ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 18


    ไม่ทราบว่าท่านผู้ฟัง มีข้อสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่า ในเรื่องของสหชาตปัจจัย และอัญมัญญปัจจัย คือปัจจัยที่ ๖ และที่ ๗ ถ้าไม่มี ก็ขอผ่านไปถึงปัจจัยที่ ๘ แล้วก็อาจจะย้อนกลับไปทบทวนเรื่อยๆ ถึงปัจจัยต้นๆ

    สำหรับปัจจัยที่ ๘ คือ “นิสสยปัจจัย”

    นิสสย หมายความถึงธรรมที่เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยของปัจจยุปบันนธรรม ไม่คำนึงถึงว่า จะเกิดก่อน หรือเกิดทีหลัง เพราะฉะนั้น จึงต่างกับสหชาตปัจจัย ถ้าเป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ปัจจัยและปัจจยุปบันน ต้องเกิดพร้อมกัน นั่นคือ ลักษณะของธรรมที่เป็นสหชาตปัจจัย

    ถ้าเป็นอัญญมัญญปัจจัยแล้ว ปัจจัยต้องอาศัยปัจจยุปบันนธรรมด้วย และปัจจยุปบันนธรรมต้องอาศัยปัจจัย นั่นคือ อัญญมัญญปัจจัย

    แต่สำหรับ “นิสสยปัจจัย” ไม่ได้เพ่งเล็งถึงว่า จะเกิดพร้อมกัน หรือว่าจะเกิดก่อน หรือจะเกิดหลัง แต่หมายถึง สภาพธรรม ซึ่งเป็นที่อาศัยของปัจจยุปบันนธรรม

    เหมือนกับต้นไม้ต้องอาศัยแผ่นดิน จึงจะตั้งอยู่ได้ หรือว่า จิตรกรรม คือภาพเขียนต่างๆ สีต่างๆ ก็ต้องอาศัยแผ่นผ้า ฉันใด “นิสสยปัจจัย” คือธรรมซึ่งเป็นที่อาศัยของธรรมอื่น มีทั้งหมด ๑๑ หมวด คือ

    หมวดที่ ๑ ปรมัตถธรรม มี ๔ จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ นิพพานปรมัตถ์

    สำหรับหมวดที่ ๑ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ เป็นนิสสยปัจจัยของจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ หมายความว่า จิตเป็นปัจจัยที่อาศัยของเจตสิก เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีจิต เป็นนิสสยปัจจัย เป็นที่อาศัยแล้ว เจตสิกเกิดไม่ได้ โดยนัยเดียวกัน เจตสิกก็เป็นที่อาศัยของจิต ถ้าปราศจากเจตสิก จิตก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เจตสิกก็เป็นนิสสยปัจจัยของจิต

    โดยความหมายของการเกิดพร้อมกัน คือเป็นปัจจัยโดยต้องเกิดพร้อมกัน เป็นสหชาตปัจจัย

    โดยความหมายว่าต่างอาศัยพึ่งพิงซึ่งกันและกัน เป็นอัญญมัญญปัจจัย

    โดยความหมายของนิสสยปัจจัย คือเป็นที่อาศัย

    เพราะฉะนั้น ไม่จำกัดว่า จะต้องเป็นเฉพาะนามธรรม รูปธรรม ก็เป็นที่อาศัยของจิตได้ เพราะฉะนั้น ก็กว้างกว่าอัญญมัญญปัจจัย เพราะเหตุว่า ในอัญญมัญยปัจจัยนั้น เฉพาะจิตและเจตสิกเป็นหมวดที่ ๑

    มหาภูตรูป เป็นหมวดที่ ๒

    ปฏิสนธิจิตและปฏิสนธิหทยวัตถุเป็นหมวดที่ ๓

    แต่สำหรับนิสสยปัจจัย สภาพธรรมใดก็ตาม ซึ่งเป็นที่อาศัยของสภาพธรรมอื่น ในขณะนั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดพร้อมกันก็ได้ เป็นนิสสยปัจจัย แต่อัญญมัญญปัจจัยต้องเกิดพร้อมกันด้วย

