนั่นก็เพราะไม่เคยรู้อะไรเลย และเข้าใจว่า เมื่อนั่งไปๆ วิปัสสนาญาณก็จะเกิด จึงทำให้สงสัยว่า เมื่อเป็นวิปัสสนาญาณแล้ว จะรู้ไหม เพราะว่าระหว่างนั้นไม่มีการรู้อะไรทั้งสิ้น

    ส่วนใหญ่ผู้ที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมในตอนต้น ก็จะมีความสงสัย คือ ไม่แน่ใจว่าขณะนั้นสติกำลังระลึกที่ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม ซึ่งเป็น สิ่งที่ปกติธรรมดา เช่น ในขณะนี้ เวลาพูดถึงเรื่องสติปัฏฐานขอให้ทราบว่า ไม่จำกัดเวลา และไม่จำกัดสถานที่ ผู้ที่ตรัสรู้ธรรมแล้วรู้ว่า ไม่มีอะไร นอกจากนามธรรม และรูปธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา แต่ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่า ธรรมมีอยู่ล้อมรอบทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และแม้จะได้ฟังอย่างนี้ก็ยากที่จะเข้าใจว่า ทางตาในขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ส่วนในขณะนี้ ที่กำลังเห็นปกติธรรมดาอย่างนี้ เป็นสภาพรู้ เป็นลักษณะรู้ เป็นธาตุรู้

    นี่เฉพาะทางเดียว คือ ทางตา ซึ่งตลอดชีวิตก็มีการเห็นพร้อมที่จะให้พิสูจน์ พร้อมที่จะให้ปัญญารู้ชัดตามความเป็นจริง แต่ที่ยากเพราะว่าคุ้นเคยกับอวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมทางตาซึ่งเห็นมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น ก็คุ้นเคยที่จะหลงลืมสติ ที่จะไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏทางตา

    แต่ขณะใดที่มีการระลึกได้ แม้ในขณะนี้ที่กำลังเห็น และค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นจะไม่สงสัยในลักษณะของรูปธรรมว่า เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ และในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ซึ่งมีสิ่งที่กำลังปรากฏก็รู้ว่า ต้องมีสภาพรู้ เพราะฉะนั้น ที่เคยไม่รู้ว่าสภาพรู้เป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ฟังว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ก็ต้องค่อยๆ ชินที่จะระลึกได้ ที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ในขณะนี้ปรากฏกับสภาพรู้ อาการรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงเห็น ขณะนี้ที่เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นลักษณะรู้

    ปัญญาค่อยๆ เพิ่มขึ้น ในขณะนี้อาจจะมีบางท่านที่กำลังฟัง และรู้ว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และแทนที่จะไปนึกถึงเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็กำลังรู้ตรงสภาพที่กำลังปรากฏ และก็รู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง และขณะนี้ก็มี สภาพเห็นซึ่งเป็นของจริง และสติก็ดับ ทุกอย่างดับ และทุกอย่างที่เกิดมีชีวิตคืออายุ ที่สั้นมาก น้อยมาก เมื่อดับไปแล้วก็มีการได้ยิน เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือ ถ้าชินต่อการระลึกลักษณะของสภาพธรรมก็จะไม่ไกล แต่สักประเดี๋ยวก็ไกลไปอีกแล้ว คือ หลงลืมสติเป็นเรื่องเป็นราวของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือมิฉะนั้นทางใจก็คิดนึกเรื่องอื่น แทนที่จะระลึก ที่ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาซ้ำอีก เพราะเมื่อกี้ระลึกนิดหนึ่ง และหลงลืม ไปคิดเรื่องอื่น

    ถ้าจะชินก็คือว่า ระลึกอีกทางตาที่กำลังเห็น ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือทางหู ยังไม่เคยระลึกหรืออาจจะระลึกบ้างขณะที่ได้ยินเสียงก็รู้ว่า เสียงขณะที่กำลังปรากฏก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งแน่นอน ปรากฏกับจิตที่กำลังได้ยินเสียง เมื่อยังไม่ชิน สักประเดี๋ยวก็หลงลืมไปอีก ไปคิดเรื่องอื่นอีก เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็น ผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ่อยๆ เนืองๆ และเป็นปกติจริงๆ คือ ไม่มีความคิดว่า กำลังปฏิบัติ เพราะว่าการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของจิตเจตสิก ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นหน้าที่ของสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ในหนทางปฏิบัติว่า สภาพธรรมมีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และ การที่จะรู้จริง ก็เพราะมีความเข้าใจถูกในขั้นการฟัง เป็นปัจจัยให้มีการระลึกได้ ในขณะที่กำลังเห็นบ้าง กำลังได้ยินบ้าง กำลังคิดนึกบ้าง

