พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 42


    ตอนที่ ๔๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ สติเกิดแล้วก็ดับ เป็นปกติธรรมดาอย่างนี้ แม้ในขณะที่กำลังเห็นก็รู้ว่าขณะนี้มีสภาพธรรม และสติกำลังรู้ลักษณะอย่างนี้ เพื่อที่จะได้ชินกับลักษณะซึ่งเป็นรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางหู หรือทางกาย เช่น แข็งขณะนี้ รู้ตรงนั้น นิดเดียว เพราะว่าทุกอย่างไม่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นเป็นช่วงขณะสั้นๆ

    ผู้ฟัง จริงๆ แบบนี้ก็ยังเป็นการปฏิบัติเหมือนกัน ยังมีเรา ยังไม่เป็นธรรมชาติ

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเรื่องจริง ตามปกติด้วย ธรรมดาเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วก็อะไร

    ผู้ฟัง เสร็จแล้วก็หลงลืมสติ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เสร็จแล้วก็หลงลืมสติ ก็ธรรมดา ทุกคนทราบเป็นธรรมดา แล้วอย่างไรต่อ

    ผู้ฟัง เสร็จแล้วก็มีสติอีก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดา

    ผู้ฟัง จะสลับไปแบบนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าสติมีปัจจัยที่จะเกิด นี่ไม่เป็นปัญหา แต่เป็นปัญหาก็คือว่าแล้วเมื่อไรสติจะเกิดอีก แล้วเมื่อไรปัญญาจะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม นี่คือปัญหา แต่ถ้าไม่มีปัญหา เมื่อสติเกิดก็รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น เมื่อดับไปก็รู้ว่าเป็นธรรมดา แล้วเมื่อไรสติสัมปชัญญะเกิดก็รู้อีก เพราะว่าลักษณะของสติสัมปชัญญะต่างกับขณะที่หลงลืมสติ นี่คือสิ่งที่จะต้องรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปถามคนอื่นว่าแล้วมีสติ หรือไม่ เพราะว่าลักษณะของสติเมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นก็รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งขณะนั้นมีเฉพาะลักษณะนั้นเท่านั้นที่ปรากฏ อย่างอื่นไม่ได้ปรากฏ เมื่อดับก็ดับก็เป็นธรรมดา และเมื่อเกิดอีกก็เกิดอีกก็เป็นธรรมดา แต่ถ้าปัญหาก็คือ เมื่อไรจะรู้อีก เมื่อไรจะเกิดอีก เมื่อไรจะมาก ถ้าไม่มีปัญหาก็เป็นการอบรมไปเรื่อยๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าธรรมเป็นอย่างนี้มีลักษณะหลากหลายที่ยังไม่รู้เพราะสติไม่ได้ระลึก เช่น ขณะนี้เอง ขณะนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฟังมาว่าเป็นธรรม แล้วก็มีลักษณะต่างๆ ก็จริง เข้าใจ แต่สติก็ไม่ได้ระลึกสักลักษณะเดียว ก็รู้ความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะ ผู้ที่ศึกษาใหม่จะเริ่มเข้าใจ และจะแยกได้อย่างไรว่าเป็นสภาพธรรมที่ระลึกจริงกับคิดตาม

    ท่านอาจารย์ คิดก็คิด ขณะที่กำลังมีลักษณะแข็งปรากฏ ตรงที่ไม่ได้คิดก็คือไม่ได้คิด

    อ.ธิดารัตน์ คือผู้ศึกษาใหม่จะต้องศึกษา และทำความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็จะสามารถแยกได้เองด้วยปัญญาของเขา

    ท่านอาจารย์ ลองรู้ตามความเป็นจริงว่าขณะที่แข็ง และใครก็ตามในขณะนี้จะมีปัจจัยที่สติสัมปชัญญะจะรู้ตรงแข็งได้ ไม่ใช่ว่ารู้ยากเย็นอะไรเลย แต่จะต้องรู้ว่าแม้ว่าจะรู้ตรงแข็งก็น้อยมากเมื่อเทียบกับสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เป็นแต่เพียงทางเดียว และนานๆ ครั้งหนึ่งแล้วก็หมดไปแล้ว แต่ก็ให้รู้ว่าขณะนั้นก็ต่างกับขณะที่ไม่ได้รู้ตรงแข็ง ก็เป็นการรู้ความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ และขณะที่กำลังมีลักษณะแข็ง คิดไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว

    อ.ธิดารัตน์ คิดไม่ได้ด้วย และไม่มีความติดข้องในขณะนั้น ไม่มีเยื่อใย ไม่มีอะไร มีแต่ลักษณะอย่างนั้นอย่างเดียว เฉพาะอย่างจริงๆ ด้วย

    ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่ได้ดับความเป็นเรา เพียงแต่เริ่มที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นขณะที่กำลังมีลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ปรากฏ เช่น เราจะคิดว่าโต๊ะแข็ง ในขณะที่ไม่มีการกระทบสัมผัสเลย ลักษณะของแข็งไม่ได้ปรากฏเลยใช่ หรือไม่ แล้วเวลาที่แข็งกำลังปรากฏ แต่ก็ไม่ได้รู้ตรงลักษณะ ก็เป็นกายวิญญาณธรรมดาที่เป็นสภาพธรรมที่รู้ลักษณะที่แข็ง ตามปกติทุกคนรู้ แต่เมื่อได้ฟังแล้วรู้ว่าลักษณะแข็งมีจริง และลักษณะที่แข็งไม่ใช่อะไรเลย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ลักษณะนั้นขณะนั้นจริงๆ ถ้าฟังแล้วไม่ลืมก็ต้องรู้ว่าลักษณะนั้นเกิดแน่นอน ถ้าไม่เกิดจะไม่ปรากฏ แต่ตรงนี้ยังไม่รู้ เพราะเหตุว่าต้องอบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นที่สามารถจะประจักษ์การเกิดดับได้ ซึ่งความจริงเกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา

    ผู้ฟัง คือเราจะต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ โดยวิธีไหน

    ผู้ฟัง คือโดยวิธีธรรมชาติ

    ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจยิ่งขึ้นจนกระทั่งเป็นความรู้ขั้นฟัง เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมยิ่งขึ้น เพราะว่าเราไม่ได้ฟังชื่อ แต่ขณะนี้กำลังฟังเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ทรงแสดงไว้ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทุกขณะมีจริงๆ ก็ฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น เวลาที่สติสัมปชัญญะระลึกจึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะที่ไม่ใช่เรา แต่ว่ากว่าจะชินแต่ละลักษณะ จะไม่มีปัญหา

    คุณอุไรวรรณ ขณะนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน บุคคล แต่เป็นสภาพธรรม มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็ขอให้สนทนาเพื่อประโยชน์จริงๆ แล้วก็เป็นชีวิตประจำวัน เพราะปกติเราจะมีความคิดตามสิ่งที่เราเห็นเสมอ เช่น เมื่อสักครู่ที่เข้ามาในห้องนี้ ก็เห็นดอกไม้ที่บูชาพระบรมสารีริกธาตุจัดไว้อย่างสวย ทำให้ใจเกิดคิด และคุยกับคุณธิดารัตน์ว่าอยากจะให้ทุกคนมีใจสวยเช่นดอกไม้ที่เรากำลังเห็นในขณะนี้ ซึ่งก็เป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เพราะว่าดอกไม้ก็ดูมีหลายอย่าง แต่ละอย่างก็งามไปคนละแบบ เพราะฉะนั้นสภาพของจิตใจ หรือโสภณเจตสิกก็ต้องวิจิตรไปตามการสะสมของแต่ละคน เพราะฉะนั้น ถ้าใจของเราได้ฟังพระธรรมแล้วนานพอสมควร เช่น เรื่องชาติของจิต กุศล อกุศล วิบาก กิริยา เราฟังแล้ว แล้วใจเราเดี๋ยวนี้คิดเรื่องอะไร ไม่มีใครจะสามารถจะรู้ได้ว่าขณะต่อไปจะคิดเรื่องอะไร แต่ขอสนทนาด้วยกับประโยชน์ที่ได้รับจากการที่เราได้ฟังเรื่องของชาติของจิต เรื่องของจิตที่มีลักษณะที่เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ และขณะนี้จิตกำลังเกิดขึ้นทำกิจแต่ละอย่าง เช่น ในขณะที่เห็น ในขณะที่คิด แม้ในขณะที่พูดก็ต้องมีจิตที่ตรึกนึกถึงคำอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาเลย ทุกคนจะพูดอะไรก็พูดออกมา ก็แสดงให้เห็นว่าขณะนั้นสภาพธรรมนั่นเกิด แล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย

    เมื่อได้ฟังเรื่องชาติของจิต หรือ เรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นขณะที่จิตกำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง ขณะนี้เมื่อฟังแล้วคิดอะไร เพราะความคิดนี่สำคัญที่สุด เพียงเห็นโดยไม่คิด เห็นเป็นผลของกรรม แต่คิดไม่ใช่ผลของกรรม แต่เกิดจากการสะสม สั่งสมทั้งหมด ทีละเล็กทีละน้อยในแสนโกฏิกัปป์ แต่ละชาติที่เราจะได้ยินเรื่องธรรม หรือได้ยินเรื่องอื่นก็ตาม ไม่ได้หายไปไหนเลย แต่สะสมสืบต่อเป็นสังขารขันธ์ที่วิจิตรมากที่จะปรุงแต่งให้ทุกขณะนี้เป็นนานาความคิดที่เกิดขึ้น และความคิดที่เกิดขึ้นเราก็ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมดใช่ หรือไม่ คำที่พูดเป็นเพียงบางส่วนของความคิดเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรม เรื่องจิต คิดอะไรบ้าง เพราะว่าปัญญามี ๓ ขั้น สุตตมยญาณ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ในขณะนี้คนที่ฟัง แล้วไม่หลับ และก็ไม่คิดเรื่องอื่นก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ขณะนั้นก็เป็นจิต คือเป็นปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง โดยที่เราก็ไม่ได้ไปรู้หน้าที่ของจิตแต่ละขณะเลยว่าจิตขณะไหนเห็น จิตขณะไหนได้ยิน และจิตขณะไหนคิดนึก และจิตขณะไหนไตร่ตรองพิจารณา ขณะไหนเป็นความเข้าใจ แต่ทั้งหมดก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ และทุกขณะในชีวิตประจำวัน แต่ความคิดแต่ละคนต่างกัน

    เพราะฉะนั้น เมื่อฟังเรื่องชาติของจิตแล้ว ปัญญาที่สำเร็จจากการพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังก็ควรจะมีด้วย เพราะว่าขณะที่กำลังฟังมีความเข้าใจ แต่จะสังเกตได้ว่าวันหนึ่งๆ ปัญญาที่เกิดจากการไตร่ตรองของเราเมื่อไม่ได้ฟัง หรือไม่ได้อ่านจะมีมากน้อยแค่ไหน และเป็นไปในลักษณะใด นี่คือประโยชน์ที่จะรู้จักธรรมว่า การรู้จักธรรมจริงๆ ก็รู้จักโลกใบนี้ของแต่ละคน ไม่เกี่ยวข้องกับโลกใบอื่นเลย จิตของใครกำลังคิดอะไรดับไปแล้ว จิตของอีกคนกำลังเห็น และก็ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นต่างคนต่างอยู่ แต่ในโลกของแต่ละคนเต็มไปด้วยความคิดเรื่องคนต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ในขณะจิตที่คิดแล้วก็ดับ คิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นปัญญาที่สำเร็จจากการได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง แล้วคิด มีอะไรบ้าง สำหรับแต่ละท่าน

    ผู้ฟัง เรื่องประโยชน์จากการได้ฟังธรรม เรื่องชาติของจิตที่ทำให้เราทราบว่าจิตดวงไหนเป็นเหตุ จิตดวงไหนเป็นผล ถ้าเราสร้างเหตุดี ผลก็จะดี