    สำหรับ หมวดที่ ๒ ก็คือ มหาภูตรูป ๔ เป็นนิสสยปัจจัยของมหาภูตรูป ๔ ซึ่งก็แยกออกคือ

    ธาตุดิน เป็นนิสสยปัจจัย ของธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

    ธาตุไฟ เป็นนิสสยปัจจัย ของธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม

    ธาตุลม เป็นนิสสยปัจจัยของธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ

    ซึ่งกล่าวโดยย่อ คือมหาภูตรูป ๔ เป็นนิสสยปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๔

    ถ้าไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมจะมีไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ได้

    ถ้าไม่มีธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมมีไม่ได้ ก็เกิดขึ้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ธาตุดิน ก็เป็นที่อาศัยของ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

    ธาตุลมก็เป็นที่อาศัยของ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ

    หมวดที่ ๓ ปัญจโวการปฏิสนธิจิต (คือปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕) เป็นนิสสยปัจจัยของปฏิสนธิหทยรูป

    และโดยนัยเดียวกัน ปฏิสนธิหทยรูป เป็นนิสสยปัจจัยของปฏิสนธิจิต ในภูมิที่มีขันธ์ ๕

    เมื่อกล่าวโดยสภาพซึ่งเป็นที่อาศัย จิตต้องเกิดที่รูป ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิต

    จะไม่เกิดนอกรูปเลย ต้องมีรูปหนึ่งรูปใดเป็นที่เกิดเสมอ

    หมวดที่ ๔ จิต ๗๕ ดวง และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นนิสสยปัจจัยของจิตตชรูป แต่อย่าลืม จิตตชรูปไม่ใช่นิสสยปัจจัยของจิต ๗๕ ดวงนั้น แต่จิต ๗๕ ดวงนั้นเป็นที่อาศัยเกิด เป็นสมุฏฐานให้เกิดจิตตชรูป

    หมวดที่ ๕ มหาภูตรูป ๔ เป็นนิสสยปัจจัยให้เกิดอุปาทายรูป ๒๔ เช่นเดียวกัน อุปาทายรูป ๒๔ ไม่ใช่นิสสยปัจจัยของมหาภูตรูป ๔

    หมวดที่ ๖ จักขุปสาทรูป เป็นนิสสยปัจจัยของจักขุวิญญาณจิต ๒ และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่า การที่จักขุวิญญาณจะเกิด ต้องอาศัยจักขุปสาทรูปเป็นจักขุวัตถุ เพราะฉะนั้น จักขุวัตถุในขณะนี้ เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณจิต ที่กำลังเห็นในขณะนี้

    หมวดที่ ๗ โสตปสาทรูป เป็นนิสสยปัจจัยให้เกิดโสตวิญญาณจิต ๒ ดวง และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

    หมวดที่ ๘ ฆานปสาทรูป เป็นนิสสยปัจจัยให้เกิดฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

    หมวดที่ ๙ ชิวหาปสาทรูป เป็นนิสสยปัจจัยให้เกิดชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

    หมวดที่ ๑๐ กายปสาทรูป เป็นนิสสยปัจจัยให้เกิดกายวิญญาณจิต ๒ ดวง และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

    หมวดที่ ๑๑ หทยวัตถุ เป็นนิสสยปัจจัยให้เกิดจิตอื่นนอกจากทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวงในภูมิที่มีขันธ์ ๕

    นามธรรม รูปธรรมเท่านั้นเอง และในขณะนี้เอง ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับนิสสยปัจจัยนี้ สภามารถที่จะจัดได้เป็น ๓ ประเภท คือ

