หมุนเจอ เปิดเจอ อ่านเจอ ฯลฯ จนได้ฟังธรรมจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้อย่างไร

 
kanchana.c
วันที่  20 พ.ย. 2557
หมายเลข  25809
อ่าน  13,816

วิถีชีวิต คือ วิถีจิตที่เกิดดับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สืบต่อไม่ขาดสาย เว้นขณะที่เป็นภวังคจิต ไม่รู้อารมณ์เหล่านี้ แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ จนกว่าจะสิ้นชีวิต จุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ และปฏิสนธิจิตเกิดเป็นบุคคลใหม่ทันที แต่ละขณะผ่านไปด้วยความไม่รู้ว่า มีเพียงรูปที่สามารถปรากฏให้เห็นทางตา เสียงปรากฏให้ได้ยินทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก รสปรากฏทางลิ้น เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหวที่ปรากฏทางกาย แล้วก็นึกคิดเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏทางใจเท่านั้น แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ชีวิตก็ผ่านไปๆ ไม่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่ได้รู้ความจริงของชีวิตตนเองว่า เกิดมาได้อย่างไร แต่ละขณะเป็นไปอย่างไร และต่อไปจะเป็นอย่างไร

จนเมื่อวันหนึ่งกุศลที่เคยทำมาแล้ว เป็นปัจจัยให้ได้ยินได้ฟังธรรมะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ศึกษาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาจนเข้าใจแล้ว นำมาบรรยายเพื่อให้ผู้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้มาด้วยความยากยิ่ง เพราะต้องทรงบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และมีผู้ศรัทธาเห็นคุณค่าของคำบรรยายเหล่านี้จึงนำมาออกอากาศเผยแพร่ทางวิทยุและโทรทัศน์ให้คนทั้งประเทศได้ฟัง แต่แม้กระนั้นบางคนได้ยินได้ฟังก็ไม่สนใจ แต่บางคนเผอิญเปิดวิทยุแล้วได้ยินทันที หรือบางคนได้ยินเสียงจากบ้านคนอื่น ไปสอบถามแล้วติดตามฟังต่อไป แม้ฟังครั้งแรกจะไม่เข้าใจ แต่เสียงไพเราะ สงบเย็นของท่านอาจารย์ที่ไหลรินด้วยจิตที่ตั้งมั่น เปี่ยมด้วยเมตตา เหมือนน้ำไหลรินไม่ขาดสาย ทำให้ติดตามฟังจนเริ่มเข้าใจ และเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่าได้ยินได้ฟังเสียงอื่น จึงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่จะได้ยินได้ฟังธรรมะของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนี้ ต้องอยู่ในประเทศที่สมควร คบท่านผู้เป็นสัตบุรุษ ตั้งตนไว้ชอบ และได้เคยกระทำบุญไว้แล้วแต่ปางก่อน (จักร ๔ จากอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต)

ได้สอบถามหลายท่านถึงสาเหตุที่มาฟังธรรมะจากท่านอาจารย์ พบว่ามีหลากหลาย แตกต่างกันไป คงจะดีถ้าได้อ่านบันทึกของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะว่า มาฟังธรรมะจากท่านอาจารย์ได้อย่างไร ขอเชิญชวนสมาชิกเล่าประสบการณ์ของตนเอง เพื่อให้เห็นความเป็นธรรมะที่เป็นอนัตตา แต่ละคนก็แต่ละหนึ่ง ไม่มีใครเหมือนใครถ้าไม่ถนัดเขียน ก็เล่าให้ดิฉันฟังก็ได้ จะเขียนแทนค่ะ แต่เขียนด้วยกุศลจิต ไม่พาดพิงใครให้เกิดความเสียหายนะคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 21 พ.ย. 2557

ได้ยินทางวิทยุ คลื่นเอเอ็ม 1422 ของกองทัพบก เมื่อปลายปี 2545 แล้วก็ตามฟังอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง ไม่เคยขาดการฟัง นับเวลาของชาตินี้ก็ 12 ปีพอดี ก่อนพบท่านอาจารย์สุจินต์ ได้ไปปฏิบัติและฟังอย่างอื่นมาก่อนถึง 15 ปี ดีใจและนับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของชีวิตจริงๆ ซาบซี้งในพระคุณของพระรัตนตรัย และท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ตามกำลังของปัญญาอันน้อยนิดมากๆ  

ขอนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย ด้วยการ"ทำดีและศึกษาพระธรรม"

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดง และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kanchana.c
วันที่ 21 พ.ย. 2557

ดิฉันเป็นคนชอบไปวัด ชอบฟังเทศน์โดยเฉพาะเรื่องชาดก มาตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะอยู่กับคุณยาย 2 ท่านที่ฝักใฝ่ในการทำบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ จึงติดตามไปวัดฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเสมอ เมื่อเรียนชั้นมัธยมก็ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ได้เรียนธรรมศึกษาตรีและโท ได้อ่านนวโกวาท ได้แต่งกระทู้ธรรม ต่อมาเพื่อนมาชวนไปทำสมาธิ ติดตามพระภิกษุไปนั่งสมาธิตามที่ต่างๆ ตามวัดต่างจังหวัด บางครั้งก็ในถ้ำ อยู่ระยะหนึ่ง

ต่อมาเห็นปฏิปทาที่ไม่เหมาะสม จึงแสวงหาอาจารย์อีก ไปสำนักปฏิบัติวิปัสสนาแห่งหนึ่ง ซึ่งเพิ่งก่อสร้าง ไปช่วยเขียนใบอนุโมทนาบัตรสำหรับผู้บริจาคเงินสร้างสำนัก ซึ่งปัจจุบันนี้ใหญ่โตและมีชื่อเสียงมาก พระอาจารย์ที่สำนักนี้เห็นว่า สนใจและชอบถามปัญหาธรรมะบ่อยๆ จึงแนะนำให้ฟังรายการแนวทางวิปัสสนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จึงเริ่มฟังตั้งแต่ปี 2527 และฟังติดต่อกันมาตั้งแต่นั้น และไม่ได้ไปสำนักไหนอีกเลย เพราะเข้าใจแล้วว่า การฟังธรรมะทำให้เกิดความเข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่การปฏิบัติ ด้วยการนั่งหลับตาหรือเดินจงกรมอย่างที่ทำๆ กันอยู่

โชคดีที่ท่านอาจารย์ให้โอกาสพิมพ์คำบรรยาย “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ที่คุณย่าสงวน สุจริตกุล ได้ถอดเทปไว้ด้วยลายมือสวยงามในสมุดหลายสิบเล่ม เพื่อเก็บไว้เป็นสำหรับพิมพ์เป็นหนังสือ ทำให้เหมือนการเรียนแบบเข้มข้น เพราะได้ฟัง ได้อ่าน ได้พิมพ์ทุกคำ แม้จะจำไม่ได้ แต่ก็ทำให้เข้าใจมั่นคงขึ้นว่า ไม่มีทางอื่นจะเข้าใจพระธรรมคำสอน นอกจากทางนี้ทางเดียว คือ ฟังให้เข้าใจ แล้วความเข้าใจก็จะทำกิจให้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเอง

กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่นำคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพูดให้ง่ายขึ้น เพื่อให้ผู้มีปัญญาน้อยเข้าใจตามได้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 22 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 22 พ.ย. 2557

สมัยเด็ก ต้องช่วยคุณป้าถือของทำบุญไปส่งที่วัดทุกวันพระ เนื่องจากโรงเรียนที่เรียนอาศัยศาลาวัดเป็นที่เรียน จึงหยุดเรียนทุกวันพระ เป็นเหตุให้ได้เป็นเด็กใกล้วัด สมัยเรียนมัธยมนอกจากจะได้เรียนในโรงเรียนที่มีทั้งพระและฆราวาสเรียนด้วยกันแล้ว ยังชอบอ่านหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลก ซึ่งจะมีหลักปรัชญาการดำรงชีวิตของบุคคลสำคัญๆ เหล่านั้นให้ศึกษา

เมื่อจบมหาวิทยาลัยและเข้าทำงาน ได้รับคำแนะนำจากญาติสนิท ให้อ่านหนังสือของพระภิกษุท่านหนึ่ง ซึ่งสะดุดหูทันที กับคำว่า ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา จึงได้ซื้อหนังสือของท่านมาอ่านมากมาย แต่ไม่ได้คำตอบว่า เมื่อไม่ใช่ตัวเราแล้วเป็นใครกันแน่?

เมื่อท่านมรณภาพ ก็ได้อ่านและฟังเทปจากพระภิกษุที่มีชื่อเสียงทางวิชาการ (ได้รับรางวัลระดับโลก) และพระภิกษุที่มีชื่อเสียงต่างๆ หลายรูป ซึ่งการสอนของทุกท่าน ดูเหมือนมีหลักการที่ดี แต่ก็ไม่ทำให้ได้เข้าใจอะไรมากไปกว่า เป็นการทำความดีโดยทั่วไป ซึ่งก็มีอยู่ในทุกๆ ศาสนา ไม่แตกต่างกันเลย

ไม่เคยไปปฏิบัติที่ไหนเลย ทั้งยังไม่เคยคิดที่จะไป ได้แต่มีความสงสัยว่า ที่ว่าไปปฏิบัติกันนั้นไปเพื่อจะรู้อะไร? เคยถามญาติสนิทที่ไปปฏิบัติตามสำนักที่โด่งดัง ทั้งหลาย ก็ไม่ได้คำตอบที่มีเหตุผลที่ดี นอกจากจะบอกว่าเป็น "ปัจจัตตัง" เมื่อไปแล้วจะรู้เอง และเมื่อรบเร้าถามว่า น่าจะยกตัวอย่างของสิ่งที่ได้จากการไปปฏิบัติได้ แม้เพียงสักอย่าง ก็น่าจะอธิบายให้ฟังได้ ในที่สุดญาติท่านนั้นก็กล่าวว่า ในขณะปฏิบัติ ได้นึกถึงชีวิตสมัยเด็กที่ดื้อกับแม่แล้วรู้สึกผิด เมื่อกลับบ้านจึงไปกราบเท้าแม่ ซึ่งก็คิดว่า เราไม่ต้องไปปฏิบัติก็รู้สึกรักแม่ พร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณ ช่วยเหลือท่านอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

จนอยู่มาวันหนึ่ง ได้ซื้อวิทยุแบบใหม่ที่สามารถตั้งปลุกได้ จึงตั้งปลุกตอน ตีห้า ทุกวันเพื่อไปส่งลูกเรียน โดยตั้งไว้ที่คลื่น FM 91 ของตำรวจจราจร เมื่อถึงเวลาปลุก ได้ยินเสียงของผู้หญิงท่านหนึ่ง มีความไพเราะน่าฟัง ที่สำคัญ ท่านพูดบ่อยๆ ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็สะดุดหูกับคำนี้มาก และในตอนท้ายของรายการได้บอกว่า ท่านที่สนใจสามารถติดตามได้จากเวป www.dhammahome.com จึงได้เข้าเวป เปิดไฟล์ฟังธรรม โดยเริ่มจากหัวข้อ เริ่มด้วยความเข้าใจ ก็เปิดฟังตั้งแต่ไฟล์แรก คือ จุดตั้งต้น แล้วฟังไล่ไปถึง ปรมัตถธรรม ๔ ตรงนี้เองคือคำตอบที่แสวงหามาเกือบครึ่งชีวิต (ในขณะนั้น) ที่ได้รู้ว่า เมื่อไม่ใช่เรา ก็คือ ปรมัตถธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูป (และ นิพพาน) นี่เอง

ได้โหลดไฟล์ธรรมะที่ท่านอนุญาตให้โหลดได้ทุกไฟล์ ลงแผ่นซีดีใส่สมุดอัลบั้มไว้ฟังในรถนับสิบอัลบั้ม ฟังท่านอาจารย์บรรยายตลอดทั้งวันที่ทำงานอยู่บ้าน ในรถขณะไปรับส่งลูก ใส่หูฟังก่อนนอนและหลับไปในขณะที่ท่านอาจารย์บรรยายอยู่ เมื่อตื่นขึ้นกลางดึก ก็ฟังท่านจนหลับไปอีกจนเช้า เป็นอย่างนี้ทุกวัน ตลอดเวลาหลายปี รวมถึงการไปซื้อแผ่นเอ็มพีสามชุดต่างๆ มาฟังจนแทบจะจำคำที่ท่านพูดได้ในแต่ละแผ่น ซึ่งแม้จะมีมากมายหลายตอนหลายชั่วโมง ก็ฟังซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจำได้ว่าท่านจะพูดต่อไปว่าอย่างไร อีกทั้งยังขอรับหนังสือจากมูลนิธิฯ มาอ่าน เล่มที่ยังจำได้แม่นจนทุกวันนี้ คือ แนวทางเจริญวิปัสสนา ที่จำได้แม่นเพราะเหตุว่า คิดว่าท่านอาจารย์จะแสดง "วิธีการ" ที่จะอบรมเจริญวิปัสสนาให้ทราบ แต่เมื่ออ่านจนจบทั้ง ๓ เล่ม ก็รู้ว่า ไม่มี "วิธีการ" ที่จะนำมาทำ (หรือที่สมัยนี้นิยมเรียกว่า นำมา "ปฏิบัติ") แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเหตุว่า ความเข้าใจจากการได้อ่านและฟังท่านอาจารย์ แล้วๆ เล่าๆ ดังกล่าว ได้ปรุงแต่งเป็นการ "เริ่มเข้าใจ" ในหนทางที่ถูกต้องของการอบรมเจริญปัญญา ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไปเสียแล้ว

