แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1875


    ครั้งที่ ๑๘๗๕


    สาระสำคัญ

    อรรถกถา ชนสันธชาดก - พระโพธิสัตว์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ เหตุทำให้จิตเดือดร้อนมีอยู่ ๑๐ ประการ


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๒


    พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรื่องในอดีตว่า

    ในอดีตกาล เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ เสวยราชสมบัติ ในพระนครพาราณสี พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ด้าน ที่กลางพระนคร และที่ประตูพระราชวัง ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ วันละ ๖ แสน ทรงสงเคราะห์โลกด้วยสังคหวัตถุ ๔ รักษาศีล ๕ อยู่จำอุโบสถ ครองราชย์สมบัติโดยธรรม บางครั้งบางคราวก็ให้ชาวแว่นแคว้นมาประชุมกัน แล้วแสดงธรรมว่า

    ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จงสมาทานศีล จงประพฤติธรรม จงประกอบการงานและการค้าขายโดยธรรม เมื่อเป็นเด็กจงเรียนศิลปะวิทยา จงแสวงหาทรัพย์ อย่าคดโกงชาวบ้าน อย่าทำความส่อเสียด อย่าเป็นดุร้ายหยาบช้า จงบำรุง บิดามารดา มีความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พระองค์ได้ทำมหาชนให้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม

    ดูเป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นชีวิตประจำวัน แต่ธรรมคือชีวิตประจำวัน และ จะเห็นได้ว่า แม้เป็นข้อความธรรมดา แต่การประพฤติปฏิบัติตาม ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุในผลและในคุณในโทษของกุศลธรรมและอกุศลธรรม

    พระโพธิสัตว์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ ทรงแสดงธรรมแก่มหาชนว่า

    เหตุที่จะทำให้จิตเดือดร้อนนั้นมีอยู่ ๑๐ ประการ เมื่อบุคคลไม่ทำเสียในกาลก่อนแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง

    เรื่องเดือดร้อนใจ ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วจะไม่มี ทุกคนที่เกิดมาแล้วย่อมมีความเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วแต่ว่าจะมากหรือจะน้อย และจะเป็นไปในเรื่องใด

    สำหรับธรรมที่ทำให้จิตเดือดร้อนนั้นมีอยู่ ๑๐ ประการ เมื่อไม่ทำในกาลก่อนย่อมเดือดร้อนในภายหลัง คือ

    บุคคลเมื่อยังเป็นหนุ่ม ไม่ทำความพยายามยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น ครั้นแก่ลง หาทรัพย์ไม่ได้ ย่อมเดือดร้อนภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้แสวงหาทรัพย์ไว้

    ศิลปะที่สมควรแก่ตน บุคคลใดไม่ได้ศึกษาไว้ในกาลก่อน บุคคลนั้น ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราไม่ได้ศึกษาศิลปะไว้ก่อน ผู้ไม่มีศิลปะย่อมเลี้ยงชีพลำบาก

    ผู้ใดเป็นคนโกง ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราเป็นคนโกง ส่อเสียด กินสินบน ดุร้าย หยาบคายในกาลก่อน

    ผู้ใดเป็นคนฆ่าสัตว์ ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราเป็นคนฆ่าสัตว์ หยาบช้า ทุศีล ประพฤติต่ำช้า ปราศจากขันติ เมตตา และเอ็นดูสัตว์ในกาลก่อน

    ผู้ใดคบชู้ในภรรยาผู้อื่น ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า หญิงที่ไม่มีใครหวงแหนมีอยู่เป็นอันมาก ไม่ควรที่เราจะคบหาภรรยาผู้อื่นเลย

    คนตระหนี่ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อก่อนข้าวและน้ำของเรามีอยู่มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทานเลย

    พิจารณาดูว่า แต่ละท่านเดือดร้อนเพราะเหตุต่างๆ เหล่านี้บ้างหรือไม่

    ข้อต่อไป พระเจ้าชนสันธะตรัสว่า

    ผู้ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราสามารถพอจะเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้แก่เฒ่าชราได้ ก็ไม่ได้เลี้ยงดูท่าน