    ท่านอาจารย์ สั้น แต่ความหมายก็มาก เพียงสั้นๆ อย่างนี้ รู้ว่าจิตขณะไหนเป็นเหตุ จิตขณะไหนเป็นผล นี่เพียงเหมือนเด็กเกิดใหม่ หรือว่าเหมือนเด็กทารกจริงๆ ที่จะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นจากการฟัง เพราะอะไร ขณะนี้จิตไหนเป็นวิบาก เห็น หรือไม่ เราฟังเรื่องราวหมดเลย จิตเห็นเป็นวิบาก จิตได้ยินเป็นวิบาก จิตคิดนึกไม่ใช่วิบาก เราก็เพียงได้รับสิ่งซึ่งได้ยินได้ฟัง แต่ถ้ามีการคิดไตร่ตรองเพิ่มขึ้น ปัญญาที่เกิดจากการไตร่ตรองตรงทาง เป็นความคิดถูก ความคิดที่ประกอบด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะรู้ว่าเรารู้จักชื่อ แน่นอน ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็กำลังเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดจากการไตร่ตรอง หรือ การคิดจะไม่ทำให้เราหลอกตัวเอง แล้วก็ไปผิดทาง เพราะเรารู้ว่าขั้นฟังเราเข้าใจ แต่กำลังเห็นจะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นผลของกรรม ต้องอาศัยการอบรมเพราะเหตุว่าทั้งชีวิตก็จะไม่พ้นจากเรื่องวิบากที่เป็นผลของกรรม เมื่อวานนี้ก็มีวิบากมาก เห็นได้ยินอะไรสารพัดอย่าง รับประทานอาหาร รสปรากฏอะไรทุกอย่าง แต่จิตเข้าใจสภาพธรรมตามที่เราได้เรียนจริงๆ มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็จะเป็นผู้ตรงจริงๆ แล้วรู้จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมว่า เพื่อให้ปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละความไม่รู้ อวิชชานุสัย และทิฏฐานุสัย การที่เคยหลงยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็วว่าไม่ได้ดับเลย ยังคงอยู่ และก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น เรื่องของการฟังธรรมก็เป็นเรื่องที่ตรง และก็ได้รู้ว่าถ้าเป็นความเห็นถูกก็คือรู้ว่า ขณะที่ฟังเป็นขั้นที่ฟัง แล้วก็ยังมีความเห็นถูกต่อไปว่า ยังไม่ถึงระดับ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่ออะไรที่รู้อย่างนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ไปรู้อย่างอื่น แต่รู้ตรง ขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็เข้าใจถูกอย่างที่กำลังได้ยินได้ฟังว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้เองก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

    ค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงแต่ละทาง คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ส่วนความคิดนั้นก็ไม่ใช่ผลของกรรม ก็จะเป็นประโยชน์คือรู้ว่าต้องรู้ความจริงของสภาพธรรมให้ตรงกับที่ได้ยินด้วย เพื่อที่จะให้ค่อยๆ เข้าถึงความเป็นอนัตตาว่า บังคับบัญชาไม่ได้เลย และได้รู้ตามความเป็นจริงว่า จิตที่กำลังเห็น กำลังได้ยินขณะนี้เป็นระดับไหน เพราะว่าเมื่อประมวลแล้วจิต ๘๙ ประเภทก็จำแนกออกเป็น ๔ ระดับ หรือ ๔ ขั้น คือ กามาวจรจิต ๑ รูปาวจรจิต ๑ อรูปาวจรจิต ๑ โลกุตตรจิต ๑ แล้วเราจะไปทางไหน เด็กอนุบาลได้ยินแล้วจะไปทางไหน จะไปตรงทางที่จะทำให้รู้สภาพธรรมถึงความเป็นโลกุตตรจิต หรือจะไปทางอื่นที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่หวังว่าจะถึงโดยไม่รู้อะไร ทั้งๆ ที่สิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าต้องเป็นผู้ที่มีสัจจญาณในอริยสัจ รู้ว่าสภาพธรรมในขณะนี้จริง

