พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฎฐาน (ตอนที่ 2)


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    สุ. วันหนึ่งๆ ความคิดของแต่ละคนมากมายนับไม่ถ้วน มีใครนับความคิดของท่านเองได้บ้างไหมว่า คิดเรื่องอะไรบ้างในวันหนึ่งๆ ก็นับไม่ได้ เมื่อนับไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงวิธีอะไรหรือเปล่า ในเมื่อความคิดของแต่ละคนเกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตาจริงๆ โดยสังขารขันธ์ โดยการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้น แต่ละขณะจิตเป็นสภาพธรรมที่ เป็นอนัตตา โดยขณะที่คิดเป็นเพียงสภาพของนามธรรมชนิดหนึ่งที่คิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไร

    วันนี้ทุกคนต้องคิดเรื่องผม ถูกไหม เวลาเห็นผม เพราะอะไร ทุกคนมีผม ก็ต้องคิดเรื่องผม ต้องคิดแน่ๆ แต่จะคิดอย่างไร ห้ามได้ไหม เมื่อห้ามไม่ได้ บางคนเป็นกุศล บางคนเป็นอกุศล แล้วแต่ แต่ไม่ว่าจะเป็นการคิดที่เป็นกุศลโดยเห็นความเป็นปฏิกูลละคลายความติดความพอใจก็ตาม ก็ต้องไม่ลืมว่า สติปัฏฐาน คือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด คือ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ

    คนที่กำลังพอใจในผมที่สวย สติปัฏฐานเกิดได้ไหม หรือห้ามว่าเกิดไม่ได้ สติปัฏฐานเกิดได้ไหม กำลังพอใจในผมที่สวย สติปัฏฐานระลึกลักษณะสภาพของแข็งที่กระทบสัมผัสได้ ระลึกลักษณะของสี สิ่งที่ปรากฏทางตาได้ ระลึกถึงลักษณะความคิดในสัณฐานได้ ระลึกลักษณะของโสมนัส ความยินดีพอในใจในขณะนั้นได้ ส่วนคนที่ท่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่สติปัฏฐานไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะสามารถบรรลุอริยสัจจธรรมได้ไหม

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ศึกษาพิจารณาธรรมโดยละเอียด โดยนัยของกุศล ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมถะ คือ ความสงบ ดับกิเลสไม่ได้ เพราะไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา สะสมการสังเกต การพิจารณา การรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตามปกติ และเมื่อไม่รู้ ต้องเริ่มสะสมการระลึกรู้ และการสังเกตลักษณะของสภาพธรรม จะได้รู้ว่า ถ้าระลึกถึงด้วยความเป็นปฏิกูล จิตอาจสงบ แต่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลส มิฉะนั้นต้องมีผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก่อนพระผู้มีพระภาค เพราะว่ามีผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนาถึงขั้นฌานที่เป็นอรูปฌานขั้นสูงสุด แต่ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดถึงผม และเกิดโลภะ ใครคิดถึงผม และเกิดโทสะ ใครคิดถึงผม และเกิดกุศล ใครคิดถึงผมจิตสงบเพราะกุศล ใครคิดถึงผม และสติระลึกลักษณะของสภาพปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น หนทางใดที่จะทำให้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    แต่ไม่ใช่หมายความว่า ทุกคนต้องคิดเหมือนกัน นี่ไม่มีในพระไตรปิฎกเลย เพราะว่านานาจิตตัง วันหนึ่งๆ ทุกคนมีความคิดมากมาย เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี แต่ทุกคนจะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงเมื่อสติปัฏฐานเกิดระลึกลักษณะแม้ขณะที่คิด ไม่ว่าจะคิดด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต ด้วยโลภะหรือด้วยโทสะก็ตาม ขณะนั้น เป็นสติปัฏฐานได้ เพราะว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ที่บรรลุโดยไม่ท่อง ไม่สาธยาย มีมากกว่า ถ้าอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นได้ในแต่ละสูตร

