แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1845


    ครั้งที่ ๑๘๔๕


    สาระสำคัญ

    ความโกรธเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ จะแก้ไขอย่างไร

    นรกสวรรค์มีจริงไหม

    ชาติหน้ามีจริงไหม

    หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร อยู่ที่ไหน

    เกิดมาเป็นกะเทย เพราะทำกรรมอะไร

    ผู้ประเสริฐอะไร


    ตอบปัญหาธรรมที่วัดเจริญสุขารามวรวิหาร จังหวัดสมุทรสงคราม

    วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๑


    คำถามต่อไป ที่ทำบุญกรวดน้ำ จะถึงผู้รับไหม

    สมพร การที่เราทำบุญกรวดน้ำให้ผู้อื่น คือ คนที่ตายไปแล้ว รู้ได้ยากว่าจะถึงหรือไม่ถึง ถ้าเขามีเจตนารับส่วนกุศลที่เราแผ่ไปให้ เขาก็ได้รับส่วนกุศล ถ้าเขาไม่มีเจตนารับส่วนกุศลที่เราแผ่ไปให้ เขาก็ไม่ได้รับ

    มีหลายอย่างที่เขาไม่ได้รับ เช่น เขาตายและเกิดในนรก เขาก็ไม่สามารถ รู้เรื่องราวเหล่านี้ได้ หรือเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ เขาก็ไม่รู้การให้กุศลของเรา ถ้าจะได้รับ เขาต้องเป็นเปรตชนิดหนึ่ง หรือเป็นใครก็ได้และรู้ว่าเราให้กุศล และมีจิตโสมนัสยินดีสาธุอนุโมทนา เขาก็ได้รับ แต่อย่าเสียใจ เพราะว่าเราทำแล้วเราย่อมได้รับแน่นอน คนอื่นจะได้รับหรือไม่ได้รับ ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เราทำ ของเราเองดีกว่า เราได้แน่นอน ถ้าเราตายไปแล้ว คนอื่นทำให้เรา เราจะได้รับหรือไม่ ไม่แน่นอน

    นรกสวรรค์มีจริงไหม

    นรกสวรรค์มีจริง ถ้านรกสวรรค์ไม่มีจริง การทำกุศลก็ไม่มี การทำอกุศลก็ไม่มี การทำบาปก็ไม่มี การทำบุญก็ไม่มี เพราะการทำบุญมี ทำบาปมี นรกจึงมี สวรรค์จึงมี

    ความหึงหวงที่ต้องผลักออก หมายถึงอะไร

    ปัญหานี้กำกวมไม่ค่อยชัดเจน ผมตอบไป จะตรงหรือไม่ตรงก็ไม่ทราบ ความหึงหวงเกิดจากอกุศลจิตของเรา เช่น หึงหวงในสิ่งที่เรารักใคร่ โทสะเกิด โทสะ คือ ความไม่สบายใจ เช่น หึงหวงสามีภรรยา นี่เป็นอกุศล เป็นโทสะ เกิดจากโลภะเป็นปัจจัย โลภะ ความอยาก เป็นปัจจัยให้โทสะความไม่สบายใจเกิดได้ เมื่อเรารู้ว่า โลภะ โทสะเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็ละเสีย พยายามละเสีย แต่ละไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีวิธีการ คือ ระลึกถึงกุศลบ่อยๆ เมื่อทำกุศล อกุศลก็ไม่เกิด เพราะว่ากุศลกับอกุศลเหมือน มืดกับสว่าง หรือเหมือนกลางคืนกับกลางวัน เมื่อมืดมี สว่างก็ไม่มี เมื่อสว่างมี มืดก็ไม่มี

    ความโกรธเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ จะแก้ไขอย่างไร

    การแก้ความโกรธไม่ใช่เป็นของง่ายเลย เป็นของยาก ต้องศึกษาเล่าเรียน ให้เข้าใจ ต้องฟังบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ การพิจารณาก็มีหลายขั้น มีพิจารณา โทษของความโกรธ ความโกรธเป็นความชั่วร้ายที่ให้โทษหนัก ในปัจจุบันก็ทำเรา ให้เศร้าหมอง ทำร่างกายให้เศร้าหมอง ไม่ใช่จิตใจเท่านั้นที่เศร้าหมอง ร่างกายก็ เศร้าหมอง และเมื่อตายไปแล้วก็ทำให้ตกนรกอีก นี่โทษของความโกรธ เพราะฉะนั้นเราจะโกรธไปทำไม โกรธเกิดจากอะไร มีสาเหตุ เกิดจากได้ฟังเสียงที่เขาพูดไม่ดี หรือเกิดจากการเห็นสิ่งที่ไม่ดี

    ทุกอย่างมีปัจจัยให้เกิด เราต้องทำลายปัจจัย จึงจะไม่เกิดได้ แต่เป็นการแก้ ที่ยาก เพราะว่าธรรมทั้งหลายมีปัจจัยให้เกิดก็เกิดขึ้น ถ้าเราจะไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นง่ายๆ ก็หมั่นเจริญเมตตา รักษาศีล ๕

    ศีล ๕ บริสุทธิ์ได้โดยอาศัยเมตตา เช่น เราไม่ฆ่าสัตว์ เพราะเราเมตตา สงสารสัตว์ เราไม่ลักทรัพย์ เพราะเราเมตตาสงสารสัตว์ เหล่านี้เป็นต้น ศีล ๕ ก็บริสุทธิ์ ถ้าจะไม่โกรธ ต้องเจริญเมตตาบ่อยๆ แต่ว่าห้ามได้ยาก

    ชาติหน้ามีจริงไหม

    ชาติหน้าต้องมีจริงแน่นอน ถ้าชาติหน้าไม่มีจริง ตายแล้วสูญ เป็นอุจเฉททิฏฐิ เป็นความเห็นผิด เป็นเรื่องยาว ถ้าตอบสั้นๆ ก็ว่า ชาติหน้ามีจริง

    คนที่บวชแล้ว ถ้าชาติหน้ามีจริง จะมีทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ไหม

    มีทุกสิ่งทุกอย่างมีสมบูรณ์ พูดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกุศลก็สมบูรณ์ สมมติว่า เราสร้างกุศลในชาตินี้มาก ก็ไปเกิดในสวรรค์ มีทรัพย์สมบัติมากมาย ถ้าสร้างอกุศล ชาติหน้าก็ไปตกนรก มีแต่การขาดแคลน

    บางคนทำแต่ความดี ทำไมยากจน

    ที่ยากจนเป็นผลของอกุศลกรรมเก่า ความดีนี้ยังไม่มีโอกาสให้ผล ความดี ทำแล้วต้องให้ผลแน่นอน ไม่ต้องกลัว แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะให้ผล ก็ยังไม่เกิดขึ้น

    หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร อยู่ที่ไหน

    หัวใจของพระพุทธศาสนา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ถ้าเราไม่มีปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียน หัวใจของพระพุทธศาสนาก็ไม่มี ถ้าเราไม่ปฏิบัติ หัวใจของพระพุทธศาสนาก็ไม่มี ถ้าเราไม่บรรลุมรรคผล หัวใจของพระพุทธศาสนาก็ไม่มี หัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่อยู่ที่อื่น

    ทำบาปแล้วทำบุญ ตายไปแล้วจะลบล้างได้ไหม ขอหลักฐานอ้างอิง

    ทำบาป ทำบุญ นี่เป็นคนละส่วน เราพิจารณาง่ายๆ อย่างนี้ว่า น้ำกับน้ำมันอยู่ในขวดเดียวกันก็ไม่ปนกัน เหมือนบุญกับบาป อันไหนมีกำลังกล้าก็ให้ผลก่อน เช่น บุญมีกำลังมากกว่า ได้โอกาส ได้ปัจจัยให้ผล บาปก็ยังไม่ให้ผล คอยโอกาสเมื่อ บุญหมดแล้ว บาปก็ให้ผล สมมติว่าเราทำบุญมากเหลือเกิน แต่เวลาใกล้ตาย จิตเราเศร้าหมอง บาปมีโอกาสแล้ว บุญมากก็จริง แต่ขณะนั้นบาปมีโอกาส เราก็ไป สู่อบายภูมิ แต่ไปสู่อบายภูมิเป็นระยะเวลาเล็กน้อย เพราะเราทำบาปน้อย เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่ากุศลหรืออกุศลจะได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นก่อน

    สำหรับหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย แต่ลัทธิพราหมณ์บอกว่า ลบล้างได้ ศาสนาพุทธลบล้างไม่ได้ ต่างกัน ในพระไตรปิฎกเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ พูดถึงเรื่องบาปเรื่องบุญ

    กรวดน้ำ ใช้น้ำกับไม่ใช่น้ำ มีผลเสมอกันไหม

    อยู่ที่เจตนา เมื่อมีเจตนาแล้วผลย่อมได้ กรวดน้ำหมายถึงอะไร กรวดน้ำและ แผ่กุศลให้คนอื่น ใช่ไหม การใช้น้ำหรือไม่ใช้น้ำไม่สำคัญ อยู่ที่เจตนาเป็นใหญ่ ถ้าเจตนาเราไม่ดี ฟุ้งซ่าน แม้ใช้น้ำ ปากว่าอย่าง แต่ใจคิดอะไรร้อยแปด ฟุ้งซ่าน กุศลก็ไม่ค่อยเกิด ไม่ได้อยู่ที่น้ำเป็นใหญ่ แต่อยู่ที่ใจเป็นใหญ่

    คำว่า แยกรูป แยกนาม ขอให้อาจารย์อธิบายให้แจ่มแจ้ง

    รูปเป็นสิ่งที่ไม่รู้อะไร นามเป็นสิ่งที่รู้อะไรได้ คนเราทุกคนที่เกิดมา ถ้ามีรูป อย่างเดียว เคลื่อนไหวไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่างถ้าไม่มีนาม นามคือจิตหรือเจตสิก จิตหรือเจตสิกรู้อะไรได้ นี่เป็นนาม สิ่งที่รู้อะไรไม่ได้นั้นคือเป็นรูป นี่แยกโดยหยาบๆ

    เวลาทำบุญตั้งจิตอธิษฐานแล้ว จะได้ดังที่อธิษฐานหรือไม่

    อธิษฐานอะไร อธิษฐานขอให้สิ้นอาสวะกิเลส หรืออธิษฐานขอให้เราร่ำรวย ก็มีปัญหาอีก บุญนั้นถ้าเราไม่อธิษฐานก็ได้บุญ อธิษฐานต้องอธิษฐานให้ถูกต้อง เพื่อทำลายอกุศล ไม่ให้มีอาสวะกิเลส จึงจะถูกต้อง ถ้าอธิษฐานว่า ขอให้ข้าพเจ้า ได้สมบัติในเมืองมนุษย์ ในเมืองสวรรค์ เหล่านี้เป็นการอธิษฐานที่ไม่เหมาะสม เป็นการลดบุญของเราไป เพราะขณะนั้นเป็นโลภะ แทนที่จะเป็นกุศลตลอดไป ก็มีอกุศลแทรกคั่น กุศลก็ลดลงไปบ้าง

    ผู้หญิงเมื่อตายไปแล้ว ชาติหน้าจะได้เป็นผู้ชายไหม และผู้ชายเมื่อตายไปแล้วจะได้เป็นผู้หญิงไหม บางคนเกิดมาเป็นกะเทย เพราะทำกรรมอะไร