    สหชาตนิสสยปัจจัย ๑ ได้แก่ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒

    มหาภูตรูป ๔

    ปัญจโวการปฏิสนธิจิต เป็นนิสสยปัจจัยแก่ปฏิสนธิหทยวัตถุ

    จิต ๗๕ และเจตสิก ๕๒ เป็นนิสสยปัจจัยแก่ จิตตชรูป

    มหาภูตรูป ๔ เป็นนิสสยปัจจัยแก่ อุปาทายรูป ๒๔

    ๕ หมวดนี้เป็นสหชาตนิสสยปัจจัย เพราะเหตุว่า ต้องเกิดพร้อมกัน

    มหาภูตรูปเป็นนิสสยปัจจัยให้อุปาทายรูป เกิดพร้อมกันกับมหาภูตรูปนั้น ไม่ได้แยกจากกัน

    แต่สำหรับปสาทรูป คือจักขุปสาท โสตปสาท ชิวหาปสาท ฆานปสาท กายปสาท และหทยวัตถุ จะเป็นปัจจัย ก็ต่อเมื่อเป็นฐีติขณะของรูป หลังจากปฏิสนธิขณะแล้ว รูปทุกรูป ที่จะเป็นปัจจัยได้ ต้องเป็นปัจจัยในฐีติขณะของรูป ในอุปาทขณะของรูปเป็นปัจจัยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโดยเป็นทวาร หรือเป็นอารมณ์ หรือเป็นวัตถุ

    เพราะฉะนั้น สำหรับหทยวัตถุ ซึ่งเป็นที่เกิดของจิตอื่น รวมทั้งจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท จะเป็นปัจจัยได้ในฐีติขณะ เพราะฉะนั้น รูปนั้น ต้องเกิดก่อน จึงเป็น วัตถุปุเรชาตนิสสยปัจจัย

    เพราะฉะนั้น นิสสยปัจจัย ซึ่งเป็นที่อาศัยให้ธรรมอื่นเกิดขึ้น จะเป็นปัจจัยที่เกิดพร้อมกัน ในอุปาทขณะก็ได้ หรือเป็นปัจจัย โดยที่ต้องเกิดก่อนก็ได้

    ขณะนี้ จักขุวิญญาณกำลังเห็น อาศัยจักขุปสาท เป็นจักขุวัตถุ แต่จักขุปสาทรูปต้องเกิดก่อนจักขุวิญญาณจิต จะเกิดพร้อมกับจักขุวิญญาณจิตไม่ได้ รูปทุกรูป จะเป็นปัจจัยได้ในฐีติขณะ เว้นขณะปฏิสนธิเท่านั้น ซึ่งอุปาทขณะของรูปสามารถจะเป็นสหชาตปัจจัยให้กับปฏิสนธิจิตได้

    มีข้อสงสัยไหม ในนิสสยปัจจัย ซึ่งความจริง มี ๓ หมวด แต่ หมวดที่ ๓ ก็เป็นขณะที่จะจุติ ถ้าบุคคลนั้นมีหทยวัตถุเป็นอารมณ์ ก็จะเป็น “วัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปัจจัย” หมายความว่า มีหทยวัตถุรูป ซึ่งเกิดก่อน เป็นอารมณ์ โดยเป็นที่อาศัยให้จิต ก่อนที่จะจุติใกล้จะจุติเกิด ขณะที่ใกล้จะจุติ ไม่มีใครที่สามารถจะรู้ได้ใช่ไหม ว่าจะมีอะไรเป็นอารมณ์ ถ้าเจริญสติปัฏฐาน อาจจะมีนามธรรม หรือรูปธรรมเป็นอารมณ์ได้ ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ แต่สำหรับบางท่าน ก็อาจจะมีหทยรูป ซึ่งยังไม่ดับเป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่า เป็นรูปที่มีจริงในขณะนั้น สำหรับบุคคลนั้น ก็เป็น “วัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปัจจัย” ซึ่งจะมีรูปอะไรเป็นอารมณ์ เมื่อขณะใกล้จะจุติ ก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม เลือกไม่ได้ ไม่มีใครที่สามารถจะรู้ได้ อาจจะมีสีทางตา ที่กำลังเห็นในขณะนี้ เป็นอารมณ์ก็ได้ และหลังจากนั้น จุติจิตก็เกิดได้ เมื่อชวนจิตดับไปแล้ว หรือตทาลัมพนจิต ซึ่งเกิดต่อดับไปแล้ว หรือเมื่อภวังคจิตเกิดต่อจากตทาลัมพนะ ดับไปแล้ว จุติจิตสามารถจะเกิดหลัง ต่อจากจักขุวิถีจิต ที่เห็น หรือวิถีจิตที่ได้ยิน หรือวิถีจิตที่ได้กลิ่น หรือวิถีจิตที่ลิ้มรส หรือวิถีจิตที่กำลังกระทบสัมผัส หรือทางมโนทวาร ที่กำลังคิดนึกถึงกรรม หรือกรรมนิมิตร ที่ได้เคยกระทำแล้ว หรือคตินิมิตรทางมโนทวาร ภพภูมิที่จะเกิดก็ได้ หรืออาจจะมีหทยวัตถุ เป็นอารมณ์ในขณะนั้น เป็นวัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปัจจัย ก็ได้