    . เรื่องของการท่อง อย่างการสาธยายอาการ ๓๒ และขันธ์ ๕ โดยอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด คือ ให้แยบคายขึ้น แจกแจงให้ ละเอียดขึ้นทุกทีๆ โดยให้รู้สภาวธรรมต่างๆ การท่องอย่างนั้นบ่อยๆ จะเป็น เหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดหรือเปล่า

    สุ. พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมว่าให้ท่องหรือเปล่า ถ้าเห็นว่า การท่องมีประโยชน์ ขณะนี้ทุกท่านไม่ควรฟังพระธรรม จงมาท่องกันเถอะในขณะนี้ เพื่อสติปัฏฐานจะได้เกิด แต่ทำไมพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้สติของแต่ละบุคคลเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าเป็นโดยนัยว่าการท่องมีประโยชน์ พระธรรมทั้งหมดจะไม่เกื้อกูล และ ไม่มีความจำเป็นเลย เป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะแสดงเรื่องของจิต หรือเจตสิก หรือรูป หรือนิพพาน หรือแม้แต่พระสูตร หรือพระวินัย ก็เป็นสิ่งไม่จำเป็น ควรที่จะท่องๆ เพื่อให้เกิดปัญญาหรือว่าเกิดสติ

    . อย่างพระที่สวดอภิธรรม และศึกษา หมั่นสาธยายบ่อยๆ ซึ่งคล้ายกับการท่อง จะเป็นประโยชน์อะไรกับพระภิกษุ

    สุ. เวลาที่ฟังพระธรรม ประโยชน์ที่ท่านผู้ฟังได้รับคืออะไร

    . ก็แล้วแต่ อาจจะทำให้สติเกิดได้ อาจจะทำให้เข้าใจสภาวธรรมได้ด้วย แล้วแต่ความเข้าใจของผู้ฟังแต่ละคน

    สุ. สิ่งสำคัญที่สุด คือ ฟังเพื่อเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจถูกซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ จะทำให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง แต่ถ้า ไม่เข้าใจ อย่างเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือสภาพธรรมต่างๆ นามธรรม รูปธรรมต่างๆ เพียงบอกว่าเห็นเป็นนาม สีเป็นรูป จะมีประโยชน์อะไรไหม

    ผู้ที่เป็นสาวก ได้ฟังพระธรรมในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ปัญญาของท่านเหล่านั้นไม่น้อยเลย ท่านต้องมีความเข้าใจแม้ว่าทรงแสดงพระธรรมโดยย่อ โดยสั้น แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังติดตามเพื่อฟังส่วนที่ละเอียด เพื่อประโยชน์ต่อการที่จะได้เข้าใจสภาพธรรมนั้นๆ และสติปัญญาของท่านก็เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับขั้น ซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดขึ้นๆ ไม่ใช่เห็นว่า แค่นี้พอแล้ว หรือสามารถที่จะท่องไปๆ และปัญญาจะเกิดได้

    ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดเป็นแน่ จนกระทั่ง คนในยุคนี้สมัยนี้คิดว่าละเอียดเกินไปด้วยซ้ำ ใช่ไหม เวลาอ่านพระไตรปิฎกก็บอกว่า ทำไมซ้ำๆ อย่างนี้ กล่าวแล้วกล่าวอีก ข้อความที่กล่าวไว้ในสูตรนั้น ก็ยังกล่าวไว้ ในสูตรนี้อีก แต่ไม่ได้มีพยัญชนะที่บอกว่าให้ท่อง แต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง การสาธยายที่มีผู้เรียนถามอาจารย์ ไม่ใช่ท่องโดยไม่รู้ความหมาย ตามหลักฐานเดิมท่านบอกว่า ท่อง หรือสาธยาย อย่าลืม คนอินเดียสมัยพุทธกาลนั้นพูดภาษามคธ หรือพูดภาษาบาลี ฉะนั้น เขารู้ความหมาย เขาเข้าใจ แต่คนไทย พูดภาษาบาลี ฟังเท่าไรๆ ก็ไม่รู้ สวดอภิธรรมผมได้ยินมาตั้งแต่เล็ก ยังไม่รู้ความหมายเลย กุสลา ธัมมา หรือ เหตุปัจจโย ... ก็ไม่รู้ความหมาย สวดกันมากมาย มีคนฟังสวด และสำเร็จไปแล้วบ้างไหม เพราะฉะนั้น สวดแล้วไม่ได้อะไร เพราะไม่เข้าใจความหมาย