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเพื่อผู้อื่นก็จะได้รู้ตามได้ แล้วก็สามารถจะดับกิเลสได้ เมื่อปัญญาถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    อีกไกล หรือไม่ ทีนี้เมื่อรู้ว่าไกลแล้ว ยังสำคัญที่ความคิดอีก บางคนหนีไปเลย ท้อถอย ไกลมาก อยู่ไปตามบุญตามกรรมอย่างนี้ จะออกจากสังสารวัฏฏ์เมื่อไร หรือจะไม่ออกก็ยอมสู้ ยอมทนเพราะว่ายาก แต่จริงๆ ผู้ที่ท่านบรรลุแล้วมี แต่ท่านเป็นผู้ที่มีความฉลาด มีปัญญาที่จะรู้ว่าอะไรประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เป็นของใครเลยสักอย่างเดียว แม้แต่รูปตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าก็ไม่ใช่ของใคร มีกรรมเป็นสมุฏฐานทำให้เกิดขึ้น มีจิตเป็นสมุฏฐานทำให้เกิดขึ้น มีอุตุความเย็นร้อนเป็นสมุฏฐานให้เกิดขึ้น มีอาหารเป็นสมุฏฐานให้เกิดขึ้น และทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก หรือรูป เกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นก็จะไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับอยู่ในเหวลึก และยิ่งลึกลงไปอีก ไม่มีทางที่จะขึ้นพ้นจากเหวนั้นได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าถ้าอยู่ในความมืดก็มืดสนิทอีก เพราะปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้

    ผู้ฟัง การฟังพื้นฐานอภิธรรม การฟัง การเรียน คำสอนจะออกมามากมาย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนที่อาจารย์บอกว่าท้อถอยแล้ว เกิดจากอะไร หรือปัญญาไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสะสมมาที่จะไม่เห็นคุณค่า ยาก ถูกต้อง ใครว่าง่าย เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง ทีนี้ในกรณีที่สะสมมาไม่เห็นคุณค่า เมื่อชาตินี้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่ควรทำก็คือให้สะสมให้ฟังใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเห็นความต่างของอวิชชา ความไม่รู้กับวิชชาคือความรู้ และจะสะสมอะไร

    ผู้ฟัง คือหมายความว่าควรสะสมไป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ยากก็ยาก และก็ไม่ได้บังคับให้ใครไปละกิเลสให้หมดภายใน ๑๕ วัน เดือนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ แต่อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกว่าจะสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็กำลังเกิดดับทุกขณะ

    ผู้ฟัง ในกรณีที่ดำเนินชีวิตในลักษณะทางเสื่อมที่เราเรียน ที่เราสนทนากัน บุคคลที่ดำเนินชีวิตไปในทางเสื่อม ซึ่งบางคนบอกว่ารู้ว่าไม่ดีแต่จะทำ หมายความว่าบุคคลนั้นไม่สะสมสิ่งที่ดีมาอย่างนั้น หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราเอาสัตว์ บุคคลออก เหลือแต่จิต จิตแต่ละขณะมาได้อย่างไรที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ในขณะนี้ ต่างๆ กันไปหลากหลายตามการสะสมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะไปให้คนนี้ไม่คิดอย่างนี้ และให้คนนั้นคิดอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนมีตนเป็นที่พึ่ง แต่ตนที่นี่ไม่ใช่อกุศล แต่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ เป็นปัญญา จึงสามารถที่จะเป็นที่พึ่งออกจากความไม่รู้ได้ ถ้าบอกว่าออกจากสังสารวัฏฏ์ บางคนก็ไม่อยากออก เพลินดี ก็อยู่ไป ไม่เห็นลำบาก เจ็บไข้ได้ป่วยบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็สนุกไปบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็อยู่ได้ไปวันๆ หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ได้ออกจากอวิชชาเลย เต็มไปด้วยอวิชชา ความไม่รู้ และยังชอบที่จะเป็นอย่างนั้น แต่คนที่ได้ฟังธรรมแล้ว และมีการสะสมที่จะพิจารณาให้เกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจถูก ทำให้เกิดความคิดที่ถูก ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย จะอาศัยอะไรให้มีความคิดถูกว่าอะไรดีควรอบรม อะไรไม่ดีไม่ควรอบรม ไม่ควรเจริญ ไม่ควรกระทำ