    ยังมีข้อสงสัยเรื่องสติปัฏฐานบ้างไหม หรือปัจจัยที่ได้กล่าวถึงแล้ว ทั้งหมดกี่ปัจจัยแล้ว ๘ เหลืออีกเท่าไร ไม่มากเลย ๑๖ ปัจจัยเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นการศึกษาเพียงให้เข้าใจลักษณะสภาพของปัจจัยเป็นเพียงบางส่วน ยังไม่ได้กล่าวถึงปัจจัยโดยละเอียดจริงๆ

    ไม่ทราบว่า ท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า ในเรื่องของปัจจัยที่ได้ศึกษาไปแล้ว คือ

    ปัจจัยที่ ๑ เห-ตุปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๒ อารัมมณปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๓ อธิปติปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๔ อนันตรปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๕ สมนันตรปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๖ สหชาตปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๗ อัญญมัญญปัจจัย

    ปัจจัยที่ ๘ นิสสยปัจจัย

    ข้อสำคัญก็คือว่า เมื่อได้ศึกษาปัจจัยแต่ละปัจจัยแล้ว ต้องสัมพันธ์กันทุกปัจจัย เพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่า โดยปรมัตถธรรม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่นามธรรม และรูปธรรมเท่านั้น แต่นามธรรมและรูปธรรมย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าปราศจากปัจจัย เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้น มี ๓ ปรมัตถ์เท่านั้น ได้แก่ จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์

    ปัจจัยทั้งหมด ก็ไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป นั่นเอง แต่การที่นามธรรมแต่ละขณะ หรือรูปธรรมแต่ละประเภท จะเกิดขึ้น ต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน โดยปัจจัยต่างๆ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ศึกษาแต่ละปัจจัยแล้ว ก็ต้องสัมพันธ์ปัจจัยทั้งหมดที่ได้ศึกษาแล้ว เพื่อที่จะให้รู้ความชัดเจนว่า ที่กล่าวว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุปัจจัยนั้น ได้แก่ปัจจัยอะไรบ้าง

    เช่นในขณะนี้ ไม่ได้ปราศจาก เห-ตุปัจจัยเลย

    ไม่ได้ปราศจาก อารัมมณปัจจัย

    ไม่ได้ปราศจาก อธิปติปัจจัย

    ไม่ได้ปราศจาก อนันตรปัจจัย

    ไม่ได้ปราศจาก สมนันตรปัจจัย

    ไม่ได้ปราศจาก สหชาตปัจจัย

    ไม่ได้ปราศจาก อัญญมัญญปัจจัย

    ไม่ได้ปราศจาก นิสสยปัจจัย

    ทั้ง ๘ ปัจจัย ที่ได้ศึกษาแล้ว

    เพียงแต่ไม่ทราบชัดเท่านั้นเองว่า ในขณะจิตหนึ่ง ที่เกิดขึ้น จิต เจตสิก รูป ที่เกิดในขณะนั้น เป็นปัจจัยแก่กันและกันอย่างไร