    ผู้ไม่ทำตามโอวาทบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราได้ดูหมิ่นบิดาผู้เป็นอาจารย์สั่งสอน ผู้นำรสที่ต้องการทุกอย่างมาเลี้ยงดู

    ผู้ไม่เข้าใกล้สมณพราหมณ์ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้ ไปมาหาสู่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีล เป็นพหูสูตเลย

    ผู้ใดไม่ประพฤติสุจริตธรรม ไม่เข้าไปนั่งใกล้สัตบุรุษ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า สุจริตธรรมที่ประพฤติแล้วและสัตบุรุษอันเราไปมาหาสู่แล้ว ย่อมเป็นความดี แต่เมื่อก่อนนี้เราไม่ได้ประพฤติสุจริตธรรมไว้เลย

    ผู้ใดย่อมปฏิบัติเหตุเหล่านี้โดยอุบายอันแยบคาย ผู้นั้นเมื่อกระทำกิจที่ควรทำ ย่อมไม่เดือดร้อนใจในภายหลังเลย

    ฟังดูเป็นเรื่องไม่ยาก ง่ายกว่าการศึกษาเรื่องจิตประเภทต่างๆ เจตสิกประเภทต่างๆ รูปประเภทต่างๆ แต่นี่เป็นชีวิตจริงๆ ที่จะให้ทุกท่านได้พิจารณาโดยละเอียดว่า ได้กระทำเหตุที่จะไม่ทำให้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลังบ้างหรือเปล่า เพราะว่า การเข้าใจเรื่องของจิตก็ดี เจตสิกก็ดี รูปก็ดีทั้งหมด ความเข้าใจที่เป็นปัญญานั้นเอง จะเป็นแสงสว่างที่ชี้หนทางถูกและผิดที่จะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และสามารถดำเนินไปในทางที่เป็นกุศลทุกๆ เหตุการณ์

    ข้อความตอนท้ายมีว่า

    พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่มหาชนโดยนัยนี้ทุกๆ กึ่งเดือน แม้มหาชนก็ตั้งอยู่ ในโอวาทของพระองค์ บำเพ็ญฐานะ ๑๐ ประการเหล่านั้นบริบูรณ์แล้วได้ไปสวรรค์

    พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วตรัสว่า

    ดูกร มหาบพิตร โบราณกบัณฑิต ไม่มีอาจารย์ แสดงธรรมตามความรู้ ของตน พามหาชนไปสวรรค์ได้อย่างนี้

    แล้วทรงประชุมชาดกว่า

    บริษัทในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้ ส่วนพระเจ้าชนสันธราชได้มาเป็นเราตถาคตแล

    พุทธบริษัทที่ฟังธรรมในครั้งโน้นก็จะฟังธรรมในครั้งนี้ และจะฟังธรรมในครั้ง ต่อๆ ไป เพราะว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นเรื่องชีวิตจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกๆ ชาติ พระองค์ทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมและทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังเข้าใจสภาพธรรม และประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทุกๆ ชาติ เพราะว่าพระนิพพานนั้นแสนไกล ถ้าใครคิดจะบรรลุถึงพระนิพพาน คิดถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คิดถึงการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จะรู้ว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งปัญญาสามารถจะประจักษ์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ก็ยังอีกไกลมาก แต่ถ้าได้เข้าใจธรรม ได้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปทุกชาติ ปัญญาจะค่อยๆ อบรมเจริญขึ้น เพราะว่าเป็นความจริงที่เมื่อเกิดมาแล้วทุกคนก็เป็น ผู้ที่ยังมีกิเลส ซึ่งในชีวิตประจำวันจะเห็นได้จริงๆ ว่า ยังเป็นไปตามกำลังของกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสเกิดเลยในวันหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง คือ การเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษา การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียดเพื่อให้เกิดปัญญาที่จะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็ย่อมแสดงถึงการที่เคยได้ฟังพระธรรม ได้พิจารณาพระธรรม และเข้าใจธรรมในอดีตด้วย

