เสน่ห์อินเดีย 30

 
kanchana.c
วันที่  9 มี.ค. 2552
หมายเลข  11568
อ่าน  2,570

กลับกรุงเทพ

เมื่อทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารใหญ่โตสวยงามของโรงแรมคล้าร์กแล้ว ก็ออกเดินทางไปสนามบินพาราณสีเวลา ๑๒.๓๐ น. ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรม ประ-มาณ ๑ ชั่วโมง และเครื่องจะออกเวลา ๑๖.๓๐ น. คิดว่าจะมีเวลาเหลือเฟือ ที่ไหนได้ขั้นตอนในการตรวจสอบผู้โดยสารขาออกนั้นช่างวุ่นวายสับสนเหลือเกิน เมื่อเข้าไปในห้องผู้โดยสารขาออก คิดว่าคงจะดีกว่าขาเข้า เพราะในประเทศมักจะไม่ค่อยดี ปรากฏว่าแย่พอกัน เพราะเป็นห้องเล็กๆ เมื่อพวกเราร้อยกว่าชีวิตเข้าไปก็แออัดอย่างมาก แอร์ก็ไม่เปิด พัดลมก็เปิดบางตัว กว่าจะแลกตั๋วโดยสารก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย ตรวจเสร็จผ่านศุลกากร คิดว่าจะดีกว่าเดิม ที่ไหนได้ เจ้าหน้าที่ ๒ คน กับผู้โดยสารเกือบสองร้อย แล้วก็ตรวจละเอียดยิบ ได้ยินว่า หลังจากเกิดระเบิดที่มุมไบ ทำให้การตรวจสอบต้องเข้มงวดขึ้น พวกเราหลายคนถึงกับบอกว่า ถ้าสนามบินใหม่ที่กำลังสร้างอยู่ไม่เสร็จ ก็จะยังไม่มาพาราณสีอีก ระหว่างที่รอ พวกเราก็เอาขนมและน้ำที่เหลือมาแจก ทานน้ำไปก็ต้องเข้าห้องน้ำเข้าแต่ละครั้งก็เก็บเงิน ๑๐ รูปี ความจริงเขาไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องจ่ายหรอก แต่คนที่เฝ้าห้องน้ำ ทำหน้าที่เปิดปิดประตูให้ เมื่อเราออกมาก็เอามือชี้ที่ปากและท้องของเขาเราเลยแปลว่า ขอเงิน ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่า อย่ากินมาก เพราะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยหรือเปล่า ก็ได้ เนื่องจากโลกความคิดของเราและเขาแตกต่างกัน ตามการสะสมที่ต่างกันแต่เรื่องการขอคงจะตรงกันค่ะ

นี่แหละเสน่ห์อินเดีย ที่ทำให้จำอินเดียได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะเข็ดเขี้ยวขนาดไหนก็ยังอยากกลับไปกราบสังเวชนียสถาน และสถานที่ต่างๆ ที่มีในพุทธประวัติว่า พระผู้มี-พระภาคและพระอริยสาวกทั้งหลายเคยประทับอยู่ หรือเคยเสด็จผ่านไป จบเสียทีค่ะ ขอบคุณที่กรุณาเขียนให้กำลังใจ ความจริงตอนอยู่ที่อินเดีย คิดถึงคอมพิวเตอร์มากเลย คิดว่าถ้าเอาไปด้วย แต่ละวันจะเขียนเรื่องที่ประทับใจไว้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของท่าน มิฉะนั้น จะได้อ่านเรื่องไม่เป็นสาระมากมาย แค่นี้ก็รู้สึกว่า ได้พาตัวเองและผู้อ่านบ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญามากแล้ว แต่ทุกอย่างก็เป็นธรรม ใช่ไหมคะไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ถ้าปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งแม้เล็กน้อยในลักษณะของสภาพธรรมเหล่านี้ว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็เป็นลาภอันประเสริฐสุดในชีวิตนี้แล้ว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ajarnkruo
วันที่ 10 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ เสน่ห์อินเดีย 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

เสน่ห์อินเดีย 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20

เสน่ห์อินเดีย 21 22 23 24 25 26 27 28 29

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 10 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 10 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาพี่แดงเจ้าของกระทู้ และครูโอ ผู้ทำลิ้งค์ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornchai.s
วันที่ 10 มี.ค. 2552

อนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สุภาพร
วันที่ 11 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 12 มี.ค. 2552

อินเดียมีเสน่ห์จริงๆ ..ตามที่ kanchana.c ตั้งชื่อเรื่อง คงเพราะมีความหลากหลาย...ปัญหาอุปสรรค ..ความเป็นธรรมชาติทั้งคนและสิ่งแวดล้อม...สภาพธรรมต่างๆ ให้พิจารณา..และที่สำคัญที่สุดเป็นแดนเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปครั้งใด..ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระองค์.....