ยิ่งเมื่อได้เข้ามาสนทนาและศึกษาจากในเวปไซต์ ทั้งการฟังและการอ่านกระทู้ต่างๆ ที่มีผู้ถามและมีท่านวิทยากรและสหายธรรมร่วมกันสนทนา ก็ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น และรู้ว่า หนทางที่ถูกต้องเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ในอริยมรรคที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้นี้ หามีผู้ใดต้องไปปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ เพียงการสะสมความเข้าใจจากการได้ยินได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ บ่อยๆ เนืองๆ โดยไม่ขาดการฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง วันหนึ่ง เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ความเข้าใจหรือปัญญา ซึ่งเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา นี้แหละ จะปฏิบัติกิจหน้าที่ของปัญญาเอง (ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง) โดยความเป็นอนัตตา โดยไม่มีเราหรือใครๆ ไปปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกต่างหาก ด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้อง ด้วยความต้องการ อย่างที่มีผู้เข้าใจผิดกันมากมายในปัจจุบันนี้ ซึ่งไม่มีทางที่จะสามารถรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้อย่างแน่นอน

ที่กล่าวว่าพระศาสนาเสื่อม ก็เสื่อมเพราะเหตุที่บุคคลไม่สามารถเข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง ไม่เข้าใจธรรมะ ตามที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้แล้ว ไม่ใช่เสื่อมโดยประการไรๆ เลย ข้อนี้ เป็นข้อที่สำคัญยิ่ง ที่ผู้สนใจในพระศาสนาจะพึงตระหนักแก่ใจให้จงดี เพราะเหตุว่า หากไม่สอบสวนความเห็นที่ถูกต้องให้ดี เป็นผู้ตั้งตนไว้ไม่ชอบ กล่าวคือ เดินไปในหนทางที่ผิด ก็ย่อมเป็นโทษแก่ตนนั้นเอง หาใช่ใครอื่นไม่ และหากมีความเห็นผิดในหนทาง จะไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังเดินหันหลังให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว และจะยิ่งห่างไกลพระองค์ออกไปเรื่อยๆ จะไม่มีทางได้พบพระองค์อีกแน่นอนในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าจะเป็นผู้ที่สะสมความเห็นผิดเพิ่มมากขึ้นๆ นั่นเอง จนเมื่อได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติต่อๆ ไป ก็จะไม่ฟังคำของพระองค์ เหมือนอย่างพวกเดียรถีย์ในสมัยพุทธกาล ที่แม้อยู่ใกล้พระวิหารเชตวัน ก็ไม่เข้าไปฟังคำของพระองค์เลย เพราะผู้ที่รู้ว่าใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมะนั่นเอง (ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา)

รู้สึกซาบซึ้งในบุญที่ได้เคยทำไว้แต่ปางก่อน ให้ได้พบพระธรรมที่ถูกต้องตามที่ทรงแสดงจากความเมตตาอันยิ่งของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่บ่อยๆ ว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มีโอกาสที่มีค่าที่สุดในชาตินี้ ที่ยังได้ฟังพระธรรมจากท่าน เพราะเหตุว่า ขณะที่ท่านเริ่มการบรรยายธรรมเมื่อปี ๒๔๙๙ ข้าพเจ้ายังไม่เกิดเลย ร่วมหกสิบปีมาแล้ว

ชีวิตในชาตินี้ ไม่สูญเปล่าแล้ว "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ฟังพระธรรมต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ 49

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ ๒

๑. มหาจุนทเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระมหาจุนทเถระ

[๒๖๘] ได้ยินว่า พระมหาจุนทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า การฟังดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา บุคคลจะรู้ประโยชน์ก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ฯลฯ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงและทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanrat
วันที่ 22 พ.ย. 2557

ไม่ใช่ความบังเอิญ ที่มาได้ยินได้ฟังพระธรรมที่บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ ใผ่หาธรรมะที่ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมาตลอด จนได้มีโอกาสหยิบซีดี ชุดแนวทางวิปัสสนาแผ่นที่ 2 จากวัดพุทธในรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เมื่อ 2552 นำกลับไปฟัง และสนใจในการกล่าวที่ตรง ของท่านอาจารย์มาก เปิด WEBSITE ฟัง ศึกษา อบรม และขั้นการฟัง ก็รู้ได้ว่าชีวิตที่หลงเหลืออันสั้นนี้ ไม่มีอะไรจะประเสริฐเท่าการเข้าใจพระธรรม เคยไปเยี่ยมมูลนิธิสองหน ไปตอนที่คนไม่อยู่ ไปรับซีดี และเอ็มพีสามมา เคยไปฟังธรรมะที่ท่านอาจารย์บรรยายหนหนึ่ง แต่ภาระกิจที่ต้องประกอบกิจเลยต้องอยู่ที่อเมริกา

เมื่อก่อนมีการเป็นตัวตนมาก เดี๋ยวนี้เข้าใจขั้นการฟังว่า ไม่มีคนสัตว์ บุคคล ตัวตน จะมีมากหากหลงลืมสติ คำว่าค่อยๆ ขัดเกลา จับใจมากและสติค่อยๆ เกิด แต่ก่อนกลัวเป็นโรคนั้นนี้ มีตัวตนมาก ขั้นการฟังเข้าใจว่าทุกอย่างคืออนัตตา พระผู้มีพระภาคสอนให้ละ ไม่ใช่ได้ ถ้าจะได้ก็ได้ความเข้าใจที่ถูกตรงความเป็นจริง

กราบเท้าท่านอาจารย์ทุกท่านมา ณ. ที่นี้ด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 22 พ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
napachant
วันที่ 22 พ.ย. 2557

จำได้ว่าตั้งแต่เด็กๆ ก็ได้ยินเสียงจากวิทยุคลื่น AM 945 /01 มีนบุรี ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายที่คุณพ่อเปิดฟังมาตลอด...ไม่รู้ตัวว่าเริ่มสนใจพระพุทธศาสนาเมื่อไหร่   ตัวเองชอบอ่านหนังสือธรรมะหนักๆ ติดตามอ่านงานเขียนหลายๆ ท่าน ทั้งพระภิกษุและนักคิดนักเขียนมากมาย ในขณะนั้นก็พอใจในงานเขียนของท่านเหล่านั้น ชอบเดินสายไปทำบุญตามต่างจังหวัด กับคุณแม่บ้างเพื่อนบ้าง ในแถบภาคอีสานไปบ่อยมาก ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้อะไร...รู้ว่าได้ทำบุญ  ได้ฟังธรรมที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง(ถ้าท่านบอกบุญมากกว่าสอนพระธรรม)

วันหนึ่ง ขณะทำงาน ก็เปิดวิทยุหาคลื่นจะฟังธรรม คิดได้ว่า มีคลื่นหนึ่งตอนเด็กๆ เคยฟัง สมัยคุณอาคม ทันนิเทสน์ จะมีรายการธรรมและพงศาวดารต่างๆ มากมาย  ก็เปิดเจอตอนนั้น  ไม่ได้คิดว่าจะฟังท่าน อ.สุจินต์  บริหารวนเขตต์ ฟังไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 9.00-13.00 น. จะได้ยินเสียงท่านอาจารย์และรู้ว่าเป็นเสียงใคร เพราะคุ้นเคยมาก่อน  บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจเวลาท่านพูดบาลีหรือคำยากๆ  แต่ชอบมากๆ เลย ตอนที่ท่านพูดถึงเรื่องราว พูดถึงลักษณะของคน การกระทำ ความแตกต่างของแต่ละคน ฯลฯ คิดตามแล้วใช่เลย ก็ฟังท่านมาตลอดเมื่อมีโอกาส และ เริ่มหาคลื่นอื่นๆ ฟัง ผ่านมา

หลายปีเหมือนกันค่ะ ที่ยังคงแสวงหาการฟังการอ่าน และการปฎิบัติ (นิดหน่อยและเลิกไปเองเพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์) มีโอกาสได้พบท่านอาจารย์ครั้งแรกที่โรงพยาบาลพระมงกุฎตอนวันแม่ รับรู้ได้ถึงความเมตตามากๆ ท่านกล่าวทักทายและพูดคุยหลายคำ ประทับใจมากในวันนั้น วันนั้นก็จุดประกาย

มาจนถึงวันนี้ หลังจาก รพ. ก็กลับมาเขียนจดหมายขอหนังสือทุกเล่มที่มีของมูลนิธิฯ คุณวรรณีผู้ใจดีส่งมาให้อ่านมากมายกล่องใหญ่ เล่มแรกที่อ่าน "บทบาทของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม" ซาบซึ้งใจมากๆ และเล่มอื่นๆ ก็ตามมา

จนมาปลายปี 2552 ได้มีโอกาสดีมากๆ ที่ได้ร่วมเดินทางไปอินเดียกับท่านอาจารย์ และสหายธรรมในทริปพอเพียง (27ท่าน) ถึงวันนี้ก็คิดเสมอว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน  ถึงวาระที่จะได้มาพบมาเจอพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง จากอินเดียในครั้งนั้น ก็เป็นจุดให้เริ่มเข้ามาอบรมศึกษาที่ มศพ.เต็มตัว

ท่านอาจารย์สุจินต์ เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา เป็นผู้ชี้กลับจากผิดเป็นถูก เป็นผู้มีความอดทนมาก ในการให้ความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมกับทุกๆ คนที่สนใจจะศึกษา แม้คนเดียว ท่านก็พร้อมจะเกื้อกูล ถึงวันนี้ จากการฟังพอจะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากมายนับไม่ได้

ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเห็นความลึก ความละเอียดในพระธรรรม ที่พระองค์ท่านทรงแสดง

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น  

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณและอนุโมทนาพี่แดงที่เคารพด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ประสาน
วันที่ 23 พ.ย. 2557

จำไม่ได้ว่าเมื่อไร  เริ่มต้นติดที่เสียงอาจารย์  เดี๋ยวนี้ติดที่เสียงและคำสอนครับ  

กราบอนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
phawinee
วันที่ 23 พ.ย. 2557

ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ครั้งแรกจากสถานีวิทยุ จ. อุบลราชธานีค่ะ

และอนุโมทนาในกุศลของทุกท่านนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เริ่มฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ตอนที่เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้จักท่านอาจารย์ และไม่เคยฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์มาก่อนเลย ผู้แนะนำให้รู้จักกับมูลนิธิฯและท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ คือ คุณป้าณิชานันท์ นิธิบุญรักษ์ (ขอบพระคุณคุณป้า เป็นอย่างยิ่ง ครับ) ขอขอบคุณพี่วรรณี และอ. ประเชิญ ที่นำชีวิตของกระผมไปกราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ นั่นคือ จุดเริ่มต้นที่จะได้เริ่มศึกษาพระธรรม ครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ที่เคารพยิ่ง

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.กาญจนา และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ch.
วันที่ 23 พ.ย. 2557

เริ่มฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์  ตั้งแต่ท่านบรรยายที่ตำหนักเพชรวัดมหาธาตุฯ ต่อมาที่วัดบวรฯและที่สำนักงานมูลนิธิฯ และติดตามฟังรายการทางสถานีวิทยุเป็นประจำ ทำให้ได้รับความเข้าใจธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง

กราบบูชาพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nopwong
วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ผมสนใจในพระธรรมและศืกษาโดยการอ่านพระไตรปิฎกและหนังสือธรรมะจากที่ต่างๆ มานานหลายปี เมื่อประมาณปี 2554 ได้เปิดทีวีช่อง 11 ได้พบอาจารย์บรรยายร่วมกับวิทยากรจากรายการบ้านธัมมะ แรกๆ ฟังก็ไม่เข้าใจนัก มีความสงสัยในใจว่า ยายป้าคนนี้สอนอะไร พูดอะไร เวลามีคนถามแทนที่จะตอบ กลับถามคนที่ถามกลับไปบังคับให้เขาตอบ แต่เพราะเหตุเหล่านี้ผมจึงสนใจใคร่จะรู้ว่าสอนอะไร เพราะเป็นคนที่เชื่อว่าถ้าใฝ่รู้จะรู้ได้ จึงพยายามฟังและดูรายการบ้านธัมมะมาเรื่อยๆ ภายหลังจึงเข้าเวปไซด์บ้านธัมมะของมูลนิธิ เปิดอ่านกระทู้เก่าใหม่ ฟังธรรมจากเวปไซด์มาตลอด เริ่มมีปัญญาเล็กน้อยขั้นการฟัง ไม่คิดไปไหนอีก และเข้าใจจริงๆ ว่า ที่ท่านอาจารย์สอนอยู่นี้ รวมทั้งการซักถามผู้ที่ถามท่านนั้นก็ด้วยความเมตตาต่อผู้ถาม ต้องการให้ผู้นั้นเข้าใจจริงๆ จนเป็นปัญญาของผู้นั้นเอง

ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และวิทยากรทุกท่านครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 24 พ.ย. 2557

ที่บ้านคุณพ่อสนใจธรรมะครับ ตอนเด็กๆ คุณพ่อพาไปพบคุณยายแม่ชีชื่อดังที่วัดแถวๆ ภาษีเจริญประมาณปี ๒๕๑๑-๑๒ ได้นั่งสมาธิด้วยครับ เห็นลูกแก้วกลมใสแจ๋วที่ศูนย์กลางกาย เดี๋ยวก็กลายเป็นพระพุทธรูปใสแจ๋ว ขยายเล็กใหญ่ได้ดังใจ นั่งไปไม่นานก็เลิก เพราะอยากไปวิ่งเล่นมากกว่า นั่งเฉยๆ เมื่อยก็เมื่อย มีแต่คนบอกว่าเด็กๆ ไม่คิดมาก เห็นได้ง่าย ไม่รู้ว่าเห็นแล้วจะประโยชน์อะไร

พอโตหน่อยชอบอ่านหนังสือธรรมะครับ เนื่องจากมีแง่คิดดี ชอบอ่านเรื่องกฎแห่งกรรมของ ท. เลียงพิบูลย์ มากๆ ครับ และอ่านหนังสือธรรมะของพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางภาคใต้หลายเล่ม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยก็ห่างเหินธรรมะไป จนกระทั่งเริ่มทำงานก็กลับมาสนใจอีกครั้ง สนใจเรื่องเซนมากครับ อ่านหนังสือเกี่ยวกับเซนหลายเล่มของพระอาจารย์ที่ส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ เข้าใจว่าเซนนี้แหละคือหัวใจของการบรรลุธรรม

ทีนี้เริ่มสนใจเรื่องการปฏิบัติ และอ่านหนังสือแนวปฏิบัติจากพระอาจารย์สายพระป่าหลายๆ รูป คิดเอาเองว่าที่ผ่านมามีแต่ทฤษฎี การบรรลุธรรมต้องปฏิบัติ ตอนนี้มาปฏิบัติจริงจังดีกว่า เริ่มนั่งสมาธิบ่อยขึ้น พอมีโอกาสได้บวชก็ลางานไปบวช บวชครั้งแรกที่วัดบวรฯ แล้วไปจำวัดที่วันญาณสังวรฯ ชลบุรี นั่งสมาธิเข้มข้น ไม่หลับไม่นอน ตอนกลางคืนก็เดินขึ้นเขา ไปนั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ในป่าบนเขา กลัวงู กลัวผี ก็ทนเอา เพราะนี้ขั้นปฏิบัติแล้วต้องผ่านไปให้ได้ หลังจากน้ันก็บวชต่อมาอีก ๔ ปี ที่วัดที่พิจิตร บวชแล้วก็กางเต็นอยู่กันในป่า ไม่นอนในวัด ชอบนะครับตอนบวชเพราะไม่วุ่นวายดีนะครับ

ตอนปี ๒๕๔๕ - ๔๖ เจออาจารย์คนหนึ่งสอนนั่งสมาธิ สอนให้พิจารณาลมในร่างกาย แล้วพิจารณาจิต อาจารย์ท่านนี้เรียนพระอภิธรรมมาด้วย ใช้ศัพย์แสงทางพระอภิธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน น่าสนใจมาก อาจารย์ท่านนี้มาสอนให้ที่บ้านเลยครับ ก็นั่งสมาธิกันทั้งเช้า กลางวัน เย็น จดสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกันเป็นเล่ม

วันหนึ่งถามอาจารย์ท่านนี้ว่าเรียนมาจากใครบ้าง ท่านก็บอกว่า มีอาจารย์หลายท่าน เช่น ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกรู เป็นต้น และมีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วย ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะเน้นนั่งสมาธิอยู่ มีอยู่คราวหนึ่งไปเที่ยววัดบวรฯ เดิมข้ามถนนไปร้านขายหนังสือธรรมะตรงข้ามวัด เดินดูเทปซีดี เจอซีดีของท่านอาจารย์สุจินต์จำได้จึงซื้อมาลองฟังดูครับฟังครั้งแรกสะดุดใจมากเพราะท่านอาจารย์บรรยายธรรมได้ละเอียดและมีเหตุมีผลมากๆ ทั้งยกเนื้อหาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถามาอธิบายให้เข้าใจได้ด้วย ไม่เคยได้ยินได้ฟังการบรรยายธรรมที่ละเอียดเช่นนี้มาก่อนเลย ชอบมากๆ ครับ จากนั้นได้หาซื้อซีดีท่านอาจารย์มาฟังอีกหลายแผ่นครับ

จนกระทั่งฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์มาเรื่อยๆ เริ่มสะกิดใจว่า เอ๊ะ! ที่ทำอะไรผ่านๆ มานั้นไม่ได้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธองค์เลย พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง หากผู้อธิบายไม่ได้ศึกษาคำสอนตามพระไตรปิฎกและอรรถกาโดยละเอียดรอบคอบ ย่อมนำมาถ่ายทอดไม่ตรงตามที่ทรงแสดง แต่เป็นการเอาความเข้าใจของตนเองมาอธิบาย นอกจากจะไม่ทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของคำสอนได้ เนื่องจากอธิบายความลึกซึ้งต่อไปไม่ได้ ได้แต่ให้ปล่อยว่าง อย่าไปยึด ตัวตน แต่ไม่สามารถลำดับหนทางที่จะทำเช่นนั้นได้ นอกจากนั้น ยังทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปมาก จึงเป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิดต่างๆ ในการปฏิบัติ มีสำนักต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มีการแยกคำสอนของพระพุทธองค์ออกไปเป็นหลายนิกาย ทั้งนี้และทั้งนั้น ทั้งปวงเกิดมาจากการไม่ได้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด และไม่มีผู้รู้ที่แท้จริงอธิบายพระธรรมให้เข้าใจคำสอนอันลึกซึ้งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงได้นั้นเอง

ชาตินี้ผมถือว่าคุ้มแล้วครับ ที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม และที่สำคัญได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ผู้ที่มีความรอบรู้ในพระธรรมวินัย อธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ให้ได้ความเข้าใจตามอย่างถูกต้องและตรงตามที่ทรงแสดงครับ คงสะสมความเห็นถูกต่อๆ ไปครับ หวังว่าชาติต่อๆ ไป ผมคงไม่ไปทำอะไรที่ผิดปกติมาค่อนชีวิตอย่างนี้อีก นะครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง และทุกๆ ท่านด้วยนะครับ

ปล. เลิกนั่งสมาธิโดยเด็ดขาดแล้วครับผม

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขณะที่เริ่มตัดสินใจแสวงหาความเข้าใจธรรมะ ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอะไร ให้ทำอย่างไร ก็เริ่มหาหนังสือที่พระภิกษุเขียน  ซึ่งอ่านจากหลายท่านพร้อมฟังรายการธรรมะทางวิทยุและไปปฏิบัติในรูปแบบไปเข้าคอร์สปิดวาจา เน้น"กายเคลื่อนไหวใจรู้สึก "สวดมนต์ทำวัตรเช้า 1/2 ชม.เย็น 1/2 ชม. นั่งหลับตา ไปสายดูจิตบ้าง ไปสายไม่ต้องทำอะไรบ้าง...เช้าวันหนึ่งราว 9 ปี ที่ผ่านมาเปิดพบเสียงท่าน อ...สะดุดคำว่า..ครั้งที่ พันหนึ่งร้อย...และวันเดือนปี ที่ท่าน อ.กล่าว สะดุดที่ปี พศ.2510 (จำได้แม่นเพราะเกิดปีนี้คะ) เลยนึกเรียบเรียงย้อนว่าปีนี้ พ.ศ.อะไรเนี่ย ท่านอ.พูดปีที่เราเกิด  แต่เป็นครั้งที่พันแล้ว เลยอยากรู้ว่า ท่านอ.หน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไร คือ ทึ่งในระยะเวลาที่ท่านกล่าวธรรมะ เลยโทรถามทางมามูลนิธิ(ชอบคุณที่แจ้งเบอร์โทรไว้ค่ะและขอขอบคุณท่านที่ดำริที่จะนำเสียงท่านอ.ออกอากาศมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมั่นคงสม่ำเสมอจนเสียงท่านอ.มากระทบหูดิฉันค่ะ)..ประมาณ 9 ปีก่อน จึงได้มาพบท่าน อ.แว้บแรก คิดไปว่า อ้าว ท่าน อ.ไม่นุ่งขาวห่มขาวหรอ ซ้ำทาลิปสติกสีแดงเรื่อๆ ด้วย

ขณะนั้นเป็นช่วงกำลังจะเริ่มสนทนาภาค เช้าท่านอ.นั่งท่านเดียวที่เก้าอี้ด้านหน้าที่วางอยู่ระดับเดียวกะผู้ฟัง จึงรีบไปคุกเข่าข้างท่านอ. ด้วยความอยากเรียนถามให้ท่านสอนกรรมฐาน "ท่านอ.คะ จะปฏิบัติธรรมต้องทำอย่างไรค่ะ" ... "ฟังค่ะ ต้องฟังให้เข้าใจ" ในใจตอนนั้นไม่พอใจในคำตอบค่ะ คือไม่ถูกใจเราไม่ตรงใจเรา..และเดิมชอบคิดติดเรื่องอภินิหาร ญาณหยั่งรู้ เหนือมนุษย์ของอาจารย์ที่สอนธรรมะ   จึงถามท่านอ.ว่า..."ท่าน อ.คะ คุณลุงผู้พิพากษา ที่ จ.สุโขทัย (คือได้ยินจากรายการวิทยุค่ะ) ที่ชอบถามท่านอ.ออกอากาศ ท่านตายแล้วไปเกิดที่ไหนคะ" ... "ใครจะรู้ค่ะ" เท่านั้นแหล่ะ สวัสดีท่านอ.แล้วเดินออกจากมูลนิธิทันที ไม่แม้จะนั่งฟังธรรม (ความเห็นผิดย่อมนำไปสู่การคิดผิดพูดผิดปฏิบัติผิด .. บรรลุผิดๆ ) หลังจากนั้นก็ไปที่นู่น ที่นี่พร้อมกับตั้งใจอ่านพระไตรปิฎกฉบับประชาชนเกือบสามรอบ (โดยที่ไม่กล้าอ่านฉบับเต็มเพราะกลัวปริมาณค่ะ) จนสามีบอกว่า .. "จะอ่านไปสอบเหรอ" (ด้วยความต้องการอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร..โดยทุกครั้งที่อ่านพบเรื่องของ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ จะไม่ชอบ ไม่สนใจ เพราะดูช่างไม่น่าสนใจเสียจริงๆ) ตลอดเวลาที่ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พยายามศึกษาปฏิบัติ เพื่อความรู้แจ้งอริยสัจ 4.. ไม่เคยขาดการฟังธรรมของท่านอ.เลย แม้จะไม่ได้โฟกัสที่ท่านอ.

