ชุด วิถีจิต แผ่นที่ ๒ ตอนที่ ๖


    โลภมูลจิตขณะใดเกิดขึ้นชอบเสียงที่กำลังปรากฏ เป็นโสตทวารวิถีจิต ดับแล้ว และโลภมูลจิตที่นึกชอบในเสียงที่ทางโสตทวารวิถีจิตรู้ และดับแล้ว โลภมูลจิตที่นึกชอบต่อจากโสตทวารวิถีจิต ขณะนั้นโลภมูลจิตนั้นเป็นมโนทวารวิถีจิต

    สำหรับการทบทวนที่จะให้เข้าใจลักษณะของจิตซึ่งเป็นไปในวันหนึ่งๆ ก็ควร ที่จะได้ทราบว่า เมื่อจิตทั้งหมดมีถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท แต่กิจทั้งหมดของจิต มีเพียง ๑๔ กิจเท่านั้น และในแต่ละกิจ จิตใดทำกิจนั้นๆ บ้าง หรือจิตใดเกิดขึ้น ทำกิจใดใน ๑๔ กิจ มิฉะนั้นจะไม่รู้จักตัวเองเลยว่า ขณะนี้เป็นจิตอะไร ทางทวารไหน ไม่ใช่เราอย่างไร และจะไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไรกัน แต่จริงๆ แล้วเกิดมาทำกิจการงานตามทวารต่างๆ นั่นเอง บังคับไม่ให้ทำก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่เกิดขึ้น ทำกิจการงานนั้นๆ

    สำหรับกิจที่ ๑ ปฏิสนธิกิจ จิตที่ทำกิจนี้เป็นวิบากจิต คือ เป็นจิตที่เป็นผลของกรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ต้องเป็นอกุศลวิบากจิต และถ้าเป็นผลของกุศลกรรม จิตที่ทำกิจปฏิสนธิต้องเป็น กุศลวิบากจิต แต่จิตที่ทำปฏิสนธิกิจทั้งหมดมี ๑๙ ดวง ไม่ใช่มีเพียง ๒ ดวง ซึ่งจิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ๑๙ ดวง เป็นอกุศลวิบากเพียง ๑ ดวงเท่านั้น อีก ๑๘ ดวง เป็นกุศลวิบาก

    คิดถึงการเกิดขึ้นในโลก ในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิไหนที่เป็นภูมิต่ำ ภูมิใหญ่ ภูมิเล็ก ภูมิน้อย ในอบายภูมิ เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอรูปพรหม ทั้งหมดนี่จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ จะมี ๑๙ ดวง แต่เป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรมเพียง ๑ ดวงเท่านั้น

    สำหรับอกุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิ จะทำให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ๑ หรือ เป็นเปรต ๑ เป็นอสุรกาย ๑ และเกิดในนรก ๑

    ถ้าพูดเรื่องปฏิสนธิกิจ ทุกท่านก็รู้สึกว่าผ่านมาแล้ว ไม่น่าจะสนใจ เพราะว่าเสร็จแล้ว หมดแล้ว หลายปีแล้ว แต่อย่าลืมว่ากำลังจะเกิดอีกข้างหน้า น่าสนใจไหม

    ปฏิสนธิจิตในสังสารวัฏฏ์จะไม่หยุดเลยตราบใดที่ยังมีกรรม และทุกคนมี ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม จึงน่าที่จะได้ไตร่ตรอง สังวร พิจารณาดูถึงปฏิสนธิจิต ในภพต่อไปว่า กรรมใดจะทำให้เกิดในภพภูมิใด แม้ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่เพราะ ไม่สามารถจะรู้ได้ จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศล เพราะถ้าประมาท และทำอกุศลกรรมอยู่เรื่อยๆ ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตของชาติหน้า หลังจุติจิตของชาตินี้เป็นอกุศลวิบาก คือ เป็นผลของอกุศลกรรมซึ่งจะทำให้เกิดในนรก หรือเกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    น่าสนใจไหม ปฏิสนธิจิต เมื่อไรก็ไม่ทราบ วันไหนก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นขณะนี้ หรือเย็นนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือปีต่อไปก็เป็นได้