    คำว่า สาธยาย หรือ ท่อง หลักฐานดั้งเดิมท่านบอกว่า ต้องเข้าใจความหมาย ถ้าไม่เข้าใจความหมาย สิ่งที่ท่องไปนั้นก็เป็นแบบโบราณว่า นกแก้ว นกขุนทอง

    มีมนต์อยู่บทหนึ่งซึ่งอาจารย์เห็นว่าลูกศิษย์คนนี้ไม่ฉลาด แต่มีความกตัญญู ก็อยากจะเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้อาศัยมนต์นี้ไปเลี้ยงชีพ จึงสอนมนต์ให้ท่อง ให้จำได้ มนต์นั้นมีว่า ฆเตติ ... ผมเห็นเขาเอามาพิมพ์แจกว่าเป็นมนต์ป้องกันอันตราย ลูกศิษย์คนนี้เมื่อกลับมาแล้ว ญาติพี่น้องก็ต้อนรับอย่างดี ถือว่าเป็นผู้เรียนสำเร็จกลับมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีโจรเข้ามาขโมยของตอนดึก มาณพนั้นก็ท่องมนต์ตามปกติ โจรได้ยินเปิดเลย เพราะโจรฟังรู้เรื่องมนต์บทนี้ แต่คนไทยฟังไม่รู้ ความหมายคือ พยายามเข้าไปเถอะๆ ถึงแกจะพยายามอย่างไร ฉันก็รู้

    โจรคิดว่า มีคนคอยจ้องดูอยู่ ก็หนีไป ไม่กล้าเข้าไปในบ้าน มนต์บทนี้ถ้า เพียงท่อง ท่องให้ตาย สมัยนี้โจรไม่กลัวหรอก เพราะโจรฟังไม่รู้เรื่อง

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่จะได้จากการท่อง คือ ความเข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ ท่องเท่าไรๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์

    . ลืมบอกไปว่า ผู้ที่กล่าวเรื่องนี้เขาบอกว่า ให้ศึกษาในสำนักของอาจารย์ให้เชี่ยวชาญชำนาญจนเข้าใจในอรรถ และพยัญชนะ สามารถแยกได้ละเอียดถึงขันธ์ ๕ ทั้งหลาย และหมั่นสาธยายบ่อยๆ จะช่วยให้สติเกิดมากขึ้น จริงหรือเปล่า

    สุ. ขอให้ท่านผู้ฟังคิดดูว่า ขณะที่กำลังท่อง จะละความยึดถือว่าเป็นตัวตนได้เมื่อไร และเพราะอะไร เพราะว่าสติปัฏฐานต้องเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นว่าเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังท่อง รู้อะไร จึงจะละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน ที่กล่าวว่าไปศึกษาที่สำนักอาจารย์จนกระทั่งมีความเข้าใจละเอียดดีแล้ว จึงควรท่องเพื่อให้สติเกิด แต่ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่าจุดประสงค์ของการ ที่จะท่องก็เคลื่อนแล้ว โดยการที่ว่าต้องการให้สติเกิด