แต่ความรู้สึกทุกครั้งที่ฟังท่านอ. เราจะรู้สึกคล้อยตามเห็นด้วยพึมพำในใจว่า "เออ จริงแหะ นี่ก็จริงอีก "แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่อสัก 3 ปีก่อนเหลืออยู่สองท่านที่เราตั้งใจฟังทางยูทูปและวิทยุ คือท่านอ.และพระภิกษุท่านนึง ชอบตรงที่สองท่านนี้พูดตรงกันคือให้ศึกษาให้อ่านพระไตรปิฎกเอง..และสองท่านนี้เป็นผู้ที่เคารพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบจริงใจด้วยความเคารพจริงๆ (ตามกำลังปัญญาของตนเองที่เห็นขณะนั้น)สองท่านนี้ไม่เคยนำชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวก ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกมากล่าวเล่นๆ หรือกล่าวประกอบเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ผู้ฟังมาศรัทธาท่านเลย จนวันนึง เมื่อสัก 2 ปี ที่ผ่านมา มีถ่ายทอดสดรายการสนทนาธรรมที่มูลนิธิในวันเสาร์อาทิตย์ ก็เปิดดูๆ แบบทำงานบ้านไปบ้างได้ยินบ้างเห็นบ้างไม่ได้ยินบ้างไม่เห็นบ้าง (ตอนนั้นเหมือนไม่เคยเห็นท่านอ.ทางเนตเพราะไม่ทราบช่วงเวลาที่ท่านอ.บรรยาย เปิดทีไรเจอแต่ท่านอ.อรรณพและอ.กุลวิไลเป็นส่วนใหญ่ค่ะ)

มีวันนึงได้ยินว่าท่านอ.อายุ 88 ปีแล้ว เลยคิดกะตัวเองว่า "ตายละท่านอ.อายุ 88 แล้วหรอเนี่ย แล้วเราก็ชอบฟังท่านอ.บ่อยๆ ๆ (เพราะขณะนั้นไม่สามารถจะฟังคนอื่นๆ ได้อีกค่ะ)แล้วท่านอ.ก็เป็นผู้เคารพพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอ.กล่าวธรรมตามพระองค์ แล้วเราจะเจริญก้าวหน้าในธรรมไม๊ หากไม่ได้ขอขมาท่านอ.ก่อนที่ท่านจะหมดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ด้วยคำที่เราเคยกล่าวปรามาสท่านอ.ว่าสอนผิด..ดุคุณลุงจนเราสงสารคุณลุงเลย กล่าวคำพาดพิงท่านอ.แบบไม่รู้ตัวกะเพื่อนร่วมอาชีพที่พาเราไปปฏิบัติหลายที่เมื่อสัก 7-8 ปี ก่อน จึงเกิดความเดือดร้อนใจ(ใกล้จบละคะขออภัยคะที่ยาว) วันพุธตอนกลางวันโทรเข้ารายการ (อ้อ เคยโทรสมัครสมาชิกกะคุณพรชัยตามที่ออกอากาศ เราขับรถไปโทรสมัครไปค่ะ

ได้หมายเลขเท่าไหร่ท่านไม่ได้บอก เราก็ไม่สนใจค่ะ ขอแค่เข้าร่วมทำดีและศึกษาพระธรรมก่อน)เสียง ผู้ชายรับสาย "ไม่ทราบท่านอ.อยู่ไหมคะ" ... "อ๋อ ท่านไม่อยู่ครับท่านมาเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาท่านไปเขื่อนแก่งกระจานครับ (อาจจำผิดนะคะ)" ... "คือจะรบกวนให้จดคำ

ขอขมาฝากให้ท่านอ.หน่อยค่ะ"ดูเหมือนชายท่านนั้นไม่ค่อยเต็มใจ..ก็อ้อนว้อนให้ท่านจดคำ ขอขมาว่า เราชื่ออะไรเคยกล่าวพาดพิงท่านอ.อย่างนี้ๆ ขอขมาท่านอ.ด้วย วันเสาร์นึกสังหรณ์ใจว่าท่านอ.ทราบหรือยังหนอ จึงรอหลังเที่ยงครึ่งคือกะว่าให้ท่านอ. และ อ.วิทยากรทานข้าวเสร็จ โทรไปท่านอ.ประเชิญรับสาย "ขอโทษนะคะพอดีฝากเรื่องไว้วันพุธ ไม่ทราบว่ามีใครนำให้ท่านอ.หรือยังค่ะ" .. "ไม่ทราบครับ" .. "ช่วยถามให้หน่อยได้ไหมคะว่าวันพุธใครรับเรื่อง"

"ถามแล้วไม่มีใครรู้เรื่องครับ" "ถ้าอย่างนั้นขอเรียนสายท่านอ.ได้ไหมคะ" "ท่านอ.ไม่รับสายครับ" (ตายละทำไงดี จิตใจขณะนั้นเดือดร้อนมากหากไม่รู้เรื่อง)"ขอความกรุณารบกวนเวลาท่านอ. สัญญาว่าไม่เกิน 1 นาทีค่ะ" "เอิ่มม ผมจะลองดูก่อนนะครับไม่ทราบท่านจะรับสายป่าวครับ"

"ค่ะๆ ขอบพระคุณมากค่ะ" ... "ท่านอ.ครับมีคนขอสายท่านอ.บอกว่าไม่เกิน 1 นาที)" ค่ะ "สวัสดีค่ะท่านอ.หนูชื่อพญ.ดวงทิพย์ สุนทรเลขานะคะ หนูจะโทรมาขอขมาท่านอ.ค่ะหนูเคยวิจารณ์ท่านอ.กะเพื่อนว่าท่านอ.สอนผิดค่ะ" ท่านอ.กล่าวว่า "กล้าหาญมากค่ะขอเชิญที่นี่ได้ไหมคะ (เราอึ้งๆ ปนดีใจปนงงค่ะ) คุณประเชิญค่ะ" ท่านอ.ส่งโทรศัพท์คืนท่านอ.ประเชิญ "เอิ่ม

ท่านอ.หมายถึงให้ดิฉันโทรเข้าห้องสนทนาแล้วเสียงขอขมาจะออกอากาศในรายการใช่ไหมคะ" "ไม่ใช่ครับท่านอ.หมายถึงให้คุณมาที่นี่" "ควรไปช่วงกี่โมงดีคะ" "เสาร์อาทิตย์ก่อน 10.30 น.ครับ" "งั้นเสาร์หน้าจะไปค่ะ" พอถึงเวลาก็มีเหตุมีปัจจัยที่น่าตื่นเต้นมากมายที่จะทำให้สงสัยไม่ได้ไปแล้วเรา...ก็พยายามฟันฝ่ากระเสือกกระสนได้ไปตรงก่อนนัดเล็กน้อย (แบบไม่สามารถจะหวังว่าจะเป็นไปได้เพราะทำใจแล้วว่าผิดนัดแน่วันนี้แต่ในใจไม่อยากผิดนัดเลย) และได้รับความเมตตาอนุเคราะห์จากท่านอ.อย่างซาบซึ้งค่ะ

เมื่อได้มาฟังธรรมวันเสาร์ 10.30 น.-1 2.00 น. ตั้งแต่วันนั้น รับรู้ได้ว่าการมานั่งฟังที่นี่ช่างแตกต่างกะฟังถ่ายทอดสดทางเนตที่ติดบ้างไม่ติดบ้างกระท่อนกระแทน จึงมาทุกครั้งที่มีโอกาสและตั้งใจอ่านพระไตรปิฏกฉบับเต็ม แบบไม่เร่งรีบด้วยความเคารพในพระธรรม และฟังคำบรรยายของท่านอ.ที่หาผู้เปรียบยากที่ใครจะสามารถอธิบายในความลึกซึ้งในพระปัญญาคุณ ได้เท่าท่านอ. ขณะนี้ฟังท่านอ.เพียงท่านเดียวคะ สุดท่ายนี้ขอบูชาพระคุณด้วยการปฏิบัติบูชา กราบเท้าท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ในกุศลวิริยะที่ท่านอ.ได้ทุ่มเทในการรักษาพระพุทธศาสนาแบบไม่มีผู้เปรียบ...และขอขอบพระคุณท่านอ.ประเชิญที่กรุณานำโทรศัพท์ให้ท่านอ.ในวันนั้นค่ะ ขอขอบพระคุณในบุญกุศลของตนเองที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนที่ผันมาให้ได้พบน้ำอมฤตคือรสของพระธรรมอีกครั้งหนึ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
j.jim
วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 24 พ.ย. 2557

ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ทางวิทยุตั้งแต่เด็กขณะที่ไปเล่นกับลูกญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง.จำได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิง เสียงน่าฟังมากผู้ฟังนอนฟัง พนมมือเป็นบางครั้งและฟังด้วยความสนใจ แต่ตนเองไม่ได้สนใจว่าท่านอาจารย์พูดอะไร วันหนึ่งตามเพื่อนไปที่เมืองทองบ้านคุณหญิงนพรัตน์ได้เห็นท่านอาจารย์ครั้งแรกรู้สึกคุ้นเสียงมาก ไปฟังธรรมเพียงเพราะเพื่อนที่ไปนั่งภาวนาที่วัดป่าด้วยกันชวน แค่ลองฟังดู บางครั่้งก็เก็บคำบรรยายมาแซวกันเล่นๆ ๆ คงเป็นเพราะมีแต่สัญญาที่ไม่มีปัญญาประกอบ คุยเสียงดังตอนพักรับประทานอาหาร.ยังคิดว่าถ้ามีใครไล่เพราะรำคาญคงจะไม่มาฟังท่านอาจารย์อีก ตอนนั้นประทับใจคุณน้าศุกลให้การต้อนรับดีมากที่รู้สึกดีเป็นพิเศษตอนเชิญชวนให้ทานโน้นทานนี่..จากบ้านคุณหญิงก็มาฟังที่ มศพ. ฟังไปเรื่อยๆ ๆ มีแย้งบ้างในใจ..ปลายปี 2549 ไปอินเดียกับท่านอาจารย์ครั้งแรกและได้มีโอกาสร่วมสนทนาธรรมกลับจากอินเดียปลายปี 2549 จึงเริ่มสนใจธรรมะอย่างจริงจัง

ในฐานะของผู้ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาหากไม่พบท่านอาจารย์คิดว่าการ เข้าวัด ฟังเทศน์ ใสบาตร บวชชีพราหมณ์เป็นชาวพุทธหรือสาวกแล้ว โดยไม่ได้สาระจากพระธรรม..และคงห่างไกล คำว่าศึกษาพระธรรมเพื่อให้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา

กราบท่านอาจารย์และวิทยากรทุกท่านคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Boonyavee
วันที่ 25 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งแต่อนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้ศึกษาที่ โรงเรียนดาราวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักร นิกายโปแตสแตนท์ แต่ด้วยที่บ้านถูกปลูกฝังให้เข้าวัด ทำบุญ ช่วยหลวงตาล้างห้องน้ำวัดอยู่เป็นประจำ และไม่เชื่อเรื่องการล้างบาปจึงไม่ได้ศรัทธาในศาสนาคริสต์ที่ต้องเรียนทุกเช้า จนกระทั่งปีพศ. 2546 หลังจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เริ่มแสวงหา สถานที่ปฏิบัติตามวัดต่างๆ ในเชียงใหม่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้มีโอกาสกลับมาแวะเวียนกราบอาจารย์ฉัตรชัยที่คณะวิทยาศาตร์ ก็เห็นหน้าจอเวปไซต์บ้านธัมมะในห้องทำงานของอาจารย์อยู่เสมอ แต่ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งมีเหตุปัจจัยให้ได้มาช่วยงานบ้านธัมมะเชียงใหม่ในปีพศ. 2549 นั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ แต่ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ประกอบกับที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า “ไม่ต้องไปทำอะไร ขณะนี้ก็มีธรรมปรากฎ” ด้วยความเห็นผิดที่สะสมมานานจากการปฏิบัติผิดๆ ความคิดขณะนั้นก็ค้าน ว่า “ไม่ปฎิบัติแล้วจะรู้ได้อย่างไร”

ถึงแม้จะยังมีความเห็นผิดอยู่แต่ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้มาร่วมฟังธรรมบรรยายจากสหายธรรมเชียงใหม่ที่กรุณาเกื้อกูลทุกบ่ายวันอาทิตย์ และในปีนั้นเองได้พบกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งท่านมาสนทนาธรรมที่จังหวัดเชียงใหม่ การศึกษาพระธรรมครั้งนั้นไม่ใช่ความเข้าใจ แต่เป็นเพียงการจำชื่อเท่านั้น หลังจากศึกษาอยู่ได้ระยะหนึ่งก็มาทำงานที่กรุงเทพ จนกระทั่งปีพศ. 2554 ประสบกับปัญหาส่วนตัวบางประการ ด้วยความเห็นผิดคิดต้องการหาเพียงสถานที่สงบ ไม่ได้เข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริง จึงทำให้กลับไปปฏิบัติอีกครั้งและครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่หันเหชีวิตอย่างแท้จริงและไม่คิดหวนกลับไปปฏิบัติผิดอีกต่อไป ความไม่รู้ไม่เข้าใจว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร กลายเป็นความสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้ ณ วินาทีนั้นรู้แน่ชัดทันทีแล้วว่า นี้ไมใช่หนทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน และนี้คือคำตอบที่ตอบคำถามที่ค้างคาใจมานาน ตอบคำถามของความเห็นผิดที่เข้าใจมาตลอดว่า” ไม่ปฏิบัติจะรู้ได้อย่างไร” แต่ด้วยความไม่รู้เลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ถ้าไม่มีปัญญาแล้วจะเข้าใจถูกได้อย่างไร” ไม่มีทางเลย ขณะนั้น รู้สึกผิดกับท่านอาจารย์มาก คิดเพียงอย่างเดียวว่า จากนี้ไปจะตั้งใจศึกษา พระธรรมจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ และปลายปีพศ. 2554 นั้นเองจึงได้มีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปประเทศอินเดียพร้อมกับมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นการเดินทางที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