    การเป็นผู้หญิง ผู้ชาย ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกคนที่เป็นผู้หญิงก็เคยเกิดเป็นผู้ชาย ทุกคนที่เป็นผู้ชายก็เคยเกิดเป็นผู้หญิง ไม่มีอะไรแน่นอน แล้วแต่กรรม บางคนพอใจในความเป็นผู้หญิงก็เกิดเป็นผู้หญิง บางคนก็เกิดจากทำอกุศลกรรม ทำกรรมไม่ดีไว้ เช่น เป็นผู้ชายไปผิดลูกภรรยาผู้อื่น ต่อไปอาจเกิดเป็นผู้หญิงก็ได้ ทำให้เรามี ความทุกข์อย่างนั้นเหมือนกับที่เราทำกับคนอื่น นี่เกิดจากกรรม

    เพราะฉะนั้น เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง เกิดได้ทั้งนั้น เพราะว่าในสังสารวัฏฏ์ ที่ยาวนานมาก ไม่อาจพูดได้ว่า เราไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นกะเทย และที่เป็นกะเทย ก็เกิดจากอกุศลกรรมที่ทำกาเมสุมิจฉาจาร

    พระบางรูปมีข่าวว่า เมื่อมรณภาพแล้วไม่เน่าจริงหรือ

    เน่าไม่เน่าอยู่ที่ปัจจัย แม้ยาสมัยใหม่ก็ทำให้รูปไม่เน่าได้ แม้อำนาจจิตก็ทำให้รูปไม่เน่าได้บางครั้งบางคราว ได้บ้างเล็กน้อย ไม่ใช่ฝืนธรรมชาติเกินไป

    ยังเป็นพระอีกหรือไม่

    ขณะที่ตายไปแล้ว จะเกิดเป็นพระต่อทันทีไม่ได้ ถ้าเกิดเป็นเปรตก็มีรูปร่าง แบบพระได้ พระนี่เป็นได้เฉพาะมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉานก็เป็นไม่ได้ แม้พญานาคซึ่ง ปลอมตัวเป็นมนุษย์ในสมัยพุทธกาลเข้ามาบวช พระพุทธเจ้ายังไม่ให้บวช เทวดาก็บวชเป็นพระไม่ได้ พรหมก็บวชเป็นพระไม่ได้ พระนี่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น เมื่อตายแล้วก็สิ้นความเป็นพระ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ต้องบวชใหม่จึงเป็นพระได้ แต่ถ้าเป็นพระและตายไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ไม่เป็นพระ เป็นเทวดาแล้ว พระเป็นแค่ชาตินี้

    พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ประเสริฐด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อมสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จึงชื่อว่าผู้ประเสริฐ

    พระบางรูปมีข่าวว่า สามารถเข้ากัมมัฏฐานไปทัวร์นรกสวรรค์ จริงไหม

    ในพระพุทธศาสนาของเราไม่มี มีแต่ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ จิตไปพร้อมกับรูป คือ จะไปแต่เฉพาะจิตอย่างเดียวไม่ได้ เมื่อนั่งปุ๊บจิตเราไปนรก ไปสวรรค์ไม่ได้ ได้เพียงการนึกเอา คิดเอา เพราะว่าภูมิที่มีขันธ์ ๕ แยกจากกันไม่ได้ จะต้องมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปไหนไปด้วยกัน จะไปแต่นาม คือ จิตอย่างเดียวไม่ได้ ไปแต่รูปอย่างเดียวก็ไม่ได้ รูปกับนามอาศัยซึ่งกันและกันเป็นไปอยู่ แยกจากกันไม่ได้ การไปทัวร์นรกสวรรค์นั้น เป็นแต่เพียงการคิดเอา เหมือนการฝัน เราฝันว่า ไปที่โน้น ที่นี่ แท้จริงแล้วไม่ได้ไปจริงๆ คิดนึกเอา

    สุ. ยังมีคำถามอีก และที่ขอความกรุณาให้อาจารย์สมพรเป็นผู้ตอบ เพราะว่าส่วนมากเป็นเรื่องที่พิมพ์แล้วสำหรับการตอบของดิฉันในหนังสือ ตอบปัญหาธรรม เช่น เรื่องนรกสวรรค์ เรื่องความโกรธ เป็นต้น และหนังสือนี้ก็ได้นำมามอบถวายที่วัดด้วย เพราะฉะนั้น ท่านที่สนใจก็อ่านได้ในห้องสมุดของวัด ซึ่งเป็นคำถามประเภทเดียวกัน จึงได้เรียนให้ท่านอาจารย์สมพรเป็นผู้ตอบ เพื่อจะได้ ฟังคำตอบอีกแนวหนึ่งด้วย