    ขอกล่าวถึงข้อความที่พระเจ้าชนสันธะได้ตรัสอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านผู้ฟัง ได้พิจารณาโดยละเอียดถึงเหตุที่ทำให้จิตเดือดร้อน ๑๐ ประการ คือ

    บุคคลเมื่อยังเป็นหนุ่ม ไม่ทำความพยายามยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น ครั้นแก่ลง หาทรัพย์ไม่ได้ ย่อมเดือดร้อนภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้แสวงหาทรัพย์ไว้

    ท่านที่มีความลำบากในวัยชราคงจะเห็นจริงด้วยว่า ที่ท่านต้องลำบากในยามชรานั้นก็เพราะว่า เมื่อยังเป็นหนุ่ม ไม่ทำความพยายามยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยที่ยังสามารถกระทำกิจการงาน ก็ควรจะมีชีวิตต่อไปในโลกด้วยความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าชีวิตประจำวันไม่สามารถดำเนินไปด้วยดี เช่น บางท่านไม่มีเวลาศึกษาพิจารณาธรรมเลย มีกิจธุระที่จะต้องกระทำมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่จะศึกษาธรรมก็น้อย นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่บางท่านไม่ต้องลำบากในเรื่องการเลี้ยงชีพเลย แม้กระนั้นก็ยังมีกำลังของกิเลสทำให้ไม่สนใจที่จะศึกษาพระธรรมมากขึ้น

    แสดงให้เห็นว่า กว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทุกคนต้องเป็นผู้ที่พิจารณาละเอียดถึงชีวิตของตนเองตามความเป็นจริงที่จะเป็นเหตุให้เดือดร้อนใจในภายหลังได้ แม้แต่ในเรื่องของตอนที่ยังสามารถกระทำกิจการงาน แต่ไม่พยายามยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น

    ประการต่อไป คือ

    สิปปะหรือศิลปะที่สมควรแก่ตน บุคคลใดไม่ได้ศึกษาไว้ในกาลก่อน บุคคลนั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราไม่ได้ศึกษาสิปปะหรือศิลปะไว้ก่อน ผู้ไม่มีศิลปะย่อมเลี้ยงชีพลำบาก

    แสดงให้เห็นถึงชีวิตประจำวัน ซึ่งควรจะเป็นผู้ที่ขยัน และสนใจในการเป็นผู้ที่ มีความรู้มีความสามารถในเรื่องต่างๆ เพราะว่าความรู้ความสามารถทุกอย่าง ย่อมเป็นประโยชน์ แม้แต่ในเรื่องการทำอาหารอร่อย การเย็บปักถักร้อย การเกษตร การกสิกรรม ต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความราบรื่นได้เมื่อเป็น ผู้มีสิปปะหรือเป็นผู้ที่มีความสามารถ

    ประการต่อไป

    ผู้ใดเป็นคนโกง ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราเป็นคนโกง ส่อเสียด กินสินบน ดุร้าย หยาบคายในกาลก่อน

    เมื่อไม่เกี่ยวกับเรื่องการดำรงชีพหรือการอาชีพ ต่อไปก็เป็นเรื่องของกิเลสนั่นเอง คือ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สุจริตย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เคยโกง หรือเคยส่อเสียด เคยกินสินบน เคยดุร้าย เคยหยาบคายในกาลก่อน เพราะว่าขณะใดที่โกง กำลังกระทำทุจริต ขณะนั้นย่อมไม่เห็นโทษ แต่โทษของทุจริตย่อมมี ไม่มีใครสรรเสริญ และผลของทุจริตนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรม แล้วแต่ว่าจะได้รับผลของทุจริตใน ชาติปัจจุบัน หรือในชาติต่อๆ ไป

    ประการต่อไป

    ผู้ใดเป็นคนฆ่าสัตว์ ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราเป็นคนฆ่าสัตว์ หยาบช้า ทุศีล ประพฤติต่ำช้า ปราศจากขันติ เมตตา และเอ็นดูสัตว์ในกาลก่อน