    เพราะฉะนั้น ก็ขอทบทวนไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งกล่าวถึงปัจจัยใหม่ตามลำดับด้วย สำหรับทั้ง ๘ ปัจจัย ที่ได้กล่าวถึงแล้ว ปัจจัยที่ ๘ คือ นิสสยปัจจัย ได้แก่ สภาพธรรมที่เป็นที่อาศัยของปัจจยุปบันนธรรม เช่นจิตเป็นที่อาศัยของเจตสิก และเจตสิกก็เป็นที่อาศัยของจิต

    หมวดที่ ๑ สามารถที่จะทวนไปได้ถึงปัจจัยต้นๆ โดยตลอด ด้วยการพิจารณาใคร่ครวญ และสอบทานว่า เห-ตุปัจจัย คือ ปัจจัยที่ ๑ ได้แก่ โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก เป็นอกุศลเหตุ และ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก เป็น โสภณเหตุ ๓

    เห-ตุปัจจัย เป็น อารัมมณปัจจัยได้ไหม

    ไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะเห-ตุปัจจัยเดียว เพราะเหตุว่า อารัมมณปัจจัยหมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ เพราะฉะนั้น แม้ลักษณะของโลภะ การติด ความเพลิดเพลินยินดี ซึ่งเป็นอกุศล และมีอยู่เป็นประจำ สติสามารถจะเกิดระลึกรู้ได้ขณะใด ขณะนั้นก็เป็นอารัมมณปัจจัย นอกจากจะเป็นเห-ตุปัจจัย ก็ยังเป็นอารัมมณปัจจัยด้วย

    และถ้าถามถึงปัจจัยที่ ๓ อย่างกว้างๆ ว่า โลภเจตสิกเป็นอธิปติปัจจัยได้ไหม

    ไม่ได้ถามแยกว่า เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม แต่ภามรวมว่า โลภเจตสิกเป็นอธิปติปัจจัยได้ไหม คำตอบต้องเปลี่ยนแล้วใช่ไหม นี่คือความละเอียด ที่จะต้องศึกษาเรื่องของปัจจัย โดยละเอียดจริงๆ เพื่อเกื้อกูลให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแน่นอน เพราะเหตุว่า การที่มหากุศลจิต จะเกิดขึ้น รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ก็เป็นจิตและเจตสิก สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมก็ไม่ใช่นามธรรม

    แต่การที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าสภาพธรรมแต่ละอย่างเป็นปัจจัยอย่างไร ก็จะต้องศึกษาจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสภาพที่เป็นปัจจัยของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น สำหรับเห-ตุปัจจัย ซึ่งขอยกตัวอย่าง โลภเจตสิก ถ้าถามกว้างๆ ว่า เป็นอธิปติปัจจัยได้ไหม

    ถ้าตอบว่า ไม่ได้ ถูกหรือผิด

    ถ้าตอบว่า ได้ ถูกหรือผิด

    ทั้ง ๒ อย่าง ถ้าตอบว่าไม่ได้ ก็ต้องตอบว่า เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยไม่ได้

    ถ้าตอบว่าได้ ก็ต้องตอบว่า เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้

    เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคำถามและคำตอบ

    ถ้าถามถึง อารัมมณาธิปติปัจจัย ต้องตอบว่า ได้

    ถ้าถามถึง สหชาตาธิปติปัจจัย ก็ต้องตอบว่า ไม่ได้

    แต่ถ้าถามถึง อธิปติปัจจัย ก็ต้องแยกตอบ ชีวิตประจำวันใช่ไหม

    โลภเจตสิก เป็นเห-ตุปัจจัย

    เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย

    คนที่ยังมีโลภะ จะเข้าใจดีในลักษณะความเป็นอธิปติปัจจัย หรืออารัมมณาธิปติปัจจัยของโลภะ แต่โลภะไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย เพราะเหตุว่า ลักษณะของโลภะเป็นสภาพที่เกิด แต่ว่าเวลาที่ต้องการอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ใช่เพราะโลภะ แต่เพราะฉันทะ ความต้องการหรือความพอใจที่จะได้

