เสน่ห์อินเดีย 23

 
kanchana.c
วันที่  6 มี.ค. 2552
หมายเลข  11522
อ่าน  1,835

สาลวโนทยาน ที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน

รถพามาถึงเมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็ก (ในความเห็นของตาบอดคลำช้างคือ เห็นแค่ส่วนนิดเดียว แล้วก็สรุป) ในปัจจุบันนี้เมืองกุสินาราจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในสมัยพุทธกาล กุสินาราก็เป็นเมืองเล็ก ในมหาปรินิพพานสูตร ท่านพระอานนท์กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า อย่าปรินิพพานในกรุงกุสินาราซึ่งเป็นเมืองเล็ก เมืองดอย เป็นกิ่งเมือง ขอให้เสด็จไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ๆ เช่น จัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี โกสัมพี พา-ราณสี แต่พระองค์ตรัสตอบว่า กรุงกุสินาราเคยเป็นราชธานี มีนามว่า กุสาวตี ซึ่งพระเจ้าสุทัสสนะจักรพรรดิ์ทรงปกครอง เคยเจริญรุ่งเรืองยิ่งมาแล้ว ทรงแสดงมหาทัสสนสูตร ว่า พระองค์เป็นพระเจ้าสุทัสสนะจักรพรรดิ์นั้น ทรงพรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยสมบัตินานาประการอย่างไร ก็ใช้สอยได้เพียงครั้งละอย่างเดียว ทรงสอนว่า สังขารทั้งปวงเหล่านั้น ล่วงลับไปแล้ว ดับแล้ว ปรวนแปรแล้ว สังขารไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าวางใจอย่างนี้ จึงควรที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง ควรเพื่อจะคลายกำหนัด ควรเพื่อจะพ้นไปเสีย ได้ยินพระคุณเจ้าที่วัดไทยกุสินารากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จดับขันธ-ปรินิพพานที่เมืองกุสินารานี้ นับเป็นครั้งที่ ๗ คือครั้งสุดท้าย ก่อนหน้านั้นเคยสวรรคตที่เมืองนี้มาแล้ว ๖ ครั้ง เมืองกุสินาราในยามเย็นเงียบสงบ เห็นไร่อ้อยอยู่ทั่วไป ชาวบ้านกำลังตัดอ้อยดูเศรษฐกิจที่นี่จะดีกว่าที่คยา แต่เมื่อรถจอดที่สาลวโนทยานก็มีเด็กขอทานหลายคนแต่ดูจะมีระดับกว่าที่คยามาก ดูจากการแต่งตัว และวิธีการขอ เพราะไม่ได้ร้องขอเฉยๆ มีการแสดงความสามารถด้วยการตีกลอง และสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัยไปด้วย สาลวโนทยานประกอบด้วยพระมหาปรินิพพานวิหารและพระสถูปที่เสด็จดับขันธ-ปรินิพพาน พวกเราพากันขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธรูปปางปรินิพพานในประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร คณะบ้านธัมมะจากเชียงใหม่นำผ้าผืนใหญ่มาถวายด้วย และคณะอื่นๆ ก็ถวายกันพร้อมกันหลายผืน ขออนุโมทนาค่ะ เมื่อกราบนมัสการพระพุทธรูปในพระวิหารซึ่งสร้างขึ้นภายหลังแล้ว ซาบซึ้งในพระพุทธคุณ ที่ทรงพระมหากรุณาโปรดสั่งสอนพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ แม้จะมีพระชนม์มากและทรงประชวรหนัก ก็ยังทรงดำเนินมาที่นี้ เพื่อโปรดสุภัททปริพพาชก ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ก็ขอบวชและเพียรพยายามจนได้บรรลุอรหัตในไม่ช้า นับเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายที่ได้เห็นพระองค์ ณ ที่แห่งนี้ นามขันธ์ของพระองค์ดับสนิท ไม่เกิดอีกเลย มีแต่รูปขันธ์ คือ พระบรมสารีริกธาตุที่ทรงเหลือไว้ให้กราบไหว้ มีสหายธรรมหลายคนที่ซาบซึ้งจนเดินออกไปด้วยน้ำตานองหน้าในครั้งนั้นสาวกทั้งหลายที่ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัต มีความเศร้าโศกเสียใจอย่างมากเช่น ท่านพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก พระผู้มีพระภาคทรงปลอบโยนว่า เป็นธรรมดาที่จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ จะปรารถนาให้สิ่งที่มีความทรุดโทรมเป็นธรรม-ดามิให้ทรุดโทรม ย่อมเป็นไปไม่ได้ แล้วทรงตรัสสรรเสริญพระอานนท์ว่า ตั้งเมตตาทั้งกาย วาจา ใจ ในพระองค์มาตลอดกาลนาน ได้ชื่อว่า ทำบุญไว้แล้ว จงเริ่มตั้งความเพียรเถิด จะเป็นผู้สิ้นอาสวะโดยพลัน พระอานนท์ทูลว่า เมื่อไม่มีพระองค์แล้ว จะไม่ได้เห็น ไม่ได้นั่งใกล้ภิกษุที่เข้ามาเฝ้าพระองค์ที่ทำให้เจริญใจ พระองค์ทรงแสดงสังเวชนียสถาน คือ สถานที่ควรสังเวช๔ คือ ที่ที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ ทรงแสดงธรรมจักร และปรินิพพาน ว่าเมื่อภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาจาริกไป มีจิตเลื่อมใส และตายลง ก็จะเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ และในที่สุด ก็ทรงแสดงปัจฉิมโอวาทว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่าน สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” เมื่อกราบนมัสการโดยทั่วถึง ก็ออกไปสนทนาธรรมข้างนอกพระวิหาร และเวียนเทียนประทักษิณพระสถูปที่ทรงปรินิพ-พาน เห็นซากปรักหักพังของสถานที่ทรงนำพระพระบรมศพไปประดิษฐานก่อนถวายพระเพลิงเป็นเวลา ๗ วัน อยู่ด้านหลังพระสถูป มืดพอดี รถบัสพาไปมกุฏพันธนเจดีย์ ผ่านโรงแรมนิกโก้โลตัส กุสินารา โรงแรมโรยัลเรสสิเดนซี วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ โรงแรมอิมพีเรียล และมกุฏพันธนเจดีย์ซึ่งปิดแล้ว โชคดีมาก ต้องกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะได้ชมในความมืดอีก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 7 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 7 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prachern.s
วันที่ 7 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 7 มี.ค. 2552
"...ทรงตรัสสรรเสริญพระอานนท์ว่า ตั้งเมตตาทั้งกาย วาจา ใจ ในพระองค์มาตลอดกาลนาน ได้ชื่อว่า ทำบุญไว้แล้ว จงเริ่มตั้งความเพียรเถิด จะเป็นผู้สิ้นอาสวะโดยพลัน..." ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 7 มี.ค. 2552


ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 7 มี.ค. 2552

เมื่อพระอานนท์แสดงธรรมกับภิกษุบริษัทแล้วนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่อิ่มในการเห็น

และการฟังธรรมของพระอานนท์เลย รวมถึงภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ก็นัยเดียวกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
saifon.p
วันที่ 7 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ING
วันที่ 7 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คุณ
วันที่ 7 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pornpaon
วันที่ 8 มี.ค. 2552

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pornchai.s
วันที่ 9 มี.ค. 2552

อ่านตอนต่อไปเชิญ คลิก ครับ เสน่ห์อินเดีย 24

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
แมวทไวไลท์
วันที่ 13 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