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2054

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2055


    นาที 10.28

    สำหรับจุดประสงค์ในการฟังพระธรรม ทุกท่านคงไม่ลืมว่า เพื่ออบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะถึงแม้จะได้ฟังแล้วฟังเล่า ฟังบ่อยๆ ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ทุกขณะเป็น สภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ตลอดชีวิตเป็นธรรมหมด แต่อวิชชาไม่สามารถรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ก็มีอัตตสัญญา มีความจำ สิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุต่างๆ

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟังเพื่อให้เข้าใจชัดในลักษณะของสภาพธรรม เพื่อการฟัง และการไตร่ตรองจะทำให้เกิดสัมมาสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลัง ปรากฏในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง ถ้าไม่ฟังธรรมโดยละเอียด มีชีวิตไป วันหนึ่งๆ ก็ไม่รู้ว่า แต่ละขณะที่มีชีวิตเป็นไปในทุกวันๆ นั้นเป็นไปในมิจฉาปฏิปทา หรือสัมมาปฏิปทา ตามข้อความใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ปฏิปทาสูตร ที่ได้กล่าวถึงแล้วในคราวก่อนซึ่งแสดงว่า

    ชีวิตคือนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ นั้น ถ้าเป็นไปในทาง ฝ่ายเกิดคือเป็นไปในปฏิจจสมุปปาทแล้ว เป็นมิจฉาปฏิปทา แต่ถ้าเป็นไปในทาง ฝ่ายดับ จึงจะเป็นสัมมาปฏิปทา

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2056


    นาที 12.40

    แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การมีชีวิตเป็นอยู่ในวันหนึ่งๆ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดก็จะไม่ทราบเลยว่า ชีวิตที่เป็นไปในทางเกิด เป็นไปตามปฏิจจสมุปปาท เริ่มจากวันหนึ่งๆ มีอวิชชามากหรือน้อย

    ปฏิจจสมุปปาท เป็นธรรมฝ่ายเกิด เริ่มด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งทุกท่านที่ได้ฟังเรื่องปฏิจจสมุปปาทคือธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นเป็นไป ก็คงจะทราบอันดับต้น คือ อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร

    และการที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปปาท ควรจะพิจารณาองค์ของปฏิจจสมุปปาท ทีละองค์ในชีวิตประจำวันเพื่อจะได้เข้าใจจริงๆ เพราะถ้าจะให้กล่าวถึงปฏิจจสมุปปาทโดยลำดับทั้งหมดโดยตลอดก็ไม่ยาก แต่จะไม่ได้พิจารณาว่า ในขณะไหนเป็น ปฏิจจสมุปปาทองค์ไหน อย่างไร เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร

    วันนี้มีอวิชชาหรือเปล่า ไม่ใช่เรื่องชื่อที่จะกล่าวว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ขณะนี้เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิตในขณะนี้จึงจะสามารถเข้าใจว่า ในขณะที่กุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิดก็ตาม ขณะนั้นมีเจตนา ความจงใจ ความตั้งใจเกิดขึ้น แม้แต่เพียงมีความต้องการเกิดขึ้นยินดีพอใจติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นก็มีเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นความจงใจ เป็นความตั้งใจ เป็นความต้องการติดข้องในขณะนั้น โดยที่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงก็จะ ไม่มีใครรู้ความละเอียดของจิตซึ่งเกิดขึ้นแต่ละขณะว่าประกอบด้วยเจตสิกอะไรบ้าง แต่ให้ทราบว่า กุศลจิตเกิดพร้อมกับกุศลเจตนา อกุศลจิตเกิดพร้อมกับอกุศลเจตนา และเจตสิกอื่นๆ และขณะที่เป็นกุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนานั้น อวิชชาเป็นปัจจัย

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ปฏิจจสมุปปาทก็เป็นไปอยู่เรื่อยๆ คือ เป็นฝ่ายเกิด แม้แต่ความคิดซึ่งคิดอยู่เสมอ ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งไม่ให้เจตนานั้นเกิดขึ้นเป็นไป ในกุศล และอกุศล ทุกคนปล่อยชีวิตไปตามกระแสของสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้พิจารณาว่า ควรจะดับสภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่คิดที่จะดับ ปฏิจจสมุปปาทก็ไม่มีทางที่จะหมดหรือดับสิ้นไปได้ ก็ต้องมีกุศล และอกุศลเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยอยู่นั่นเอง