การเดินทางไปประเทศอินเดียครั้งนั้น ทำให้ได้มีโอกาสพบกับผู้มีพระคุณอีกสองท่านคือ รศ. สงบ เชื้อทองและพลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง ท่านทั้งสองได้เกื้อกูลธรรมให้กับสหายธรรมในรถบัสได้มีความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงเล่าพุทธประวัติของแต่ละสถานที่ต่างๆ ที่ไปเยือน ทั้งนี้ก็เพื่อเกื้อกูล ให้จิตของผู้ฟังได้เกิดกุศลจิตณ แดนพุทธภูมิแห่งนี้ ตลอดการเดินทางที่ยาวนานจึงกลับดูสั้นลงด้วยธรรมของท่านทั้งสอง และธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ที่เปิดผ่านเทปวิทยุในรถบัส ตลอดการเดินทาง ธรรมที่ประทับใจระหว่างการเดินทางครั้งนั้นที่รศ. สงบได้เล่า คือ วัตตบท 7 ประการ ซึ่งท้าวสักกะได้บำเพ็ญบารมีเมื่อเป็นมนุษย์จนได้เป็นท้าวสักกะจอมเทพที่ยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นความบริสุทธิ์ของท้าวสักกะก็ยังไม่เทียบเท่ากับผู้ที่ได้ตรัสรู้หมดกิเลสไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป ซึ่งวันสุดท้ายของการเดินทางวันที่ 23 ตุลาคม นั้นตรงกับวันคล้ายวันเกิดของพลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง จึงได้โอกาสมอบช่อดอกไม้ให้ท่าน และขอสมัครเป็นลูกทางธรรมของท่านทั้งสอง นับจากนั้นจนถึงทุกวันนี้จึงเรียกท่านทั้งสองว่า คุณพ่อ คุณแม่ ตลอดมา

ช่วงนั้นมีน้ำท่วมครั้งใหญ่ เลยบอกท่านทั้งสองว่า จะไปช่วยทำความสะอาดบ้าน เมื่อสอบถามทางปรากฏว่ายิ่งอัศจรรย์ใจ คือ บ้านของคุณพ่อคุณแม่นั้นอยู่ซอยติดกัน ซึ่งสามารถเดินไปหากันได้โดยไม่ยาก จากนั้นก็ได้มีโอกาสไปช่วยทำความสะอาดวัดที่ตรงข้ามกับบ้านของคุณแม่ที่จังหวัดอยุธยา ขณะที่กำลังทำความสะอาดพระพุทธรูป รูปปั้นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่ คุณพ่อคุณแม่ได้ร่วมกันสร้างไว้ที่วัดแห่งนี้อย่างขะมักเขม้น พระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็เดินผ่านมาและกล่าวอนุโมทนาในกุศล พลางกล่าวว่า “ขอให้หนูได้เกิดเป็นนางฟ้า นางสวรรค์นะ” ด้วยสัญญาความจำเรื่องที่คุณพ่อเล่า เรื่องวัตตบท 7 ประการของการได้เป็นท้าวสักกะจอมเทพก็ผุดขึ้นมาในความคิดทันที จึงตอบกลับท่านไปว่า “กราบขอบพระคุณคะท่าน แต่หนูไม่ได้อยากเป็นนางฟ้า นางสวรรค์หรอกคะ เพราะตราบใดที่ยังละกิเลสไม่ได้ก็ต้องกลับมาเวียนว่าย ตายเกิดอยู่ดี หากเป็นไปได้ หนูขอให้มีปัญญาดีกว่าคะท่าน” พระภิกษุผู้ใหญ่หลังจากฟังคำตอบแล้วท่านก็เดินจากไป และดูเหมือนว่าคำขอจะส่งผลให้เริ่มเห็นหนทางเดินที่ถูกต้อง คือได้ใกล้ชิดกับกัลยาณมิตรอย่างท่านทั้งสอง ที่คอยพร่ำสอนและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง และยิ่งได้ฟังพระธรรม ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บรรยาย ก็ยิ่งรู้ซึ้งว่า พระธรรมไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้ง่ายเลย เพราะความหนาแน่นด้วยกิเลสมามากมายเหลือเกิน จะขัดเกลาให้หายไปจากการฟังเพียงไม่กี่ครั้งก็เป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจไว้แล้ว จึงไม่ย่อท้อที่จะฟังพระธรรมให้ค่อยๆ เข้าใจมากยิ่งขึ้น ในอดีตเคยมีความเห็นผิดและสร้างเหตุที่ไม่ดีไว้ อนาคตไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อมีโอกาสได้กลับมาฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กรุณาชี้แนะจวบจนมาถึงวันนี้ ถึงความเข้าใจยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับกิเลสที่ยังไม่ได้ละคลาย แต่อย่างน้อยการฟังพระธรรมก็ทำให้เข้าใจมั่นคงแล้วว่า “ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ต้องไปไหน” เพราะแค่ตื่นมาทุกเช้าก็แสวงหามากพอแล้วคะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งคะ

กราบขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกๆ ท่านที่กรุณาเกื้อกูลคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
siraya
วันที่ 25 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
thilda
วันที่ 25 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ

ทุกท่านเป็นผู้สั่งสมบุญมาดีแล้วค่ะ ^^

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์วิทยากร และขอบพระคุณผู้ที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิฯ ทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
wit46
วันที่ 26 พ.ย. 2557

สนใจฟังธรรมสมัยที่เรียนจบมาทำงานธนาคาร เนื่องจากอยู่ในส่วนที่ไม่ต้องติดต่อกับลูกค้า จึงมีโอกาสเปิดวิทยุฟังธรรมตามสถานีต่างๆ ช่วงนั้นยังไม่ได้ฟังการบรรยายของอาจารย์ แต่ได้ฟังการบรรยายพระอภิธรรมของมูลนิธิแห่งหนึ่งจากนั้นวันเสาร์อาทิตย์ ตอนเช้าก็ไปเรียนพระอภิธรรมที่มูลนิธิแห่งนั้น

ล่วงมาประมาณปีเศษขณะขับรถเผอิญหมุนวิทยุไปเจอการบรรยายของอาจารย์เวลาเที่ยงทางสถานี AM 945. จึงฟังเรื่อยมา การบรรยายของอาจารย์ ทำให้เข้าใจแนวทางเจริญสติปัฏฐานว่า การฟังให้เข้าใจเป็นปัจจัยสำคัญ จากแต่ก่อนที่เข้าใจว่าต้องไปสู่สถานที่สงัดเพื่อปฎิบัติ และเริ่มมาฟังบรรยายที่วัดบวรฯ ราวปี 2538  

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่ทำให้ผมมีความเข้าใจที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chaweewanksyt
วันที่ 27 พ.ย. 2557

กราบขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
lack
วันที่ 29 พ.ย. 2557

เคยบวชพระตอนอายุครบบวชตามประเพณี บวชได้ประมาณ 1 เดือน ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเลยว่า พระต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร ขณะที่บวชก็ไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ฟังธรรมเพราะใช้เวลาไปกับการสร้างศาลา กุฏิ เวลาว่างจากงานก็ได้อ่านข้อความในพระไตรปิฎกบางส่วน  เกิดความซาบซึ้ง และมีความเกรงกลัว เห็นโทษของการทำบาป พอลาสิกขา ก็กลับมาเรียนต่อจนจบปริญญาตรี 

จำได้ว่าพอเรียนจบ ก็มีความคิดว่า "ชีวิตมีเท่านี้เองน่ะเหรอ คือ เกิดมา เรียน ทำงาน แก่ แล้วก็ตาย  แล้วก็วนมาเกิดใหม่   แล้วเมื่อไรจะจบสิ้นสักที" ระหว่างนั้น ก็ใช้อินเตอร์เน็ทในการศึกษา อ่าน คำสอน ของทุกศาสนา บ้างปะปราย (เพราะความอยากรู้) ซึ่งก็ทำให้ได้รู้คุณธรรมของ ศาสดาต่างๆ โดยเฉพาะพระเยซู ในศาสนาคริสต์  ซึ่งโดนทรมานก่อนตาย แต่ไม่มีความโกรธเลย มีแต่ความหวังดีต่อผู้อื่น แล้วถ้าเป็นเราล่ะจะเป็นอย่างไร

นี่ก็ผ่านมา 14 ปีแล้ว หลังจากเรียนจบ ซึ่งใน 2 ปีหลังนี้ ก็เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และถือศีล 5 มาตลอด อ่านหนังสือธรรมะที่รับแจกมาบ้าง อ่าน ฟัง ตามอินเตอร์เน็ทบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่เราค้นหา เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเจอข้อความที่ทำให้เราอยากได้บุญ ทำให้เกิดความโลภขึ้นในใจ เช่น ผลบุญของการสวดมนต์ บทนั้น บทนี้ การทำสมาธิ ทำวิปัสสนา หรือทำอะไรต่างๆ  ว่าได้บุญอย่างไร หรือแม้แต่การพูดคุยกันในเวป.บอร์ดธรรมะที่ต่างๆ ก็เจอแต่ คำพูดประชด ประชัน ส่อเสียดในภาษาธรรมแสดงถึงความมี อัตตา มีมานะถือตัวอย่างแรง

ได้เกิดคำถามขึ้นในใจหลายอย่างว่า ทำไมคนเหล่านั้น ที่บอกว่าปฏิบัติธรรม ถึงเป็นเช่นนี้  เพราะอะไร ทำไมต้องสวดมนต์ ทำไมต้องนั่งสมาธิ ทำไมต้องเดินจงกรม ทำไมต้องนุ่งขาว ทำไมต้องมีพิธีกรรม  ทำไมต้องใช้น้ำในการอุทิศส่วนกุศล ถ้าไม่ใช้ได้ไหม และอีกหลายๆ อย่าง (ก็พอจะรู้เหตุผลว่าทำไม แต่ไม่มีความมั่นคงพอ)

เมื่อต้นปี 2557 ขณะที่นั่งสวดมนต์ไหว้พระ และอุทิศส่วนกุศล ก็ได้อฐิฐานจิตว่าหากผู้ใดเคยกระทำกรรมไม่ดีต่อข้าพเจ้า ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าขออโหสิให้ จะไม่ขอจองเวรกับผู้ใดอีก และกรรมใดที่ข้าพเจ้าเคยทำไม่ดีต่อผู้อื่น ขอให้เลิกจองเวรพยาทต่อกันด้วย เพื่อประโยชน์สุขต่อตัวท่านเหล่านั้นเอง และขอให้ข้าพเจ้าได้พบเจอพระธรรมที่ถูกต้องที่ประเสร็ฐด้วยเทอญ

หลังจากนั้นหลายวันผมก็ได้เข้าใช้อินเตอร์เน็ทตามปกติ ก็ได้มาเจอเวป.บ้านธัมมะ (ทำไมเมื่อก่อนไม่เจอ) ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ สุจินต์ บรรยายธรรมะ และอ่านข้อความบรรยายธรรมะ จากกระทู้เก่าๆ ของเวป นี้ บางวันฟังจน ข้ามวันข้ามคืน เพราะ ไม่เคยเจอใครที่บรรยายได้ละเอียดลึกซึ้งเท่านี้มาก่อน บางที ก็เกิดปลื้มปิติ จนน้ำตาไหลออกมาเอง บางทีข้อความที่ได้อ่านแล้ว ก็กลับมาอ่านอีก ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ สิ่งที่เคยสงสัยในเบื้องต้น ก็ได้รับคำตอบหมดแล้วจากที่นี่

และพบการแสดงธรรมของท่านอาจารย์ รวมทั้งท่านวิทยาการทุกท่าน ที่แต่ละคำนั้น แสดงถึงความเคารพนอบน้อม ในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และมีความงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง ความงามในที่สุด

ทุกวันนี้ สิ่งที่อาจารย์บรรยายหลายๆ อย่างเหมือนกับว่าได้ดังกึกก้องอยู่ในหัวผมตลอดเวลา เพื่อคอยเตือนใจไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เช่นว่า ธรรมะเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้

"ฟังเพื่อเข้าใจ ละคลายความไม่รู้ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น"

"รู้อะไร? รู้ขณะนี้นี่เอง มีสภาพธรรมเกิดแล้ว "

"มีแต่ธรรม ทำกิจหน้าที่ตามเหตุปัจจัย ไม่มีเรา"

และอีกหลายๆ อย่าง ถึงแม้จะยังไม่ประจักษ์ชัดในสภาพธรรม ผมก็จะฟังและศึกษาต่อไป

เป็นบุญกุศลของผมจริงๆ ที่เกิดมาชาตินี้ ไม่เสียชาติเกิดแล้ว ที่ได้มาพบผู้ถ่ายทอดพระธรรมให้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์  บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
j.jim
วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
Chalee
วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ฟังอาจารย์ครั้งแรกในยูทูบค่ะ  รายการบ้านธัมมะ  ชอบฟังท่านและดูท่านบรรยายเกี่ยวกับธรรมะคืออะไรค่ะ. ท่านให้ความกระจ่างกับดิฉันมากค่ะ  เมื่อก่อนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับศาสนา  สงสัยหลายอย่าง แต่พอฟังอาจารย์แล้วเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองสงสัยค่ะ. ชอบฟังท่านอ่านและบรรยายพระไตรปิฏก บางครั้งไม่เข้าใจ  แต่ชอบฟังท่านค่ะ. เป็นบุญของดิฉันที่ได้ฟังธรรม จากท่านค่ะ

ขออนุโมทนาสาธุค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
kanchana.c
วันที่ 2 ธ.ค. 2557

Name: TRAN VAN THAI

Age: 35
Job: Travel Agent owner, Manager


Since I was 15 years old, I was pretty interested in human beings, spiritual matters. I read many books in this field such as destiny reading, Chinese book of changes (I Ching), “Life and Teaching of the Masters of the Far East”, “Tibetan Book of the Dead”, The Bible… When I was about 25 years old, I had many stresses with works, personal plans, so I was looking for something to balance the mind. Then I found Mahayana Buddhism books which helped at some points. Years after years, I read many kinds of books about Buddhism, meditations, Burmese/Thai meditation teachers and tried to meditate. I knew about Achaan’s teaching since 2012 via Tam Bach’s recommendation.