    เรื่องของโลภะ เป็นเรื่องที่ละยากที่สุด ใครก็ตามที่หาวิธีหนึ่งวิธีใดที่จะทำให้ สติเกิดบ่อย เกิดมาก ผู้นั้นจะไม่เจริญปัญญา เพราะไม่รู้ว่าขณะนั้นเพราะอะไร จึงแสวงหาทางที่จะให้สติเกิดมาก แต่ถ้าเป็นการศึกษาพระธรรม และเข้าใจจริงๆ รู้ในลักษณะที่เป็นอนัตตาจริงๆ แม้แต่เพียงฟังปัญหานี้ ก็จะต้องพิจารณาว่า ในขณะที่กำลังท่อง สติต้องระลึกอะไร และปัญญาต้องรู้อะไร จึงจะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

    ต้องรู้ว่าขณะที่กำลังคิดเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่หวังรอท่องเพื่อให้สติ ไประลึกลักษณะของเห็นที่กำลังท่อง หรือไประลึกลักษณะของได้ยินที่กำลังท่อง หรือไประลึกรู้ลักษณะของกลิ่น ของรส ของโผฏฐัพพะที่กำลังท่องเรื่องขันธ์ ๕ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ท่องไปเพื่อหวังคอยให้สติไประลึก

    แต่เมื่อเป็นสติปัฏฐาน ต้องสามารถแยกโลกของปรมัตถ์กับโลกของบัญญัติได้ เพราะว่าในขณะนี้ ทุกคน ปรมัตถธรรมปรากฏทางตา เล็กน้อย สั้นมาก หลังจากนั้นก็บัญญัติ ถ้าไม่คิดไม่มีบัญญัติ มีแต่ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ ทางตา ปรมัตถธรรมปรากฏ ในขณะที่ไม่ได้คิดเลย เป็นปรมัตถธรรม แต่เมื่อเห็นเป็นสัตว์ บุคคล วัตถุสิ่งต่างๆ ขณะนั้นคิด

    ขณะที่ได้ยินเสียงทางหู เสียงเป็นปรมัตถธรรม แต่ขณะที่กำลังเข้าใจคำ หรือความหมายของคำที่พูด ขณะนั้นเป็นจิตที่คิด คือ มโนทวารวิถีจิตที่เกิดต่อจาก ทางตาบ้าง มโนทวารวิถีจิตที่เกิดต่อจากทางหูบ้าง มโนทวารวิถีจิตที่เกิดต่อจาก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนั่นเอง เพราะฉะนั้น ปัญญาจะต้องสามารถรู้ว่า ปรมัตถธรรมที่ปรากฏไม่ใช่ขณะที่จิตคิด เป็นเรื่องของปรมัตถธรรมนั้นๆ

    ขณะที่กำลังคิดเรื่องผม สติไม่ได้ระลึกลักษณะของปรมัตถธรรม แต่เป็น การคิด ขณะนั้นเป็นตัวตนที่กำลังคิด เพราะฉะนั้น ที่จะละความเป็นตัวตนที่จะเป็นสติปัฏฐานได้ ทุกขณะ ไม่ใช่แต่ขณะที่คิดเรื่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือขณะที่พยายามจะท่อง ซึ่งผิดไปแล้ว เรียกว่า เพี้ยนไป คลาดเคลื่อนไป ด้วยความต้องการ ที่จะหาวิธีที่จะทำให้สติเกิดมากๆ ซึ่งนั่นคือลักษณะของโลภะ

    ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ต้องรู้ว่า เพียงคิด ขณะไหนก็ตาม ขณะนั้นเป็น สภาพนามธรรมชนิดหนึ่งที่จะต้องรู้ว่า แม้ความคิดก็ดับ เพราะไม่ได้มีความคิดติดต่อไปตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน เพราะเหตุใด ก็เพราะว่าปรมัตถธรรมกำลังปรากฏ สลับกับความคิด

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1667


    นาที 12.50

    ทางตาที่เห็นเป็นปรมัตถธรรมปรากฏ และคิด ทางหูที่ได้ยินเป็น ปรมัตถธรรมปรากฏ และคิด เพราะฉะนั้น ความคิดหรือจิตที่คิดทางมโนทวารวิถี ที่เป็นมโนทวารวิถีจิตนั้นก็ดับด้วย ไม่ใช่ไม่ดับ และปัญญาจะรู้ว่า คิดไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ว่าคิดเรื่องอะไรทั้งสิ้น