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบว่า สำหรับอกุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิ คือ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก กรรมทั้งหลายที่ได้กระทำไปไม่ว่าจะเป็นกายกรรมก็ตาม วจีกรรมก็ตาม กรรมหนักก็ตาม หรือกรรมเบาเพียงเล็กๆ น้อยก็ตาม กรรมเหล่านั้นทั้งหมดเวลาให้ผล จะทำให้อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากเกิดในภูมิหนึ่งภูมิใด ที่เป็นอบายภูมิ และทุกคนก็ยังระลึกถึงอกุศลกรรมของตนเองได้ว่า มี แม้ในชาตินี้ แต่การที่ปฏิสนธิจิตจะเกิดในชาติหน้านั้น ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเฉพาะผลของกรรม ในชาตินี้ชาติเดียว แม้กรรมในอดีตอนันตชาติที่ได้กระทำแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะเป็น ชนกกรรม ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นหลังจากจุติจิตของชาตินี้ดับลง

    สำหรับอีก ๑๘ ดวง เป็นกุศลวิบากทั้งหมด ซึ่งก็คงจะทราบว่า แบ่งออกเป็นภูมิๆ คือ เป็นกามาวจรวิบาก เป็นผลของกุศลกรรมที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งเรากระทำกันอยู่ ฉะนั้น การกระทำบุญกุศลของเราใน ปัจจุบันชาติ ก็ต้องเป็นไปกับรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง และเวลาที่ให้ผล ก็ให้ผลทำให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้นในกามภูมิที่เป็นสุคติภูมิ

    สำหรับจิตที่ทำให้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ มีทั้งหมด ๙ ดวง คือ เป็น กุศลวิบากอย่างอ่อนๆ ให้ผลทำให้อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากเกิดขึ้นในภูมิมนุษย์ หรือในสวรรค์ชั้นต้น แต่เป็นผู้ที่ไม่ประกอบด้วยความสมบูรณ์พร้อมทางกาย เช่น อาจจะพิการ หรือทางใจอาจจะเป็นผู้ที่บ้า หรือสติปัญญาอ่อน นี่ก็เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน

    แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังขึ้น ก็ยังต้องแยกออกเป็น ๒ ประเภท ว่าเป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าเป็นกุศลกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น การให้ทาน หรือในขณะนั้นไม่ได้ศึกษา พระธรรม ไม่ใช่การเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา ก็จะทำให้มหาวิบากทำกิจปฏิสนธิ แต่เป็นมหาวิบากประเภทที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้น เป็นชีวิตที่แต่ละท่านพอจะเลือกอบรมได้ว่า ต้องการปฏิสนธิ ชนิดไหน ถ้าต้องการปฏิสนธิที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ชาตินั้นทั้งชาติก็จะไม่มี ความสนใจในพระธรรมอย่างที่ถึงขั้นสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1800

    นาที 08:34

    ท่านอาจารย์ สำหรับบางท่านที่เป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ก็ทำให้ มหาวิบากปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญา บางท่านยังไม่ค่อยสนใจศึกษาพระธรรม หรือถึงแม้ว่าศึกษาแล้ว ก็แล้วแต่ระดับขั้นของปัญญาที่สะสมมาว่า เป็นปัญญา ขั้นไหน ถ้าเป็นปัญญาที่มีกำลัง ก็สามารถเข้าใจพระธรรมได้อย่างรวดเร็ว และ บางท่านเพียงฟัง ก็สามารถรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ประจักษ์แจ้ง การเกิดดับ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ เพราะว่าสภาพธรรม กำลังปรากฏ แต่ปรากฏกับผู้ที่สะสมปัญญามาน้อย หรือมาก หรือไม่ได้สะสมปัญญามาเลย

    ถ้าสะสมปัญญามากก็เข้าใจทันที สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของ กำลังเห็นในขณะนี้ได้ กำลังได้ยินในขณะนี้ได้ แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกุศลวิบาก ๑๘ ดวงนั้น ต้องมีการประณีตเพิ่มขึ้นตามขั้นของเหตุซึ่งได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้น ทุกคนปฏิสนธิจะเกิดอีก แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นที่ไหน และ จะได้พบกันอีกหรือไม่ ถ้าเกิดในสวรรค์ พบกันก็จำได้ เพราะว่าเทพทั้งหลาย เป็นโอปปาติกะกำเนิด เป็นกำเนิดที่สามารถระลึกถึงชาติก่อนว่า จุติด้วยสภาพอย่างไร และด้วยผลของกรรมอะไรจึงทำให้ปฏิสนธิในเทพชั้นนั้นๆ แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีก ต่างคนต่างเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีการที่จะรู้ได้เลยว่า คนนี้ชาติก่อนเคยพบกันหรือเปล่า หรือเคยรักเคยชังกันสถานใด ถ้าเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็จำกันไม่ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่า ใครเป็นใครในชาติไหน