    เพราะฉะนั้นการที่เราได้ฟังธรรม เป็นขณะที่หายาก ที่ว่าชาติก่อนเราเกิดเป็นอะไร ไม่รู้ ได้ฟังพระธรรม หรือไม่ และก็ชาติหน้าก็คงไม่ไกล ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปช้า หรือเร็ว ชาติหน้าจะได้ฟังพระธรรม หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็เห็นประโยชน์ของชาตินี้สูงที่สุด ไม่มีอะไรเสมอได้ คือการได้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ และการทรงแสดงธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย ใครจะรู้ได้ และในการที่เราได้มีโอกาสฟัง และเราจะเห็นเลยว่า เคยอยู่ในความมืด ความไม่รู้ แล้วก็มีแสงสว่างที่สว่าง คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนเดิม แต่ความเห็นถูกเพิ่มขึ้น เกิดขึ้นได้ เพราะได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง ก็มีคำพูดบอกว่า รู้ว่าคำสอนนี้ดี แต่ทำไม่ได้ อย่างนี้คือการสะสม หรือไม่

    ท่านอาจารย์ หมายความว่ารู้ไม่จริง และรู้ไม่หมด ถ้าทำไม่ได้คือมีความเป็นเรา แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไร แต่สามารถที่จะเข้าใจว่าแต่ละขณะเป็นธรรม เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง แม้ในขั้นต้นคือทุกอย่างเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ทางเสื่อมที่ว่าชอบนอน ชอบคุย ไม่หมั่น เกียจคร้าน โกรธง่าย รู้สึกจะมีทั้งหมด ทั้งๆ ที่รู้แต่ละไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ให้เราละ เราละไม่ได้แน่ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ละอะไรไม่ได้ ความไม่รู้ก็ละไม่ได้ เป็นหน้าที่ของปัญญา และโสภณเจตสิก

    ผู้ฟัง ต้องเกิดจากการฟังอีก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นปัญญาในพระศาสนานี้มี ๓ ขั้น ข้ามขั้นไม่ได้เลย สุตตมยปัญญา ถ้าไม่มีการฟังเราไปคิดเอง คิดอย่างไรก็ไม่ได้ ขณะนี้เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับด้วย ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย

    ผู้ฟัง ในชาตินี้ที่เราเกิดมาแล้วได้ฟัง เราก็จะหลีกพ้นจากทางเสื่อมที่บอกว่า ชอบนอน ชอบคุย ถ้าเราสะสมใหม่ ไม่ต้องชอบนอน คือรู้ว่าถ้านอนไม่ถูกแล้ว หมายถึงว่างๆ แล้วไปนอน ไม่ได้หมายถึงตอนเย็นเลิกงาน ชาวบ้านเขานอนแล้วเรามานั่ง นั้นไม่ใช่ แล้วก็ชอบคุยเป็นเรื่องที่ทุกคนปรารถนา ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชอบคุยจริงๆ คุยแม้กระทั่งฝนตก ฟ้าร้อง รถติด ก็คุย ซึ่งไม่ทราบว่าสาระอยู่ไหน แต่บุคคลที่คุยนั้นก็ยังไม่ทราบ ทีนี้หลังจากที่เราฟังแล้ว ก็จริงๆ นะ ฝนตก ฟ้าร้อง ไม่รู้มาบอกทำไม ก็ไม่ต้องบอกแล้ว เมื่อคืนรถติด นอนไม่หลับก็ไม่จำเป็นต้องมาพูดกับใครแล้ว ในความคิดเป็นอย่างนั้น นั่นเป็นการปฏิบัติธรรม หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องใช้ชื่อเลย จริงๆ แล้ว ธรรมเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ในกรณีที่อาจารย์แสดงอยู่เรื่อยๆ ว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือวิบาก ปรากฏแล้วก็หายไป นั่นคือปรมัตถ์ที่มีอยู่ แต่พวกเราไม่รู้ ถูกต้อง หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ต้องอาศัยการตรัสรู้ และการทรงแสดงธรรม ทำให้เราสามารถที่จะได้ฟัง และเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เราเรียนเราก็ทราบว่าสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ในกรณีอย่างนี้ แล้วบุคคลที่ฟังแล้วก็รู้เส้นทางนี้ แต่ยังชอบปฏิบัติ หมายความว่าก็สะสมมาอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ยังเป็นเรา และก็จะทำอยู่ เข้าใจจริงๆ หรือไม่ ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วใครจะปฏิบัติ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    18 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