ใครๆ มักพูดว่าไม่เห็นจะน่าไปเลย...อินเดีย...ลองไปดู..ไปแล้วไม่มีวันลืม...อยากไปอีก...แต่ถามว่าทำไม...ตอบไม่ถูกรู้แต่ว่า..อยากไปเพราะเสน่ห์อินเดียตามที่kanchana.cได้ถ่ายทอดให้อ่านด้วยสำนวนการเขียนที่น่าอ่าน แฝงอารมณ์ขัน...ชวนติดตาม..นั่นแหละ....เสียดายจังที่จบแล้ว...ขออนุโมทนา kanchana.c คะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 12 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนากับพี่แดงที่เขียนเรื่องราวเสน่ห์อินเดียได้มากมาย มีรายละเอียด

อ่านแล้วเข้าใจง่าย และทำให้ได้รู้ว่าทุกขณะเป็นธรรมะ ทุกอย่างเป็นธรรมะ และต้องมีความอดทน สะสมการฟัง การอ่านทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้เกิดปัญ-

ญาประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมะ กราบอนุโมทนา อีกครั้งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
saifon.p
วันที่ 12 มี.ค. 2552
จบแล้ว...เสน่ห์อินเดีย...ได้ทบทวนถึงสถานที่ที่ได้ไป...คิดถึงกุศลที่ได้เจริญคิดถึงท่านอาจารย์....คิดถึงสหายธรรม...คิดถึงอินเดีย.....ขออนุโมทนา อ.แดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวทริปนี้ให้พวกเราได้อ่านอีกครั้งหลายท่านคิดตามเป็นเหตุให้เกิดกุศลจิต กราบขอบพระคุณและอนุโมทนานะคะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
natnicha
วันที่ 13 มี.ค. 2552

สนุกดีค่ะ คุณป้ายังเขียนหนังสือเรื่อง "มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา" ด้วยใช่หรือเปล่าคะ หนู

ชอบมากเลย ขออนุโมทนาค่ะ หนูจะติดตามอ่านเรื่องต่อไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ING
วันที่ 13 มี.ค. 2552

ทั้งๆ ที่ได้เดินทางร่วมไปในครั้งนี้ด้วย แต่ก็อดใจจดใจจ่อที่จะอ่านเรื่องของพี่แดง (ขออนุญาตเรียกตามท่านอื่นนะคะ เพราะพี่แดงท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก คนหนึ่ง) ไม่ได้ แล้วก็เกิดโลภะคือความเสียดายเมื่อเรื่องจบลงในตอนนี้ ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
phanrat
วันที่ 13 มี.ค. 2552

นี่แหละเสน่ห์อินเดีย ที่ทำให้จำอินเดียได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะเข็ดเขี้ยวขนาดไหน

ก็ยังอยากกลับไปกราบสังเวชนียสถาน และสถานที่ต่างๆ ที่มีในพุทธประวัติว่า พระผู้มี-พระภาคและพระอริยสาวกทั้งหลายเคยประทับอยู่ หรือเคยเสด็จผ่านไป

สาธุ ขอเหตุและปัจจัยที่ท่านและข้าพเจ้าได้สะสมมา ขอให้ท่านได้มีโอกาสกลับไป

กราบสังเวชนียสถานฯ อีกเนืองๆ (รู้สึกเหมือนตัวเอง phanratไม่พอรึเปล่าคะเนี่ย)

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
phanrat
วันที่ 13 มี.ค. 2552

แถมอีกนิดค่ะ ไปคราวหน้า อาจารย์แดง อย่าลืมพกคอมฯ ไปด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ :-)

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
homenumber5
วันที่ 10 มี.ค. 2553

อนุโมทนาท่านkanchana.c ที่บรรจงเขียน
เรื่องราวทั้งแง่บวกและมุมที่ประทับใจมาหลายหน้า

เวลาที่เราย่างเดินทุกแห่งในสังเวชนียสถานนั้น

เป็นเวลาที่ได้ตรึกระลึกว่าสถานที่นนี้หนอครั้งพุทธกาล กว่า 2553 ปีก่อนนี้

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ย่างพระบาทอยู่บริเวณนี้

ช่างเป็นกุสลที่เวลาผ่านไปเป็นพันปีแล้วเรายังมีโอกาสได้มาดินแดนที่พุทธองค์เคยเสด็จมาก่อน

อีกทั้งสาวก พระอรหันต์อื่นๆ อีกเล่า

ช่างน่าปลื้มปิติจริง

ส่วนมวลมนุษย์ที่แวดล้อมดูแลสังเวชนียสถาน

เราเองต้องขอบคุณเขาที่เขายังรักษาสังเวชนียสถานไว้ให้เราไปกราบไหว้บูชา

ไม่ทำลายเสียแบบในบางประเทศต้องขอบคุณชาวอินเดียจริงๆ

เงินไม่มากที่ให้ทานแก่เขานั้นเทียบได้กับบุญคุณที่ชาวอินเดียช่วยดูแลสถานที่เหล่านี้รอคอยศาสนิกมาเยี่ยมกราบบูชา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
สุรศักดิ์
วันที่ 24 ต.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ ติดตามอ่าน 2 วันจบ น่าสนใจ อ่านแล้วเหมือนได้มาเอง แต่ลองทบทวนดูสัญญาจำ ก็จำได้แต่เรื่องไม่น่าจำ รูป นามที่ต้องระลึก ก็ลืม

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