คุณ Tran Van Thai

อายุ 37 ปี (ปัจจุบัน) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข 988

อาชีพ เจ้าของและผู้จัดการบริษัทท่องเที่ยว

ตั้งแต่อายุ 15 สนใจเรื่องมนุษย์และจิตใจ อ่านตำรามากมายเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา ตำราจีน “ชีวิตและคำสอนของอาจารย์ในตะวันออกไกล”, ตำราธิเบตเกี่ยวกับความตาย, คัมภีร์ไบเบิล เมื่ออายุประมาณ 25 มีปัญหาเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวมาก จึงแสวงหาทางให้พ้นจากความเครียด และได้อ่านตำราพุทธศาสนามหายานซึ่งพอช่วยได้บ้าง ปีแล้วปีเล่าที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและการทำสมาธิ ทั้งจากอาจารย์พม่าและไทย และพยายามทำสมาธิ จนได้มาพบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อปี 2012 โดยการแนะนำของคุณ Tam Bach

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
kanchana.c
วันที่ 2 ธ.ค. 2557

My name is Nguyen Thanh Tam. I am 32 years old. I am now working as an office assistant for a development project in Hanoi.

I became interested in Buddhism few years ago, around late of 2008. At that time, I wanted to have a change from monotonous life, so after quitting the job at a travel company, I decided to spend some time travelling. I liked to experience different kinds of feelings and therefore, as recommendation from a friend who had some years of practicing meditation; I tried 10-day vipasana meditation at a monastery in Chiangmai though I had not known anything about Buddhism before.

It was hard for a sociable person like to me to be alone in the room all day without any talking, reading or entertainment. I often practiced outside the room or going around the monastery, talking with monks and observing other meditators. All these things brought me new ideas about Buddhism, a concept that I was kind of allergic to in Vietnam where people only come to pagoda for praying for wealth and health, or even superstitious activities just like doing religion business.

I came back Vietnam with some interesting ideas about what I had learnt from the monastery but there were also lots of doubts about what I was told about lives in the other realms or life after death.

As I could not find another job after my trip, I had time to meet with different people who are Buddhist lay people, monks and nuns. It seemed like another world for me when approaching Buddhism, both interesting and suspicious about this new area. I began to study more and more about Buddhism, trying meditation at different centers with different methods in Thailand and Myanmar, meeting with monks and meditation teachers. I found life was more meaningful and thought “Buddhism is the way out of this vicious cycle of life”. There was much difference between normal life and monastic life: one is always noisy and busy while the other brings calmness and no worry. I loved to see the image of monk in austere robe going for alms food. I wanted to live a secluded life in any monastery and came to a monastery for meditation whenever I could. Though I liked to be in a meditation center, I, at times, wondered if I was being on the right path, and still looked for new methods from different masters if I was told that they are good. 

Later, I was much interested in a practicing way taught by a Burmese monk. It was not hard course with no speaking, no reading, instead he encouraged people to read and listen for right understanding and practice naturally in daily life by observing what appears now. I was happy with this method because I can practice at home, but still planned to go to meditation center one time a year.

On a holiday trip with dhamma friends 2 years ago, we meditated and read Nina’s vipasana letters together. I found these letters very beneficial and not so much different from what I’d been practicing. Back to work from the holiday, I felt very happy, more comfortable in mind because I had less desire to force myself to become a good person, and more open to everybody even those who have different viewpoints with me because I’d learnt that people have different accumulations. As everybody who joined the trip also found it beneficial, we decided to invite Achaan Sujin to Vietnam.

Things totally changed after discussing days with Than Achaan in Hanoi. What she taught is totally against any methods or common trends in big Theravada Buddhist countries like Thailand and Burma. It was confusing for me at that time to think so. However, the more I consider, the more I know what she teaches are right, there is no other way than to begin with right understanding of what appears now. It is very subtle to realize the difference between observing present moment, what, in fact, is only thinking with the idea of “I am observing” and understanding of what appears now, even at intellectual level. There must be pariyatti, intellectual understanding before patipatti, direct understanding of whatever appears while I used to do the other way, i.e practice first and hope understanding to come later. What I’ve followed is not Buddha’s teaching but someone else’s.

That’s why Achaan always focuses on right understanding and tells us to be very precise in studying Dhamma, only one at a time, and right understanding of one word will lead to understanding of others. Each of Buddha’s word is true word that can be directly understood, not theory.

And I am now quite satisfied with my current life, no more desire to go somewhere to understand about realities, no more worry about what I have to do. Everything arises because of its own conditions.

I am deeply appreciated Than Achaan for sharing her profound understanding of Dhamma and appreciated each moment of understanding.  

ดิฉันชื่อ ... Nguyen Thanh Tam อายุ 32 ปี ปัจจุบันดิฉันทำงานเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาเมืองฮานอย เป็นสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข 983

ดิฉันเริ่มสนใจเกี่ยวกับศาสนาพุทธเมื่อ 2-3 ปีก่อน ประมาณปลายปี คศ. 2008 ในเวลานั้นดิฉันต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ราบเรียบ หลังลาออกจากงานที่บริษัทท่องเที่ยว ดิฉันจึงตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวค้นหาประสบการณ์ชีวิต ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนซึ่งเคยทำสมาธิมานานหลายปี  ให้ลองทำสมาธิเป็นเวลา 10 วัน ที่วัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาก่อนเลย 

เป็นการยากสำหรับบุคคลที่ชอบสังคมเช่นดิฉันที่ต้องมาอยู่คนเดียวโดยไม่พูดกับใครเลยทั้งวัน ไม่อ่านหนังสือหรือความบันเทิงต่างๆ ด้วย ดิฉันออกไปปฏิบัตินอกห้องหรือไปสำรวจรอบวัดบ่อยๆ ได้พูดคุยกับพระภิกษุและได้สังเกตการปฏิบัติสมาธิของคนอื่นๆ ด้วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ดิฉันมีความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ความคิดที่ไม่อาจยอมรับได้ที่ผู้คนไปไหว้พระเจดีย์เพื่อขอให้ร่ำรวยและมีสุขภาพดี หรือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งดูเป็นธุรกิจโดยอาศัยพระพุทธศาสนา

ดิฉันกลับเวียดนามพร้อมทั้งความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากวัดในเมืองไทย แต่ก็ยังมีความสงสัยมากมายกับสิ่งที่ถูกบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตในชาติหน้าหรือชีวิตหลังความตาย

ดิฉันไม่สามารถหางานใหม่ได้หลังจากการเดินทางนั้น จึงมีโอกาสได้พบปะผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธทั้ง พระสงฆ์และคฤหัสถ์ รวมทั้งแม่ชี มันเหมือนโลกใหม่ที่ได้พบเมื่อเริ่มเข้าใกล้พุทธศาสนาทั้งน่าสนใจและน่าสงสัย ดิฉันเริ่มต้นเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนามากขึ้นและมากขึ้น ได้ทดลองนั่งสมาธิ ณ สถานปฏิบัติต่างๆ ด้วยวิธีต่างๆ กันทั้งในประเทศไทยและพม่า ได้พบพระและอาจารย์หลายๆ ท่าน ดิฉันได้พบว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้นและคิดว่า “พุทธศาสนาคือหนทางทำให้หลุดพ้นจากวัฏฏะ” ชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างชีวิตธรรมดากับชีวิตในสำนักสงฆ์ ชีวิตหนึ่งมีแต่ความชุลมุนวุ่นวาย แต่อีกชีวิตหนึ่งมีความสงบและไร้กังวล ดิฉันชอบที่ได้เห็นพระภิกษุครองผ้าเดินบิณฑบาต ดิฉันต้องการใช้ชีวิตสันโดษในวัดและไปปฏิบัติเมื่อมีโอกาส ถึงแม้จะชอบไปนั่งสมาธิ แต่หลายๆ ครั้งก็ยังสงสัยว่าเป็นหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วก็ยังมองหาวิธีใหม่ๆ จากอาจารย์ต่างๆ ตามที่มีผู้บอกว่าดี

ต่อมาดิฉันสนใจวิธีปฏิบัติของพระชาวพม่า ซึ่งไม่มีข้อห้ามไม่ให้พูดหรือไม่ให้อ่านหนังสือ แต่กลับแนะนำให้อ่าน ฟังเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและปฏิบัติตามปกติชีวิตประจำวันโดยระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เป็นวิธีที่ดิฉันชอบเพราะสามารถปฏิบัติได้ที่บ้าน แต่ก็ยังวางแผนไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ ปีละครั้ง

เมื่อสองปีที่แล้วได้เดินทางไปพักผ่อนกับสหายธรรม เรานั่งสมาธิและอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิปัสสนาชื่อ "จดหมายจากนีน่า" ด้วยกัน ได้พบว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มากและไม่แตกต่างจากที่ตัวเองปฏิบัติมาบ้างแล้ว เมื่อกลับมาทำงาน ฉันรู้สึกมีความสุขและสบายใจ เพราะความต้องการบังคับตนเองให้เป็นคนดีน้อยลง มีความคิดเปิดกว้างกับความเห็นที่แตกต่าง เข้าใจได้ว่า คนเราสะสมมาต่างกัน เพื่อนๆ ที่ได้ร่วมเดินทางได้รับประโยชน์ พวกเราจึงตัดสินใจเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์มาที่ฮานอย เวียดนาม

สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงหลังจากได้สนทนากับท่านอาจารย์หลายวันที่ฮานอย สิ่งที่ท่านสอนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิธีสอนทั่วไปในประเทศพุทธเถรวาท เช่น ประเทศไทยและพม่า แรกๆ ก็สับสน แต่เมื่อพิจารณามากขึ้นก็ยิ่งรู้ว่า ที่ท่านอาจารย์สอนนั้นถูกทางและไม่มีวิธีอื่นนอกจากเริ่มเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เป็นความลึกซึ้งที่รู้ความแตกต่างระหว่างระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้กับความคิดว่า “เรากำลังระลึกรู้” และเรากำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่ความเข้าใจก็มีหลายระดับ  ต้องมีความเข้าใจขั้นปริยัติ คือรอบรู้ในคำสอนก่อนปฏิปัตติ รู้ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งดิฉันปฏิบัติกลับกัน ปฏิปัตติก่อน แล้วหวังว่าความเข้าใจจะตามมา สิ่งที่ดิฉันปฏิบัติมาไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน แต่เป็นคำสอนของคนอื่น 

ดังนั้น ท่านอาจารย์จึงเน้นเรื่องความเห็นถูก และสอนให้เป็นผู้ตรงในการศึกษาพระธรรม  มีเพียงสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งที่ปรากฏแต่ละขณะ เข้าใจคำสอนแต่ละคำอย่างลึกซึ้ง อย่าข้าม ก็จะทำให้เข้าใจคำอื่นๆ ต่อไป  คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะ ที่สามารถพิสูจน์ให้รู้ตามได้ ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎี

เดี๋ยวนี้ดิฉันมีความพอใจกับชีวิตปัจจุบัน ไม่ต้องแสวงหาสถานที่เพื่อเข้าใจความจริง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องทำอะไร เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วตามเหตุและปัจจัย  