    ในชีวิตประจำวัน ถ้าท่านต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นต้องการวัตถุของใช้ หรือเสื้อผ้า เกิดความต้องการแล้ว ใช่ไหม จิตขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต มีโลภเจตสิกเป็นเหตุ แต่เวลาจะซื้อจริงๆ ฉันทะหรือเปล่า ว่าจะชอบสิ่งไหน แบบไหน สีไหน โลภะเป็นสภาพที่ต้องการ ในขณะนั้นมีความต้องการ แต่ยังไม่เลือก เป็นสภาพที่ติด ต้องการที่จะได้ อะไรก็ได้ ที่เกิดความต้องการขึ้น แต่เวลาที่จะเอาจริงๆ เป็นลักษณะชองฉันทเจตสิก ซึ่งจะเลือกสิ่งที่พอใจ เช่นรูปแบบที่พอใจ สีสรรที่ต้องการ หรือคุณภาพที่พอใจ

    ด้วยเหตุนี้ โลภเจตสิก ไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยแก่ฉันทเจตสิก แต่ฉันทเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย

    ทางฝ่ายอกุศล ก็จะเห็นได้ว่า โลภเจตสิก เกิดขึ้นเพราะความติด แต่เวลาที่จะเอา จะเลือก ขณะนั้นเป็นเพราะ ฉันทะเป็นอธิบดี

    ทางฝ่ายกุศล ก็เช่นเดียวกัน ท่านที่สะสมอุปนิสสยในการให้ทาน แต่เวลาที่จะสละวัตถุเป็นทานจริงๆ ฉันทะเป็นอธิบดี ว่าเลือกที่จะทำทานกุศลแบบไหน แบบการศึกษา หรือการรักษาพยาบาล หรือในการส่งเสริมความรู้ การปฏิบัติธรรม การเข้าใจธรรมนั้น นั่นก็เป็นลักษณะของฉันทะ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เป็นอธิปติปัจจัย แม้แต่ในกุศลเล็กๆ น้อยๆ เช่นการสงเคราะห์ ช่วยเหลือคนชรา หรือเด็กก็ตามแต่ จะเห็นได้ว่า ในขณะนั้น เกือบจะไม่ปรากฏลักษณะของอโลภ อโทสะ เพราะเหตุว่า อโลภะ และอโทสะ ไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย แต่มีจิต คือจิตตาธิปติเกิดขึ้น ประกอบด้วย อโลภะ อโทสะ ในการที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า สภาพธรรมที่เป็นอธิปติ ก็ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่เป็นสหชาตาธิปติ แต่สำหรับอารัมมณาธิปตินั้น มากกว่านั้น คือเว้นจิตเพียง ๕ ดวง คือ โทสมูลจิต ๒ ดวง โมหมูลจิต ๒ ดวง และทุกขกายวิญญาณจิต ๑ ดวง ไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย เพราะเหตุว่า ไม่เป็นอารมณ์ ซึ่งเป็นที่พอใจ ต้องการของใคร

    สำหรับอธิปติปัจจัยนี้ ถ้าจะศึกษาปัจจัยอื่น แล้วทบทวนไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ไม่ลืมองค์ธรรม คือสภาพธรรมที่เป็นปัจจัย และสภาพธรรมที่เป็นปัจจยุปบันน ซึ่งเกิดเพราะอธิปติปัจจัยนั้น

    ถาม เห-ตุปัจจัยเป็นอนันตรปัจจัยได้ไหม

    โลภเจตสิกเป็นอนันตรปัจจัยได้ไหม

    ถ้าเรียนเรื่องปัจจัยแล้ว ก็จะต้องทวนไปตลอดทีเดียว

    โลภเจตสิกเป็นอนันตรปัจจัยได้ไหม ได้

    เพราะเหตุว่า อนันตรปัจจัยไม่ได้หมายความแต่เฉพาะจิตเท่านั้น เจตสิก ก็เป็นอนันตรปัจจัยด้วย คือทั้งจิตและเจตสิก ซึ่งเกิดแล้วดับไป เป็นอนันตรปัจจัยให้ทั้งจิตและเจตสิก ดวงต่อไปเกิดขึ้น นอกจากจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น สำหรับสมนันตรปปัจจัย ก็โดยนัยเดียวกัน