    แต่ไม่ใช่เป็นการไปท่องโดยหวังรอที่จะให้สติปัฏฐานเกิด และไประลึกลักษณะของขันธ์หนึ่งขันธ์ใด ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจะต้องรู้ว่า ขณะที่คิดนั่นเองเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง แยกออกจากปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานระลึกลักษณะของปรมัตถธรรมที่เป็นรูปธรรมที่ปรากฏทางตา หรือว่าจิตที่คิด ซึ่งเป็นนามธรรมที่กำลังคิดเรื่องบัญญัติต่างๆ จึงจะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่ ไปท่อง ไปสงบ และไม่รู้ลักษณะของจิตที่คิดทางมโนทวารซึ่งสลับกับทางปัญจทวาร

    . ผมเข้าใจอย่างนี้จะถูกหรือเปล่า คือ สภาวธรรมมีอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะไปท่อง ถ้าศึกษา และเข้าใจอรรถ และพยัญชนะแล้ว ขณะใดสติระลึกรู้ว่าหลงลืมสติ ขณะนั้นก็สามารถพิจารณาสภาพธรรมได้ เพราะสภาพธรรมมีตลอดเวลา และระลึกรู้ได้ ไม่จำเป็นต้องไปท่องพิจารณาไล่ไปตามลำดับ

    สุ. ถูกต้อง และตรวจสอบได้กับมหาสติปัฏฐานสูตรทั้ง ๔ สติปัฏฐาน ไม่ได้บอกไว้เลยว่าให้ท่อง แต่ให้สติระลึกลักษณะของกาย ลักษณะของเวทนา ลักษณะของจิต ลักษณะของธรรม คือ ในขณะนี้เองที่กำลังปรากฏ

    ความคิดนึกนี่ ไม่ต้องไปส่งเสริม ทุกคนคิดจนกระทั่งปิดบังลักษณะของ ปรมัตถธรรมแล้ว แม้ว่าปรมัตถธรรมมีก็ไม่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมว่า เป็นปรมัตถธรรม เพราะว่าความคิดไปยึดถือปรมัตถธรรมที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว โดยวิปลาสที่เห็นแตกต่างไปจากสภาพธรรมตามความเป็นจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปสร้างวิธีหนึ่งวิธีใดขึ้นมาเป็นแบบที่จะยึดถือ ที่จะติดข้อง ที่จะกั้นไม่ให้สติเกิดในขณะนี้โดยที่ยังไม่ทันท่อง

    ทางตากำลังเห็น สติก็ระลึกได้ ทางใจที่คิด ก็รู้ว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งคิด และจะรู้ได้ว่าโลกของบัญญัติอยู่ที่โลกของความคิดทั้งหมด แต่โลกของปรมัตถ์ก็ สลับกับโลกของบัญญัติด้วย ไม่ใช่มีแต่ความคิดอย่างเดียว

    ในขณะที่ท่อง ไม่ได้รู้โลกของปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดทั้ง ๖ ทางเลย แต่มุ่งไปด้วยความหวังว่าจะท่องเพื่อให้สติเกิด โดยที่ไม่รู้ว่า ถ้าสังขารขันธ์ คือ การฟังจนกระทั่งเข้าใจในสภาพที่เป็นอนัตตาแล้ว ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่คิด ไม่ใช่ในขณะที่ท่อง สติปัฏฐานก็เกิดโดยความเป็นอนัตตา เพราะว่า จะท่องหรือไม่ท่องก็คือความคิด ซึ่งแล้วแต่ว่าจะคิดเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ผู้ฟัง ขอเพิ่มเติมเรื่องสาธยาย คือ เรื่องของการเจริญสติปัฏฐานหรือ การเจริญวิปัสสนานี้ เป็นเรื่องการอบรมเจริญ ต้องอบรม คือ ฝึกฝน ฝึกจิต ต้องฝึกอยู่เรื่อย พระธรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจประกอบ และต้องฝึก ถ้าท่อง สติปัฏฐานเกิดไม่ได้ จะต้องระลึก สภาพธรรมต้องระลึก จะไปใช้คำมาท่องไม่ได้ ต้องฝึก ต้องอบรม ใช้ท่องไม่ได้ แม้กระทั่งการบรรยายของอาจารย์ที่นี่ ก็มีผู้ที่ท่องได้คล่อง แต่เวลาอาจารย์ถามว่า เห็นมีไหม ก็ไม่เข้าใจ การฝึกอบรมเจริญสติปัฏฐาน สำคัญมาก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องท่อง