ดิฉันรู้สึกขอบคุณและอนุโมทนาท่านอาจารย์ที่ได้แบ่งปันความเข้าใจธรรมะอันลึกซึ้งของท่าน และขอบคุณทุกขณะที่เข้าใจธรรมะ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
Parinya
วันที่ 2 ธ.ค. 2557

ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ก็ได้พิจรณาว่าควรเขียนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ตรงตามหัวข้อที่ต้องการจะให้เขียนก็จะไม่ตรงกับจุดประสงค์ของเจ้าของกระทู้  สำหรับท่านที่ไม่ชอบฟังเรื่องของคนอื่น อาจจะไร้สาระกับท่านก็ไม่ควรอ่าน แต่ถ้าอยากจะรู้ว่า เรื่องราวที่กระผมประสบมา ไม่น่าจะเป็นจริงเลย แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ขอเริ่มต้นวัดแรกที่ อเมริกา ตอนนั้นอายุประมาณ 50 ปี หาที่พึ่งทางใจ ไปวัดอยู่บ่อยๆ ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบท่านเจ้าอาวาส เพราะท่านมีธุระ ที่ต้องบินไปสวดร่วมกับพระวัดอื่นอยู่บ่อยๆ  ได้พบท่านก็ต่อเมื่อมีพิธีสำคัญทางพุทธศาสนา เวลาเทศน์ในวันสำคัญท่านก็เน้นการทำบุญสร้างโน่น สร้างนี่ ทุกครั้ง  ฟังจนชินว่าตอนนี้ทางวัดยังขาดปัจจัย (เงิน) ส่วนเวลาว่างของท่านคือการซื้อหุ้น ท่านพูดเอง พอดีผมซื้อขายหุ้นไม่เป็น ท่านก็ไม่มีเวลาให้ ตกลงไม่มีโอกาสได้ศึกษาธรรม  

พออายุ 60 ปีกลับเมืองไทย ภรรยาชอบนั่งสมาธิ ตั้งแต่อยู่เมืองนอกด้วยกันแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่สนใจ แต่ที่เมืองไทยอยากเรียนธัมมะต้องไปเริ่มนั่งสมาธิ  ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ  ผมก็เหมือนคนตาบอด ใครจูงไปทางไหนก็ไป ไปเริ่มนั่งสมาธิที่วัดต่างจังหวัด มีทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สถานที่สะดวกสบายและเงียบเหมาะแก่การนั่งสมาธิ แต่ไม่มีใครเป็นผู้สอน ผู้นั่งฝึกเอง รู้เอง หลวงพ่อท่านก็รับแขกที่มาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ อยู่ไปจนหลวงพ่อคุ้นเคยท่านก็ชวนให้ซื้อที่ถวายวัดที่ท่านรู้จัก ท่านบอกว่าจะทำให้ถนนหน้าวัดกว้างขึ้น ได้ซิครับหลวงพ่อ เราทั้งสองดีใจมากที่ได้ทำบุญกับพระ

ต่อมาท่านเห็นเราเป็นคนพูดง่าย ท่านก็ชวนให้บริจาคเงินเพื่อยกช่อฟ้าอีกคนละช่อ ได้ซิครับหลวงพ่อ มาวันหนึ่งหลวงพ่อถามว่าฝึกไปได้ถึงไหนแล้ว และท่านก็บอกว่าฝึกต่อไปอย่าท้อ เออพรุ่งนี้เช้าไปธุระกับหลวงพ่อที่กรุงเทพหน่อยซิ โยมขับรถไปกับหลวงพ่อสองคนก็พอ ตอนเช้าหลังท่านฉันข้าวเช้า เราก็ไปกรุงเทพ ออกจากวัดมาไม่นาน หลวงพ่อก็นั่งหลับ ความเซ่อของผมก็คิดว่าท่านนั่งสมาธิ ถึงดอนเมืองท่านก็ตื่น ที่รู้ว่าไม่ใช่สมาธิเพราะได้ยินเสียงกรนครอกๆ ท่านบอกทางให้ผมขับไปอู่ซ่อมรถ Benz ท่านบอกว่ารถรุ่นเก่าต้องใส่เครื่องญี่ปุ่น อู่นี้ทำเก่ง ท่านนำรถของท่านหลายคันมาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ ผมเริ่มฉงนใจ พอกลับวัดก็เลยถามท่านว่าทำไมวัดต้องมีรถหลายคันด้วย  ท่านบอกว่า เจอรถเก่า เอามาเปลี่ยนเครื่องแล้วพ่นสีใหม่ซะหน่อยแล้วก็ขายไป ใจผมชักไม่สู้ดีแล้ว เริ่มคิดจะออกจากการถือศีล ต่อมาวันหนึ่งพระหลานชายหลวงพ่อซึ่งชอบคุยว่า วันว่างๆ ท่านชอบไปนั่งสมาธิในถ้ำ ท่านมาขอร้องให้พาท่านไปพบพระองค์หนึ่งซึ่งเคยบวชที่วัด ท่านให้พาไปตอนค่ำที่ชานเมืองกรุงเทพ พอทั้งสองได้พบกันท่านก็บอกให้ผมกลับวัดได้  

หลังจากนั้นถึงสองหรือสามวันความจริงก็ปรากฏ พระหลานของหลวงพ่อคงไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีสามี  ที่เขามาถือศีล สามีเขาคงมาตามหาพระมั้ง อันตรายนะคุณผู้หญิง การไปนั่งสมาธิที่วัดที่คนไม่พลุกพล่านจะดีหรือไม่? ในที่สุดผมกับภรรยาก็อำลาวัดนี้  วัดต่อมาภรรยาเป็นคนเลือกอีก วัดนี้น่าสนใจ มีรูปปั้นฤาษีดัดตนมากมาย ตั้งอยู่หน้าวัด คุณภรรยาบอกว่าขับเข้าไปเลย ได้เจอทั้งหลวงพ่ออายุบอกไม่ได้ เพราะท่านลงพุง ในบริเวณวัดมีกุฏแม่ชีพักอยู่ สามถึงสี่คน แม่ชีผู้ดูแลวัดและหลวงพ่อ อายุประมาณ 30ต้นๆ แม่ชีชอบนั่งสมาธิ คุณภรรยาก็ชอบนั่งสมาธิ ทั้งสองคุยกันถูกคอ ไม่นานก็เริ่มส่งกระแสจิตถึงกัน วันหนึ่งคุณภรรยายอกว่าฝันถึงแม่ชี เธอชวนผมขับรถไปวัด พอถึงวัดแม่ชีก็บอกว่าพึ่งส่งกระแสจิตไปหามาเร็วจริงนะ แม่ชีมีธุระอะไร เออแม่ชีอยากให้โยมทั้งสองช่วยสร้างกุฏหลังเล็กๆ ให้แม่ชีอยู่สักหลังได้ใหม?  ได้ซิค่ะแม่ชี ในไม่ช้ากุฏก็เสร็จ  บางครั้งบางคราวกระผมก็ได้ถามแม่ชีว่า นั่งไปแล้วเมื่อไรปัญญาจะเกิด เธอก็บอกว่าต้องใจเย็นๆ ทำไปเรื่่อยๆ เดี๋ยวปัญญาก็มาเอง(ก็เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะได้เจอท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านผู้อ่านก้ออ่านต่อไปนะครับ รับรองว่าเข้มข้น)

จากนั้นไม่นานนัก หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็มาหาผมที่บ้าน ท่านถามว่าโยมยังฝึกนั่งสมาธิอยู่ต่อไปอีกหรือเปล่า?  ยังนั่งสมาธิอยู่ครับหลวงพ่อ โยมต้องมีความอดทนอย่างแม่ชีซิ เธอนั่งสำเร็จไปถึงขั้นไหน ต่อขั้นไหนแล้ว หลวงพ่อพูดมาแล้วตอนนั้นผมก็ลืมไปแล้ว  วันนี้หลวงพ่อมาเยี่ยมก็เพราะหลวงพ่อเห็นเราทั้งสองเป็นคนดี (ผมแอบดีใจ ใจพองโต เพราะหลวงพ่อท่านชม) หลวงพ่อพูดต่อไปอีกว่า วันนี้หลวงพ่อจะให้โยมเป็นประธานทอดผ้าป่า ผมรีบตอบท่านทันทีว่า หลวงพ่อครับ อย่าให้ผมเป็นประธานเลย เพราะผมไม่ค่อยรู้จักใครเลย หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะโยม หลวงพ่อต้องการแต่ชื่อคุณทั้งสองเท่านั้น เรื่องอื่นทางวัดจักการให้เสร็จ เราทั้งสองก็ต้องทำตามที่ท่านขอ และการทอดผ้าป่าเพื่อฉลองโบสถ์กับมีการบวชนาค27นาคด้วย  พอวันงานมาถึง การฉลองโบสถ์ยังไม่มีเพราะยังสร้างไม่เสร็จ มีแต่ให้นาคที่จะบวชมาโกนหัวนุ่งขาว กระผมก็ได้เข้าร่วมในฐานะที่เป็นประธาน ก่อนพิธีฉลองนาคจะจบก็เกือบค่ำ หลวงพ่อเดินมาหาผมแล้วท่าพูดว่า โยมรู้หรือเปล่าว่า วันนี้มีนาคมาเพื่อจะบวชแค่ 26นาคเท่านั้น เรายังขาดอยู่อีกหนึ่งนาค หลวงพ่อคิดว่าโยมเหมะสมที่สุด อย่าเลยครับหลวงพ่อ อย่าให้ผมบวชเลย ผมท่องบทขานนาคก็ไม่เป็น คงไม่สมควรเป็นแน่ ท่านบอกว่าไม่เป็นไร หลวงพ่อพูดกับพระอุปัชฌาไว้แล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องท่องไม่ได้ เพราะหลวงพ่อต้องการเลขมงคลคือ 3 X 9 = 27 บวชทีละ 3 เก้าครั้ง เลข 9 คือเลขมงคลของหลวงพ่อ จำใจต้องบวช รุ่งขึ้นโกนหัวแล้วบวชเลย นั่งอยู่ในโบถส์เกือบ 7 ชั่วโมงกว่าจะมีการบวชเสร็จ พอถึงรอบสุดท้ายคือรอบที่เก้า 2 นาคกล่าวคำขานได้ ส่วนผมอะไรก็ไม่รุ้สักอย่าง แถมโดนดุออกมาดังๆ ด้วยว่า คนนี้ท่องขานนาคไม่ได้เลย (อายนะครับ ก็แค่เพียงก้มหน้า) พิธีบวชก็จบ เป็นพระแล้ว

คืนนี้ผมนอนใต้ถุนโบถส์ใหม่ นอนร่วมกับพระใหม่ อายุประมาณ 20 ปีกว่าๆ อีกหลายองค์ ส่วนผมอายุ65ปี วันรุ่งขึ้น เห็นหลวงพ่อแค่ตอนฉันข้าวเช้า นึกว่าหลวงพ่อจะส่งพระพี่เลี้ยงมาช่วยแนะนำให้รู้ว่าการเป็นพระต้องทำอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครให้คำแนะนำ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น อ่านบทสวดภาษาบาลีก็ไม่ออก เวลาพระท่านสวด การสวดก็ไม่เรียงหน้า อยู่ไปวันๆ สามวันผ่านไป พระใหม่ขึ้นไปอยู่บนตัวอาคาร ยกเว้นผมไม่มีห้อง ตกลงใจนอนใต้ถุนโบถส์องค์เดียว ดีเหมือนกันเงียบดี จะได้ฝึกอ่านบทสวดมนต์ซึ่งเป็นภาษาบาลี อยู่ได้สามคืน ก็มีพระท่านธุดงค์ มาพักค้างที่ใต้ถุนโบถส์