    สหชาตปัจจัย หมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน เป็นปัจจัย โดยการที่ต้องเกิดพร้อมกัน

    อัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ปัจจัย ซึ่งนอกจากจะต้องเกิดพร้อมกันแล้ว ยังต้องพึ่งพาอาศัย หรืออิงอาศัยซึ่งกันและกันด้วย เพราะฉะนั้น ก็มีความหมายกระชับ ถึงการที่ต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันด้วย ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ ต้องเกิดพร้อมกันเท่านั้น

    และสำหรับนิสสยปัจจัย หมายความถึง สภาพธรรมซึ่งเป็นที่อาศัยของสภาพธรรมอื่น โดยไม่คำนึงว่า จะต้องเกิดพร้อมกันหรือเกิดก่อน ดังที่ได้กล่าวถึงแล้วในคราวก่อน คือได้แก่

    ๑. จิตและเจตสิก ต่างก็เป็นนิสสยปัจจัย โดยการเกิดพร้อมกัน

    ๒. มหาภูตรูป ๔ มหาภูตรูป ๑ เป็นนิสสยปัจจัยแก่มหาภูตรูปอื่น โดยการเกิดพร้อมกัน

    นอกจากนั้น ก็เป็นปฏิสนธิจิต ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นนิสสยปัจจัยของปฏิสนธิหทยวัตถุ เกิดพร้อมกับปฏิสนธิหทยวัตถุ นอกจากนั้น

    หมวดที่ ๔ ก็ได้แก่ จิตเป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป

    หมวดที่ ๕ มหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่อุปาทายรูป แต่อย่าลืมว่า อุปาทายรูปไม่ได้เป็นนิสสยปัจจัยให้แก่มหาภูตรูป

    หมวดที่ ๖ - ๑๐ จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท เป็นปัจจัยให้แก่ จักขุวิญญาณจิต ๒ และเจตสิก ๗ แก่โสตวิญญาณจิต ๒ และเจตสิก ๗ แก่ฆานวิญญาณ ๒ และเจตสิก ๗ แก่ชิวหาวิญญาณ ๒ และเจตสิก ๗ แก่กายวิญญาณ ๒ และเจตสิก ๗

    หมวดที่ ๑๑ คือ หทยวัตถุ เป็นปัจจัยให้เกิดจิตในฐีติขณะ หลังจากปฏิสนธิขณะแล้ว

    มีข้อสงสัย หรืออยากจะทบทวนปัจจัย หนึ่งปัจจัยใดไหม สำหรับ นิสสยปัจจัย ได้กล่าวถึงแล้ว เป็นปัจจัยที่ ๘

    ปัจจัยที่ ๙ คือ “อุปนิสสยปัจจัย”

    ท่านผู้ฟังจะสังเกตเห็นปัจจัยที่คล้ายๆ กัน และสัมพันธ์กัน เช่น

    อนันตรปัจจัย และ สมนันตรปัจจัย

    สหชาตปัจจัย และ อัญญมัญญปัจจัย

    นิสสยปัจจัย และ อุปนิสสยปัจจัย

    คำว่า อุปนิสสัย ในภาษาไทยมาจากคำว่า อุป + นิสสย + ปัจจัย นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นอุปนิสสยปัจจัย ได้แก่ สภาพธรรม ซึ่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลังมาก ประการหนึ่ง หรือเป็นที่อาศัยที่มีกำลังแรงกล้าของปัจจยุปบันนธรรม อีกประการหนึ่ง

    ซึ่งจำแนกออกเป็น ๓ ปัจจัย ได้แก่

    อารัมมณูปนิสสยปัจจัย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 5
    23 ส.ค. 2565

    ซีดีแนะนำ