    รู้สึกว่า เรื่องที่ถามเป็นเรื่องน่าสนใจจริง แต่ไม่สามารถรู้หรือพิสูจน์ได้จริงๆ เช่น เรื่องของนรกสวรรค์ แม้มีเหตุที่จะให้เกิดในนรก มีเหตุที่จะให้เกิดในสวรรค์ แต่เพราะในขณะนี้ไม่สามารถไปถึงสวรรค์หรือนรกได้ เพราะฉะนั้น ก็ยังคงสงสัย ข้องใจว่า นรกจะมีจริงไหม สวรรค์จะมีจริงไหม

    แต่ถ้าคิดว่า ถ้าโลกนี้มีจริงได้ ทำไมนรกหรือสวรรค์จะมีจริงไม่ได้ ในเมื่อ สุขและทุกข์ในโลกนี้ก็มีได้ เพราะฉะนั้น ทุกข์ยิ่งกว่าโลกนี้ที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นโลกอื่นที่ทุกข์ทรมานตลอดเวลา ก็ย่อมจะมีได้ด้วยอำนาจของกรรม หรือความสุขในโลกนี้ ก็ยังมีได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของกรรมที่ประณีตมากกว่านี้ ก็จะต้องมีที่เกิด ซึ่งจะต้องเป็นสุขมากกว่าในโลกนี้ได้ เพราะว่าสำหรับสุคติภูมินั้น คือ มนุษย์ ๑ และสวรรค์ ๖ ชั้น ภูมิมนุษย์ก็เป็นสุคติภูมิหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นผลของกุศลที่ไม่ประณีตเท่ากับสวรรค์ชั้นอื่นๆ ถึง ๖ ชั้น

    และเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องทำบุญกรวดน้ำพวกนี้ ก็เป็นเรื่องที่สนใจว่า จะถึงผู้รับไหม แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อไม่สามารถรู้ได้ ก็ควรพิจารณาถึง จิตใจของท่านเองเปรียบเทียบว่า ถ้าท่านได้ข่าวการกระทำกุศลของใคร จิตใจของท่านยินดีด้วย อนุโมทนาด้วย หรือว่าไม่ชอบเขา ก็ไม่ยินดีด้วยกับกุศลของเขา ฉันใด ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ถ้าสามารถที่จะรับรู้การกระทำ ของคนอื่นได้ ก็ขึ้นอยู่กับกุศลจิตหรืออกุศลจิตในขณะนั้นว่า จิตที่รู้เรื่องการกุศลของคนอื่นพลอยยินดีตาม หรือไม่ยินดี

    ถ้าขณะใดที่พลอยยินดีตาม แม้เป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและรู้ว่าผู้ที่ตนจากมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ขณะใดที่กุศลจิตเกิดอนุโมทนา ขณะนั้นจึงเป็นกุศล ที่ว่าจะได้รับผลไหม ก็คือกุศลจิตเกิดไหม ต้องเป็นกุศลจิตของตนเอง ต้องเป็นกุศลกรรมที่อนุโมทนาของตนเองจึงจะได้วิบากที่เป็นผล เพราะว่าต้องมีกุศล ที่เป็นเหตุ ผลคือกุศลวิบากจึงจะมีได้ แต่ถ้าขณะนั้นไม่เกิดกุศลจิต และหวังว่า คนอื่นจะส่งบุญไปให้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าจิตของใครเป็นอย่างไร กุศลวิบากหรืออกุศลวิบากก็ต้องเกิดจากกรรมคือกุศลจิตและอกุศลจิตของคนนั้น



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๘๕ ตอนที่ ๑๘๔๑ – ๑๘๕๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 104
    10 ก.พ. 2566