    เรื่องของศีล ๕ จะสมบูรณ์ได้เมื่อเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ถ้าใคร ได้กระทำทุจริตกรรมประการใดๆ แม้แต่เป็นผู้ฆ่าสัตว์ จะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรก็ย่อมเดือดร้อน หรือเวลาที่เห็นคนอื่นบาดเจ็บ ได้รับภัยอันตราย ขณะนั้นก็ไม่รู้ จนกว่าตนเองจะเจ็บอย่างนั้น จึงรู้ว่า ความปวดเจ็บทรมานของคนอื่นนั้นมากมายแค่ไหน ถ้าไม่ถูกกับตัวเองก็อาจจะไม่สามารถรู้ได้ แต่ถ้าตนเองกำลังได้รับผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ เมื่อนั้น ก็จะระลึกถึงบุคคลซึ่งท่านเองครั้งหนึ่งอาจจะเคยทำกรรมนั้น หรืออาจจะเป็น สัตว์เล็กสัตว์น้อยใดๆ ก็ตามที่ได้เคยฆ่า เคยประทุษร้าย และไม่เคยรู้สึกเลยว่า ความเจ็บปวดของสัตว์เหล่านั้นเป็นอย่างไร จนกว่าเมื่อท่านเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ก็จะรู้ว่า การได้รับความรู้สึกปวดเจ็บนั้นเพราะว่า เป็นคนฆ่าสัตว์ หยาบช้า ทุศีล ประพฤติต่ำช้า ปราศจากขันติ ปราศจากเมตตาและเอ็นดูสัตว์ในกาลก่อน

    ประการต่อไป

    ผู้ใดคบชู้ในภรรยาผู้อื่น ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า หญิงที่ไม่มีใครหวงแหนมีอยู่เป็นอันมาก ไม่ควรที่เราจะคบหาภรรยาผู้อื่นเลย

    สังสารวัฏฏ์ยาวนานมาก ทั้งอดีตที่ผ่านมาแล้ว ก็ไม่มีใครจำได้เลยว่า เคยทำอย่างนี้หรือเปล่า ปัจจุบันชาตินี้อาจจะไม่ได้ทำ และสำหรับชาติหน้าต่อไป ตราบใดที่ยังไม่บรรลุถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลก็มีการล่วงศีลได้ เพราะฉะนั้น ทุกข้อเป็นสิ่งที่ควรจะระลึกได้เมื่อมีเหตุการณ์นั้นๆ ที่จะให้อกุศลนั้นๆ เป็นไป

    ประการต่อไป

    คนตระหนี่ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อก่อนข้าวและน้ำของเรามีอยู่มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทานเลย

    บางคนเวลาทรัพย์สมบัติสูญไปก็เกิดเสียดายว่า รู้อย่างนี้ให้ทานเสียดีกว่า แต่ตอนที่ยังไม่สูญก็ไม่เคยคิดที่จะให้ ต่อเมื่อใดที่สูญทรัพย์สมบัติไปก็เกิดความคิดว่า รู้อย่างนี้ก็ให้ทานเสียดีกว่า

    หรือขณะที่มีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้รับสิ่งนั้น ก็จะเห็นได้ถึงความต่างกันของคนที่เมื่อต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นทันที แต่บางคนเพราะเหตุใดต้องการด้วยกัน คนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งไม่ได้

    แสดงให้เห็นถึงความต่างกันว่า คนที่เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ต้องเป็น คนที่เคยให้สิ่งที่เป็นทานซึ่งเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่นในยามที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลนั้นปรารถนาสิ่งใด ผลของกุศลนั้นก็ทำให้ได้สิ่งที่ปรารถนา ตรงกันข้ามกับบางคน ปรารถนาแล้ว หวังแล้ว คอยไป ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ

    มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ลูกของท่านยังเล็ก ท่านมีวิธีสอนลูกตั้งแต่ครั้งที่ยังจูงมือลูกไปโรงเรียน ซึ่งแสดงว่าขณะนั้นลูกของท่านต้องเล็กมาก ท่านก็ชี้ให้ดูความต่างกันของบุคคลแต่ละคน บางคนเป็นผู้ที่มีฐานะดี บางคนเป็นผู้ที่ยากจน ท่านก็ ถามลูกว่า เห็นไหมว่า ๒ คนนี้ต่างกัน และแสดงถึงเหตุที่ทำให้ทั้ง ๒ คนนี้ต่างกันว่า เพราะผู้หนึ่งต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจดี เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเคยสละวัตถุที่เป็นประโยชน์ให้บุคคลอื่น ส่วนอีกบุคคลหนึ่งซึ่งยากจน ก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่ได้ให้ทานมาในอดีต เพราะฉะนั้น ก็เป็นการสอนเด็กตั้งแต่เล็กให้เป็นผู้ที่สามารถเห็นใจและเข้าใจในเหตุ ในผลว่า การที่ฐานะของบุคคลต่างกันนั้นเพราะเหตุใด และควรมีจิตใจอ่อนโยน เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนยากไร้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดี

    ข้อความต่อไป

    ผู้ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราสามารถพอจะเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้แก่เฒ่าชราได้ ก็ไม่ได้เลี้ยงดูท่าน

    ผู้ที่มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ก็ทราบว่า วันหนึ่งท่านต้องจากไป ถ้าไม่เลี้ยงดูท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็คือเป็นผู้ไม่เห็นคุณของมารดาบิดา เพราะฉะนั้น ผู้นั้น จะเห็นคุณของบุคคลอื่นได้อย่างไร แม้แต่ผู้ที่เป็นมารดาบิดาซึ่งเลี้ยงดูให้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ให้ความสุขสบายมาตั้งแต่เกิด ผู้นั้นยังไม่เห็นคุณ ยังไม่ทำการกตเวที คือ ตอบแทนคุณของท่าน ที่จะคิดถึงคุณของบุคคลอื่นก็คงจะยาก เพราะแม้แต่ คุณของมารดาบิดาก็ไม่เห็น

    ข้อความต่อไป

    ผู้ไม่ทำตามโอวาทบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราได้ดูหมิ่นบิดาผู้เป็นอาจารย์สั่งสอน ผู้นำรสที่ต้องการทุกอย่างมาเลี้ยงดู

    เป็นชีวิตประจำวันที่จะต้องพิจารณา แม้แต่การไม่ทำตามโอวาทบิดา คงจะ ไม่มีใครรักลูกเท่ากับมารดาบิดา เพราะฉะนั้น โอวาทของมารดาบิดาก็คือการใคร่ที่จะให้บุตรได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่บุตรที่ได้ชื่อว่า ดูหมิ่นบิดาผู้เป็นอาจารย์สั่งสอน ก็คือในขณะที่ไม่ทำตามโอวาท จึงชื่อว่าดูหมิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าคิด ไม่ว่าใครก็ตามถ้ากล่าวว่า ท่านเคารพหรือนับถือบุคคลนั้น แต่ไม่ได้ทำตามจริงๆ จะชื่อว่าเคารพนับถือได้ไหม แม้แต่พระรัตนตรัย พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็ต้องเป็นผู้ที่พิจารณาและมีความตั้งใจที่จะประพฤติ ปฏิบัติตาม เพียงแต่ยังไม่สามารถปฏิบัติตามได้ทั้งหมด เพราะว่ายังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่ แต่ไม่ใช่มีความคิดว่า จะไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามไม่ได้ ควรคิดว่า จะพยายามปฏิบัติตามให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ แม้บางครั้งไม่สามารถกระทำได้ เพราะว่ายังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่

    ข้อความต่อไป

    ผู้ไม่เข้าใกล้สมณพราหมณ์ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้ ไปมาหาสู่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีล เป็นพหูสูตเลย

    เพราะบางคนก็บอกว่า คอยไว้ก่อน อายุมากๆ จึงจะศึกษาพระธรรม



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๘๘ ตอนที่ ๑๘๗๑ – ๑๘๘๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 104
    28 ธ.ค. 2564