    ปฏิสนธิจิตบางประเภทก็ทำให้เกิดในไข่ เช่น ไก่ ตุ๊กแก จิ้งจก แม้แต่เพียง การปฏิสนธิก็จะเห็นได้ว่า ช่างวิจิตรตามกรรม กรรมบางประเภทก็ทำให้เกิดใน เถ้าไคลที่ชื้นแฉะ เช่น พวกหนอน พวกแมลงต่างๆ และสำหรับในภูมิมนุษย์ก็ทำให้เกิดในครรภ์ สำหรับพวกเทพ และสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็ทำให้เกิดเป็นตัว สมบูรณ์ขึ้นทันที เป็นโอปปาติกะกำเนิด

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1801

    นาที 11:47

    สำหรับเรื่องของกิจที่ ๑ คือ ปฏิสนธิกิจ ถ้าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้ฟัง คือ เตือนให้ระลึกถึงปฏิสนธิจิตข้างหน้าที่จะเกิด

    สำหรับปฏิสนธิจิตทั้งหมดในทั่วจักรวาล ทุกจักรวาลไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น จะมีเพียง ๑๙ ประเภทเท่านั้น คือ เป็นกามาวจรปฏิสนธิ ๑๐ ประเภท หรือ ๑๐ ดวง เป็นรูปาวจรปฏิสนธิ ๕ ดวง และเป็นอรูปาวจรปฏิสนธิ ๔ ดวง

    สำหรับกามาวจรปฏิสนธิ คือ การเกิดในกามภูมิ ซึ่งทั้งหมดมี ๑๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภูมิ ภูมิที่ไม่เจริญ ไม่สามารถอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ๔ ภูมิ และกามสุคติ ๗ ภูมิ คือ เป็นมนุษย์ ๑ ภูมิ และสวรรค์ ๖ ภูมิ

    สำหรับรูปาวจรภูมิ จิตที่จะเกิดในที่นั้นได้ต้องเป็นผู้ที่ได้รูปฌาน ต้องทำสมาธิด้วยจิตที่เป็นกุศลจนกระทั่งลักษณะของความสงบปรากฏเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ขั้นปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ ตติยฌาน ฌานที่ ๓ จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ และปัญจมฌาน ฌานที่ ๕ โดยปัญจกนัย ซึ่งเข้าใจว่าในสมัยนี้ทุกท่านคงจะ หมดโอกาสที่จะเกิดเป็นรูปพรหมบุคคลในรูปพรหมภูมิ เพราะว่าโดยทั่วไปแล้ว กุศลที่ทำกันอยู่ก็เป็นไปในขั้นของทาน ขั้นของศีล ขั้นของการเจริญความสงบ ในชีวิตประจำวัน และในการอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจหนทางปฏิบัติที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ย่อมไม่เป็นผู้ที่พากเพียรให้จิตสงบโดยสมถภาวนาจนกระทั่งถึงขั้นฌานจิต เพราะว่าขณะนั้น ไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    และสำหรับอรูปาวจรปฏิสนธิจิต ๔ ดวง เป็นจิตที่ทำกิจปฏิสนธิเป็น อรูปพรหมบุคคล เป็นพรหมชั้นสูงยิ่งกว่าพรหมที่มีรูป เพราะเป็นผู้ที่เห็นโทษของรูป รู้ว่าการกระทำอกุศลกรรมทั้งหลายจะสำเร็จลงไปได้ก็ด้วยทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เมื่อเห็นโทษอย่างนั้นก็เห็นว่า รูปาวจรจิตหรือรูปฌานจิตนั้น ก็ยังใกล้กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงพยายามให้จิตสงบระงับโดยไม่มีรูปเป็นอารมณ์ จนกระทั่งบรรลุถึงอรูปฌานกุศล ซึ่งถ้าฌานนั้นไม่เสื่อม จะทำให้ปฏิสนธิเป็นอรูปพรหมบุคคล

    สำหรับปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง เป็นกามภูมิ ๑๐ ดวง เป็นรูปาวจรภูมิ ๕ ดวง เป็นอรูปาวจรภูมิ ๔ ดวง เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิของทุกท่านที่ไม่ได้ฌานจิตจะไม่พ้นจากการเกิดในกามภูมิ ๑๑ ภูมิ

    จิตที่จะปฏิสนธิในกามภูมิ ๑๑ ภูมิ มีทั้งหมด ๑๐ ดวง ในจิต ๑๐ ดวง เป็นกามาวจรปฏิสนธิ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก ๑ ดวง เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมเล็กน้อย กรรมใหญ่ กรรมทางกาย กรรมทางวาจาที่เป็นอกุศล อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม เวลาที่ให้ผลจะทำให้อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก ทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1802


    หมายเลข 69
    2 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