    สุ. ขออนุโมทนาที่ให้ข้อคิดในเรื่องของธรรม ซึ่งไม่ควรจะค้างไว้เพียงแค่ว่าเป็นการฝึกอบรมหรือสะสม แต่ต้องรู้ให้ชัดยิ่งไปกว่านั้นอีกว่า ฝึกอบรมสะสมอะไร ที่จะเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งก็คือฝึกอบรมสะสมการสังเกต การพิจารณา การระลึก การรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    คือ ปัญญาที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน จะต้องประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมว่าเป็นนามธรรม จึงไม่ใช่เรา รู้ในลักษณะของรูปธรรมว่าเป็นรูปธรรม จึงไม่ใช่เรา เวลานี้ทั้งๆ ที่นามธรรมก็เกิด เห็นก็เป็นนามธรรม ได้ยินก็เป็นนามธรรม คิดนึกก็เป็นนามธรรม รูปธรรมก็มี คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นรูปธรรม เสียงก็เป็นรูปธรรม แต่ทำไมไม่ปรากฏ ก็เพราะว่ายังไม่ได้สะสมอบรมการสังเกต การระลึกได้ การศึกษา การพิจารณาพร้อมสติ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ กำลังปรากฏ

    เมื่อกล่าวถึงว่าเป็นการอบรม เป็นการสะสม ก็ควรที่จะได้เพิ่มเติมว่า เป็นการอบรมสะสมการระลึกรู้ พร้อมการสังเกต พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าเป็นโดยลักษณะนี้ ก็ตัดปัญหาเรื่องท่องไปได้เลย ใช่ไหม เพราะในขณะนั้น ไม่ใช่การสะสมการสังเกต การระลึกรู้ การพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ผู้อบรมเจริญสติปัฏฐานสามารถรู้ได้ว่า ขณะไหนเป็นสติปัฏฐาน ขณะไหนเป็นการคิดเรื่องนามธรรม และรูปธรรม

    . ก่อนได้มาฟังพระธรรม เวลาถูกเขาหมิ่นประมาท กล่าวคำหยาบด่าว่า เราเดือดร้อนมาก เกิดการทะเลาะวิวาท ต่อมาเมื่อฟังพระธรรมบ่อยๆ นานๆ เข้า ยิ่งได้อ่านศึกษาเรื่องอภิธรรม ก็รู้ว่ามีแต่รูปกับนาม เวลาถูกคนอื่นหมิ่นประมาทด่าว่า เกิดนึกขึ้นได้ว่า นั่นเป็นเพียงรูปกับนามเท่านั้น เสียงนั้นเป็นเพียงจิตตชรูป นามนั้นเป็นโทสมูลจิต เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย นึกได้อย่างนี้แล้ว ความเดือดร้อนก็น้อยลง เวลาที่นึกได้อย่างนี้ เป็นสติหรือเปล่า

