อัตตทีปสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๔

 
มศพ.
วันที่  3 ก.ย. 2554
หมายเลข  19645
อ่าน  2,670

วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

อัตตทีปวรรคที่ ๕ อัตตทีปสูตร (ว่าด้วยการพึ่งตน พึ่งธรรม) จาก ...

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 88 - 91
นำสนทนาโดย ... ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

[๘๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน ผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป, ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑ ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑ ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑ วิญญาณนั้น ของเขา ย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะวิญญาณแปรไป และเป็นอย่างอื่นไป.

[๘๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่ารูปไม่เที่ยงแปรปรวนไป คลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า รูปในกาลก่อน และรูปทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปรกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าเวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยงแปรปรวนไป คลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า วิญญาณในกาลก่อน และวิญญาณทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะ เป็นต้น เหล่านั้นได้ ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปรกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.

จบ อัตตทีปสูตรที่ ๑

อัตตทีปวรรคที่ ๕ อรรถกถาอัตตทีปสูตรที่ ๑
อัตตทีปวรรค สูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า อตฺตทีปา ความว่า ท่านทั้งหลายจงทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นคติที่ไปในเบื้องหน้า เป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
บทว่า อตฺตสรณา นี้เป็นไวพจน์ของบทว่า อตฺตทีปา นั้นแล.
บทว่า อนญฺสรณา นี้ เป็นคำห้ามพึ่งผู้อื่น ด้วยว่าผู้อื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะคนหนึ่งจะพยายามทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺสรณา (ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ) .
ถามว่า ก็ในที่นี้ อะไรชื่อว่าตน? แก้ว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตตระ ชื่อว่าตน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺสรณา (มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ) ดังนี้.
บทว่า โยนิ ได้แก่ เหตุ ดุจในประโยคมีอาทิว่า โยนิ เหสา ภูมิชผลสฺส อธิคมาย (นี้แลเป็นเหตุให้บรรลุผลอันเกิดแต่ภูมิ) .
บทว่า กึ ปโหติกา ได้แก่ มีอะไรเป็นแดนเกิด อธิบายว่า เกิดจากอะไร.
บทว่า รูปสฺส เตฺวว นี้ ท่านปรารภเพื่อแสดงการละความโศก เป็นต้น เหล่านั้น นั่นแล.
บทว่า น ปริตสฺสติ ได้แก่ ไม่ดิ้นรน คือ ไม่สะดุ้ง.
บทว่า ตทงฺคนิพฺพุโต ได้แก่ ดับสนิท ด้วยองค์นั้นๆ เพราะดับกิเลสทั้งหลาย ด้วยองค์คือวิปัสสนานั้น. ในพระสูตรนี้ท่านกล่าวเฉพาะวิปัสสนาเท่านั้น.

จบ อรรถกถาอัตตทีปสูตรที่ ๑.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
อัตตทีปสูตร (ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรม)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อให้ภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรม เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีสิ่งอื่น เป็นที่พึ่ง โดยตรัสให้พิจารณาว่า ความทุกข์ทั้งปวงนั้นมาจากอะไร? เพราะเหตุว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า ย่อมยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป ย่อมเศร้าโศกเสียใจ อยู่เป็นทุกข์ ส่วนผู้ที่รู้ธรรมตามความเป็นจริง เห็นว่าสภาพธรรม เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เมื่อสภาพธรรมแปรปรวนไป ย่อมละความเศร้าโศกเสียใจได้ ย่อมเป็นผู้อยู่เป็นสุข ไม่เดือดร้อน.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ครับ
จงมีตนเป็นที่พึ่ง
ตนย่อมเป็นที่พึ่งของตน หมายความว่าอย่างไร
ที่พึ่งอย่างแท้จริง ... ๑ ...
ที่พึ่งอย่างแท้จริง ... ๒ ...
ยึดถือขันธ์ ๕ คือ สักกายทิฏฐิ
สักกายทิฏฐิ

สักกายทิฏฐิ ๒๐ คืออะไร
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนไม่เที่ยง

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nong
วันที่ 4 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ อ่านพระสูตรนี้แล้วได้คำตอบและได้ความเข้าใจเพิ่มขี้นว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 4 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paew_int
วันที่ 5 ก.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 7 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 8 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่นด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 9 ก.ย. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
มกร
วันที่ 10 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