    ที่ว่ากุศลจิต และอกุศลจิตเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ก็เพราะว่าไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นต้องเป็นอวิชชา ซึ่งเป็นปัจจัยให้คิดไป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่พิจารณาพระธรรม ไม่มีสติที่ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ให้ทราบว่า ชีวิตในขณะนั้นๆ เป็นไปทางฝ่ายเกิด เป็นไปกับปฏิจจสมุปปาท เป็นไปทางฝ่ายมิจฉาปฏิปทา แต่ขณะที่กำลังฟังให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรม และพิจารณาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม หรือในขณะที่ สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมตามปกติในขณะนี้ ขณะนั้นชีวิตก็เป็นไปทางฝ่ายดับ คือ สัมมาปฏิปทา มิฉะนั้นไม่มีการออกจากสังสารวัฏฏ์เลย เป็นไปตามธรรมฝ่ายเกิดทั้งนั้น

    สำหรับปฏิจจสมุปปาท มี ๑๒ องค์ คือ

    อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมีนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส

    เป็นชีวิตจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดมาแล้ว และทุกชีวิตกำลังก้าวไปสู่ความแก่ และความตาย และระหว่างนั้นจะพ้นไปจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าจะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้เริ่มเข้าใจเรื่องของ สภาพธรรมฝ่ายเกิดซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นไปละเอียดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็จะสามารถรู้หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดับปฏิจจสมุปปาทได้

    สำหรับอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ขณะที่กำลังคิดเป็นไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นกุศล เป็นอกุศล แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงเป็นปัจจัยแก่สังขาร เมื่อถึงวาระที่จะจากโลกนี้ไป สังขารนั้นๆ คือกุศลกรรม และอกุศลกรรมนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ

    ปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้ก็มีแล้ว เมื่อปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้มี ก็เป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรม และรูปธรรม นามธรรม คือ เจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต และไม่ใช่มีแต่จิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นขณะแรก ต้องมีปฏิสนธิกัมมชรูป คือ รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้นด้วย

    นี่ก็เข้าใจปฏิจจสมุปปาทได้ ไม่ใช่เพียงแต่ท่องเฉยๆ แต่เข้าใจแล้วว่า เมื่อมี ปฏิสนธิวิญญาณคือปฏิสนธิจิต เจตสิกก็เกิดร่วมกับปฏิสนธิจิตนั้นโดยกรรมเดียวกันเป็นปัจจัยทำให้วิบากเจตสิกเกิดร่วมกับวิบากจิตซึ่งทำปฏิสนธิกิจ และกรรมนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูปเกิดร่วมด้วย สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ซึ่งเกิดในครรภ์จะมี กัมมชรูป ๓ กลุ่ม คือ

    กายทสกะ กลุ่มของรูป ๑๐ รูป ซึ่งมีกายปสาทรวมอยู่ด้วย

    หทยทสกะ กลุ่มของรูป ๑๐ รูป ซึ่งภายหลังจะเป็นรูปร่างที่เราสมมติเรียกกันว่าหัวใจ โดยจิตอาศัยข้างในหัวใจเป็นที่เกิด แต่ตอนที่เกิดขณะแรกนั้นยังไม่มีรูปร่าง เพียงแต่เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดซึ่งมองไม่เห็น และกลุ่มนั้นกลุ่มเดียวเป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต

    อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ภาวทสกะ กลุ่มของรูป ๑๐ รูป ซึ่งมีภาวรูป คือ อิตถีภาวรูป หรือปุริสภาวรูป

    นี่ย้อนไปถึงตอนที่เพิ่งเกิดจะได้รู้ว่า ตอนที่เกิดจริงๆ มีสังขาร คือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม กรรมเดียวเท่านั้นในบรรดาหลายๆ กรรมที่ทำในชาติหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมที่ทำมานานแล้วก็เป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ และชาติหน้าที่จะเกิดต่อไปก็จะเป็นเพราะกรรมหนึ่งกรรมใดที่ได้ทำในชาตินี้ หรือที่ได้ทำแล้วในชาติ ก่อนๆ ก็ได้ และในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นก็จะมีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรม และมีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้วิญญาณคือปฏิสนธิจิตจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป

    การเข้าใจปฏิจจสมุปปาท ซึ่งบางท่านอยากจะเข้าใจมากๆ โดยที่ยังไม่ได้ศึกษาปรมัตถธรรมเลย ก็ขอให้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปปาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจะต้องเข้าใจปรมัตถธรรมก่อน คือ ต้องเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป จึงจะสามารถเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ว่าในส่วนของปฏิจจสมุปปาท หรือในส่วนของอริยสัจจธรรม

    ด้วยเหตุนี้ขณะที่เกิด ปฏิสนธิจิตจึงเป็นปัจจัยแก่เจตสิกซึ่งเป็นนาม และ กัมมชรูปซึ่งเกิดร่วมด้วย