    สุ. เป็นสติที่ระลึกได้ และจะเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรมจริงๆ ว่า ไม่ใช่ว่าจะต้องมีสติปัฏฐานอยู่ตลอดเวลา แต่สติจะเกิดโดยการที่ระลึกได้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็ตาม ในวันหนึ่งๆ ถ้าในขณะที่อกุศลจิตเกิด และสติไม่ระลึกเลย เช่น บางวันหรือทุกวันก็ได้ ตั้งแต่เช้าตื่นมาทุกคนชินกับกระแสของอกุศล อกุศล คือ โลภะ ต้องการตั้งแต่ลืมตา ทุกอาการกิริยาการเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความต้องการทั้งสิ้น แต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเป็นโลภะ เป็นอกุศล หรือว่า เคยรู้สึก

    ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งขณะที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม หรือขณะที่กุศลจิตไม่เกิด ทราบไหมว่า ขณะนั้นเป็นชีวิตประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยอกุศล ไม่เคยรู้เลย เป็นกระแสของอกุศล จนกระทั่งสติระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นอกุศล ขณะนั้นสติก็เป็นธรรมเครื่องกั้นกระแสของอกุศลเมื่อระลึกได้

    เวลาได้ยินคำพูดที่ไม่พอใจ เป็นคำสบประมาท ซึ่งแต่ก่อนนี้จะต้องไหลไปตามกระแสของอกุศล คือ ความไม่พอใจ แต่เมื่อสติเกิดระลึกได้ นั่นคือสติเป็นเครื่องกั้นกระแสของอกุศล

    เพราะฉะนั้น จึงเห็นคุณของสติว่า จำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะว่าสติเกิด จึงสามารถรู้ว่า สิ่งใดควร และสิ่งใดไม่ควร

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1668


    นาที 21.50

    บัญญัติเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไม่ใช่สภาวธรรม นี่เป็นเหตุผลที่จะต้องรู้ว่า เหตุใดบัญญัติจึงเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานไม่ได้ เพราะว่าสติปัฏฐานหมายความถึงสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งได้แก่นามธรรมหรือรูปธรรม จนกว่าปัญญาจะประจักษ์แจ้งในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ต้องมีลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้น และดับไปที่ปัญญาจะต้องรู้ชัด จึงจะละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้

    เพราะฉะนั้น จะต้องพิจารณาเรื่องของบัญญัติโดยละเอียดบ่อยๆ เข้าใจเรื่องของบัญญัติเพิ่มขึ้น จนกระทั่งทำให้สติสามารถละความติดในบัญญัติเพื่อที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมเพิ่มขึ้น

    บัญญัติธรรมคืออะไร

    บัญญัติธรรม คือ เรื่องราวที่จิตคิดนึกไปต่างๆ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นจิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์

    ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ขณะใดที่จิตไม่มีปรมัตถธรรม ๔ เป็นอารมณ์ ขณะนั้นจิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์

    และในวันหนึ่งๆ จะทราบโดยสติระลึกว่า ขณะใดมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ และขณะใดมีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ถ้าสติไม่เกิด บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรมก็ ปนกัน ยากที่จะรู้ชัดได้จริงๆ ว่า ในขณะนี้กำลังมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ หรือว่ากำลังมีบัญญัติเป็นอารมณ์ เนื่องจากการไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของปรมัตถธรรม จึงไม่สามารถรู้ความต่างกันของขณะที่กำลังมีปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์ หรือว่ากำลังมีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว จึงเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องราวต่างๆ แท้ที่จริง ในขณะที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ทั้งหมดในขณะนั้นเป็นบัญญัติทั้งสิ้น

    การศึกษาพระธรรม จะต้องศึกษาจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ในชีวิตประจำวัน วันนี้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมอะไรบ้าง นี่เป็นเครื่องทดสอบว่า สามารถแยกรู้ปรมัตถธรรมกับบัญญัติในขณะที่เป็นอารมณ์ได้บ้างหรือยัง

    ถ้าในวันนี้สติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ก็จะรู้ได้ว่า ปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ มีลักษณะปรากฏ แม้ว่าจะไม่นึกถึงคำ ถึงเรื่อง ถึงชื่อของ ปรมัตถธรรมนั้น ลักษณะของปรมัตถธรรมนั้นๆ ก็มี เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ในวันนี้ หรือแม้แต่เดี๋ยวนี้เอง ขณะใดมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ และขณะใด มีบัญญัติเป็นอารมณ์

    ทางตา มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ และมีบัญญัติเป็นอารมณ์หลังจากที่ จักขุทวารวิถีจิตดับไปแล้ว

    ทางหู ขณะที่เสียงเท่านั้นปรากฏ ยังไม่ได้คิดถึงความหมายเลย ขณะนั้น มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ แต่เมื่อโสตทวารวิถีดับไปแล้ว หลังจากนั้นก็มีบัญญัติ เป็นอารมณ์

    บัญญัติธรรมกับปรมัตถธรรมที่เป็นอารมณ์ จะสลับกันในวันหนึ่งๆ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถ้าสติไม่ระลึกจะแยกไม่ออกเลย แม้แต่ในขณะที่กำลังเห็น ในขณะนี้ เริ่มที่จะเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานที่จะรู้ว่า ขณะใดเป็นปรมัตถ์ และขณะใดเป็นบัญญัติ

    ทางตา เป็นเครื่องตรวจสอบการได้ฟังพระธรรมมาเป็นเวลานาน และการที่ สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง ทางกายบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ลิ้นบ้าง ใจบ้าง ตาบ้าง ก็เพื่อที่จะได้รู้ว่า ความรู้ในลักษณะของ สภาพปรมัตถธรรมเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

    มีท่านผู้ฟังที่ใคร่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้บ้างไหม เรื่องของวันนี้ รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมอะไรบ้าง หรือว่าเป็นบัญญัติไปหมดทั้งวัน ทั้งๆ ที่ ปรมัตถธรรมมี ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่เห็นจะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ยินก็จะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ จากเสียงที่ได้ยินไม่ได้ จะไม่มีการทรงจำคำ และความหมายของคำไว้เลย

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ที่คิด อาจจะไม่ทราบว่า คิดถึงเรื่องสิ่งที่เห็นทางตา คิดถึงเสียงที่ได้ยินทางหู คิดถึงกลิ่นที่รู้ได้ทางจมูก คิดถึงรสที่ลิ้มได้ทางลิ้น คิดถึงสิ่งที่กระทบสัมผัสกายได้ นอกจากนั้น แม้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านี้ จะไม่ปรากฏ จะไม่กระทบ แต่ใจก็ยังติดตามคิดถึงเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดยเป็นเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่เป็นปรมัตถธรรม แต่เป็นบัญญัติ เป็นเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ทั้งหมด

    วันหนึ่งๆ บัญญัติเป็นอารมณ์มากมาย จนกว่าจะแหวกกระแสของบัญญัติ ที่เป็นอารมณ์ และระลึกตรงลักษณะของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อจะได้รู้ ด้วยตนเองว่า ขณะใดมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ และขณะใดมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ทางทวารไหน

    ทางตา ข้อที่จะสังเกตมีหลายอย่างที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของปรมัตถธรรม ว่าต่างกับบัญญัติที่คิดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็คือ น่าที่จะคิดพิจารณาถามตัวเองว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาพูดได้ไหม อาจจะไม่เคยคิด มาก่อน แต่เป็นชีวิตประจำวันหรือเปล่า ทุกวันๆ แต่ถ้าจะย้อนถามเพื่อที่จะให้คิดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้พูดได้ไหม

    ผู้ที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาจะตอบถูก แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาอาจจะตอบไม่ตรงก็ได้ เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้คิดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาพูดได้ไหม ร้องเพลงได้ไหม

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1668


    นาที 30.17

    แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาทุกวันๆ ที่ยึดถือว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ต่างๆ บุคคลนั้นบุคคลนี้กำลังพูด กำลังร้องเพลง กำลังเคลื่อนไหว กำลังทำกิจ การงานต่างๆ ให้ทราบว่า ทั้งหมดเป็นบัญญัติทั้งนั้น

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1669


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 199
    8 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