    จิตเกิดดับตั้งแต่เกิดเรื่อยๆ รูปก็เกิดดับตั้งแต่เกิดสืบๆ กันมา แต่ไม่มีใครรู้ว่า การเกิดดับสืบต่อของจิตตั้งแต่ปฏิสนธิเมื่อไรจะเป็นสฬายตนะ ถ้าเพียงแต่จิตเกิดดับ และไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะดีไหม เป็นไปได้ไหม ในเมื่อจิตเป็นสภาพรู้

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีการรู้อารมณ์ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพียงแต่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่อเมื่อภายหลังจึงจะมีนามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ คือ เมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้น ก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจเป็นที่รู้อารมณ์ทางใจ เพราะฉะนั้น อายตนะ ๖ สฬายตนะ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ก็มีการเกิด และผู้ที่เกิดมาก็มีจิตเจตสิกรูปเกิดดับ แต่จะไม่รู้เลยว่า เมื่อถึงกาลเวลาใดที่จะเป็นปัจจัย ก็จะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย เพราะว่านามรูปซึ่งมีนั้นก็เกิดดับสืบต่อจนถึงกาลที่จะเป็นอายตนะ

    ถ. อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ สังขารตัวนี้คืออะไร วิญญาณคืออะไร นามรูปคืออะไร ผมยังสงสัย แต่ตอนสิ้นชีวิตนั้นรู้ สังขารนั้นเป็น อภิสังขาร เป็นเจตนาที่จะเกิดวิญญาณ และนามรูป

    สุ. ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปปาท หมายความถึงอภิสังขาร ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร ๑ อปุญญาภิสังขาร ๑ อเนญชาภิสังขาร ๑ ได้แก่ เจตนาเจตสิก ดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะว่าเป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้ ทุกชีวิตที่มีการเกิด และคงต้องมีการ เกิดอีกๆ ไม่จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ

    วิญญาณซึ่งได้แก่ปฏิสนธิจิตนั้น ขณะที่เกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั่นเองจะมีเจตสิกกับกัมมชรูปเกิด และเกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าถึงกาลที่เป็นสฬายตนะหรืออายตนะที่จะรู้อารมณ์อื่น นอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต

    ถ. ระหว่างเกิดกับตาย ระหว่างนี้ทั้งหมดก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    สุ. วันนี้มีอกุศลจิตไหม

    ถ. สำหรับผมมีมากมายเลย

    สุ. มีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าไม่ใช่กุศลที่เป็นการศึกษาธรรมให้เข้าใจหนทาง ที่จะดับ ขณะนั้นต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้แม้เป็นกามาวจรกุศล เป็นไป ในทาน เป็นไปในศีล แต่ไม่ใช่การศึกษาธรรมให้เข้าใจลักษณะของธรรม ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    ถ. ตรงนี้เข้าใจ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นโมหะ

    สุ. ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ นี่เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิดต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    ถ. ไม่เสมอ เพราะบางครั้งเป็นกุศล

    สุ. แม้กุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรม หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังเป็นไป ในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ

    ถ. เข้าใจ ต่อไปอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร คือ ปรุงแต่ง และสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ไม่เอาตอนตาย ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ จะหมายความว่าอย่างไร ตามปกติ

    สุ. เริ่มจากปฏิสนธิจิต ต่อจากนั้นก็วิบากจิตอื่นๆ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าวิบากจิตทั้งหลายต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรม วิบากจิตจะเกิดไม่ได้เลย

    ถ. วิญญาณตัวนี้คือวิบากจิต ต่อไปบอกว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถามว่า วิบากจิตอย่างไรจึงให้เกิดนามรูป

    สุ. จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย เจตสิกนั้นคือนาม เพราะฉะนั้น วิบากจิตก็เป็นปัจจัยให้วิบากเจตสิกเกิด และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ จิตอื่นทั้งหมดเป็นปัจจัยให้รูปเกิด

    ถ. ยังไม่เข้าใจตรงนี้

    สุ. ทุกขณะที่จิตเกิด จิตนั้นจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย เว้นจิต ๑๐ ดวงเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ถ้ากล่าวกว้างออกไป อรูปฌานวิบากก็ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด และจุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปเกิด แต่ถ้าพูดถึงชีวิตปกติธรรมดาของทุกคน ก็เฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด

    ถ. สรุปว่า วิญญาณคือจิตที่ก่อให้เกิดนามรูปนั้น เจตสิกเป็นนาม รูป ก็คือจิตตชรูปเท่านั้นหรือ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2057


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 199
    8 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