ท่านคุยว่าท่านนั่งสมาธิได้ครั้งละหลายๆ ชั่วโมง นอกจากนี้ท่านได้ไปเทียวยมโลกมาแล้ว (เวลาพระพูดก็ต้องเชื่อ ขาดการพิจรณา) นอกจากนี้ท่านยังพูดว่า ที่ยมโลกมีจีวรแขวนไว้มากมายสำหรับพระที่ไม่รักษาวินัย ท่านคงหมายถึงพระที่บวชใหม่ (คิดเอง) ได้คุยกับท่านอยู่สามวัน จนคุ้นเคยกัน วันที่สามท่านบอกว่าจะไปหาวัดที่สงบเงียบอยู่ในช่วงที่จะเข้าพรรษา ถ้ากระผมลาสิกขาแล้ว ไปเยี่ยมท่านได้ แต่ก่อนท่านจากไป ท่านนำพระเครื่องมาให้ดูประมาณครึ่งย่าม  ท่านถามผมว่ารู้จักพระเครื่องเหล่านี้ใหม? ผมก็ตอบท่านว่าไม่รู้เลยครับ ท่านก็ปิดถุงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเกี่ยวกับพระเครื่อง ก่อนท่านจะจากไปท่านพูดว่า แต่ละองค์มีราคามาก เมื่อลาสิกขาจากการบวชแล้ว ก็รู้ว่าไม่ได้เล่าเรียนและศึกษาอะไร? ได้แต่สิ่งที่ไม่น่าปราถนาติดตัวมา เช่น ว่าทางวัดมิได้มีการอบรมพระใหม่เลย นอกจากทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สอนเดินสมาธินิดหน่อย 20 นาที เป็นการเดินตามท่านเจ้าอาวาส องค์ไหนใคร่เดิน เดิน ส่วนการสอนให้รู้จักการสวดมนต์ให้ถูกต้อง(ไม่มี)  ตู้พระไตรปิฏกบนห้องสวดมนต์ก็ไม่มี (มิใช่ผมคิดจะอ่านหรอก แต่นิสัยส่วนตัว คิดว่าทุกวัดควรมีหนังสือพระไตรปิฏก คิดถูกหรือผิดไม่ว่ากันนะครับ) ชั้นล่างเป็นศาลานั่งฉันข้าว สำหรับพระ  หลวงพ่อมีทีวีเครืองหนึ่ง ใครสนใจใคร่ดูก็ดูได้ จะดูรายการอะไรก็ได้ ข้างๆ มีหนังสือธัมมะมากมายที่คนนำมาบริจาค อยู่ในตู้หนังสืออย่างไร้ระเบียบ แถมเต็มไปด้วยขี้ฝุ่น(อกุศลจิตเกิดอีกแล้ว คราวนี้รู้ตัวโจรที่แอบเข้ามา ทำให้ต้องเขียนออกไป)  

เมื่อลาสิกขาบทได้สองเดือน ก็ไปเยี่ยมพระธุดงค์องค์นั้น ที่วัดซึ่งไม่ไกลจากบ้านนัก  ไปพบพระธุดงค์ที่เคยคุยกันที่นั่น  และได้พบท่านเจ้าอาวาสที่นั่นด้วย ความที่สนใจธัมมะ ก็เลยถามท่านเจ้าอาวาสว่า ที่นี่มีสอนธัมมะไหม? ท่านเจ้าอาวาสตอบว่าไม่มีหรอก แต่ถ้าโยมสนใจก็ลองเอาแผ่น CD ของอาจารย์สุจินต์ไปฟังดูซิ ได้ครับหลวงพ่อ ฟังไปได้สองอาทิตย์ อาจารย์พูดถึงเจตสิก เจตสิกคืออะไร เพราะตอนนั้นมีแต่แผ่น CD ของท่านอาจารย์สุจินต์เท่านั้น เป็นแผ่นที่ท่าน Copy มา ไม่มีชื่อและเบอร์โทรของมูลนิธิ ก็กลับไปหาหลวงพ่อที่วัดอีก วัดนี้กระผมก็ได้พบความจริงของพระที่ท่านเคยธุดงค์ ท่านชอบสะสมพระเครื่อง และแลกเปลี่ยนพระเครื่อง (ซื้อขาย) มีคนมาดูพระเครื่องที่นี่อยู่เรื่อยๆ ตอนนี้พระธุดงค์รูปนั้น สิ้นชีวิตไปแล้ว  ท่านตายด้วยโรคมะเล็งในปอด ท่านดูดบุหรี่วันละหลายซอง อาจจะเห็นจีวรของท่านไปตากอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ได้ (ความคิดนี้มาจากการสนทนากับท่าน เมื่อตอนเจอท่านเป็นครั้งแรก) เจตสิก ท่านก็ตอบได้ว่ามี 52 ดวง แต่รายละเอียดท่านไม่ค่อยจำ เพราะย้ายมาอยู่ที่วัดนี้ รับสัญญานวิทยุใดๆ ได้ยาก เพราะวัดอยู่บนเขา ซึ่งห่างจากตัวเมือง

แต่ความพยายามตามหาท่านอาจารย์ สุจินต์ บรหารวนเขตต์ ก็เป็นผล ผมเริ่มไปที่ร้านหนังสือขายธัมมะ ที่หน้าวัดบวรฯ บางลำภู เขามีหนังสือ พื้นฐานอภิธรรมที่นี่ แถมมีแผ่น CD เสียงบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ไว้จำหน่ายด้วย (พุดแล้วยังขนลุกอยู่เลย เพียงได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ดีใจ ยังไม่เห็นตัวท่านเลย แต่พอได้ฟังเสียงธัมมะที่ท่านนำมาแสดง ความคิดว่า เคยฟังพระธรรมเช่นนี้มาในอดีต ถ้าไม่เคยฟังมาในอดีตจากที่ไหน จะตามหาพระธรรมคำสั่งสอนเช่นท่านอาจารย์สุจินต์สอนในปัจจุบันได้อย่างไร?)  ที่อเมริกาก็ไม่มี แผ่น CD ของท่านอาจาย์ก็ไม่เคยมีใครส่งไปให้  จากนั้นไม่นานก็ได้ไปกราบท่านอาจารย์ สุจินต์ ครั้งแรกที่สวนผึ้ง (ไม่เชื่อว่า เขียนมาถึงตอนได้กราบท่านอาจารย์ น้ำตาก็ไหลออกมาเรื่อยๆ )   อาจเป็นการแสวงหาผู้ให้การศึกษาที่ไม่เหมือนใครก็ได้  จากนั้นกระผมก็ติดตามฟังท่านอาจารย์สุจินต์มาโดยตลอด  ไปฟังธรรมที่มูลนิธิไม่นานนัก ได้เรียนทั้งพระวินัยด้วย วันหนึ่งกระผมก็มีความละอายใจที่ได้บวช โดยกล่าวคำขานนาคไม่ได้เลยสักคำ ผมก็ตัดสินใจไปเยี่ยมพระอุปัชฌาที่บวชผม ผมไปขอร้องท่านช่วยพิจารณา หรือมีการอบรมผู้ที่จะมาบวช ให้มีการเข้าใจเรื่องของการบวชมากขึ้น

ผมทำตามหน้าที่ของชาวพุทธเท่านั้น เพราะการบวชเกิดขึ้นกับผม (ตอนที่ขอร้องพระอุปัชฌา เป็นเรื่องของความถูกต้อง และหวังดีต่อศาสนา เพราะการอยู่ในสังคม ยังมีการเห็นการได้ยิน การคิดนึก อะไรถูกก็ต้องทำ) ส่วนความเป็นจริงทั้งหมดที่กล่าวมา เหตุการณ์ก็จบไปแล้ว ดับไปแล้ว นี่คือความจริง ถามว่ายังจำอยู่ไหม? จำอยู่ แต่ก็รู้ว่าเรื่องที่คิดที่จำก็หมดไปแล้ว ไม่มีความติดข้องกับพระรูปใด  เป็นอกุศลวิบากของผมเองที่ได้เจอพระสงฆ์เหล่านั้น แต่มาคิดให้ดี เพราะผมมีความเชื่ออยู่เสมอว่า การนั่งสมาธิมิได้ทำให้เกิดปัญญา  ปัญญาต้องมาจากการฟัง และการศึกษา จึงทำให้ผมได้เจอท่านอาจารย์สุจินต์ เพราะผมชอบถามพระอยู่บ่อยๆ ว่า ท่านสอนธัมมะ ด้วยหรือเปล่า?

ขอนอบน้อมต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น  

และขอกราบแทบเท้าบูชาท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างสูง

ขออนุโมทนาครับ

ปริญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
Parinya
วันที่ 3 ธ.ค. 2557

direct understanding of whatever appears while I used to do the other way, i.e practice first and hope understanding to come later. What I’ve followed is not Buddha’s teaching but someone else’s. 

ขออนุโมทนา กับคุณ Nguyen Thanh Tam 

ตอนนี้เขียนให้คนไทยอ่านก่อน  ไปเวียตนามแล้ว จะไป สนทนาด้วย ตามความสามารถในการพูด ขอขอบคุณคุณแดง ที่กรุณาแปลออกมาเป็นภาษาไทย การศึกษาพระธรรม ต้องมีพื้นฐานของความจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ในขณะนี้ ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ยังไม่ต้องไปปฏิบัติ   ซึ่งสหายชาวเวียตนามก็เริ่มมีความเข้าใจถูกในขณะนี้ และ การไปปฏิบัติที่ได้ทำมาแล้ว  ไม่ใช่การสอนของพระอรหัต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ขออนุโมทนาด้วยครับ

ปริญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
kullawat
วันที่ 3 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
wirat.k
วันที่ 4 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
kanchana.c
วันที่ 5 ธ.ค. 2557

จากสหายธรรมเวียดนามท่านหนึ่ง ที่ไม่บอกชื่อค่ะ

4 months ago, I attended Vesākha and that was the first time I know Theravada Buddhism. Like most of people, I started with practicing mediation and got some results; but after that, there was a period when I got stuck and I know that another thing must be developed along with practicing, it’s theory or pariyatti. Then I started reading books that I think will help me at that time and the more I read, the more stuck I got, I got confusing with the meditation techniques (I also read some topics and discussions of Facebook page: Dhamma Got Talent – a page that was created by Viet Nam Dhamma Home – and I found that they are beyond my understanding at that time).

Fortunately, I met some monks and get valuable advices and got through that situation and I was fine until next affair.

About a month ago, I joined a room on paltalk that was hosted by Viet Nam Dhamma home, Tam (chị Tâm) asked me about what reality is happening, I said that “I’m hearing your voice and looking at the laptop screen now” (although at that time I can say that “I’m hearing the sound and seeing the colors” but the Sila came up and I thought I just told what I really experience at that time); after few discussions, Tam asked me again and I still had the same answer. Tam encouraged me by saying that do not worry and the conditions are not enough for me to understand now. Then she sent me a link to the Vietnamese-translated book “Survey of paramattha dhammas” for reference (I really appreciate that moment, that encouragement helps me a lot until now) I read that book (to rupa chapter only) and found many terms, I also read some topics on facebook about what Achaan said about reality, the self and when I look back to what I was doing at that time, the biggest questions like “who is mediating? Is that someone trying to get rid of the self?” I tried to answer those questions by logically understanding and when I reached to the top, there is still “me”, “self”.

When I came to the Dhamma Discussion and listening to Achaan’s talk lively, the questions that I read from the book still came up, I sat there and trying to answer each time Achaan ask and kept trying to answer, to understand when I got back home after the Dhamma Talk. Then it came to the third day, when Achaan, like many times before, asked again about the reality; I understood what Achaan meant and from that moment, every second of the Dhamma Talk is like stressing more and more about that. I applied what I understand into the realities in the past and happening at that moment and I found that, yes, like Achaan keep teaching, develop right understanding about the reality that is happening – is practicing, is Paṭipatti. That night when I came back home from the Dhamma Discussion, I was lighted up, when I rode the scooter, there is no “I” riding the scooter but there were just the vibrations, hardness, softness, hot, cold …

So now, when Dhamma Discussion in Sai Gon is over, I read again the Sutta and the understand of it is developing more and more, especially when really experience the reality that is happening now. I found that I understand more about the meditation techniques that I did, I read and yes, there is no “me” is meditating (that we named it in conventional world), just developing the right understanding about the realities.

I would like to express my huge thankfulness to Achaan Sujin, the patience and compassion, of keep asking and making conditions to develop the right understanding, helps me (and other people) a lot.

เมื่อ 4 เดือนก่อน (ปี 2013) ผมได้ร่วมงานวิสาขบูชาและเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักพุทธเถรวาท เหมือนคนอื่นจำนวนมากที่เริ่มต้นปฏิบัติสมาธิและได้ผลบางอย่าง แต่หลังจากนั้นก็ติดขัดและผมรู้ว่า ต้องมีอย่างอื่นที่เจริญขึ้นพร้อมกับการปฏิบัติ นั่นคือทฤษฎีหรือปริยัติ ผมจึงเริ่มต้นอ่านหนังสือที่คิดว่าจะช่วยให้เข้าใจขึ้นได้ แต่ยิ่งอ่านมากขึ้น ก็ยิ่งติดขัดมากขึ้น ผมสับสนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ (ผมยังอ่านและสนทนาในเฟซบุคเกี่ยวกับ Dhamma Got Talent ซึ่งจัดทำโดย Viet Nam Dhamma Home และผมพบว่า เกินความเข้าใจของผมในขณะนั้น) 

โชคดีที่ผมพบพระภิกษุบางรูปที่ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ ทำให้ผมผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นไปได้ ผมสบายใจขึ้นจนกระทั่งเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่ง

เมื่อเดือนก่อน ผมร่วมสนทนาธรรมกับเพื่อนสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม คุณ Tam Bach ถามผมว่า สภาพธรรมะใดกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ผมตอบว่า “ผมกำลังได้ยินเสียงของคุณ และกำลังมองจอคอมพิวเตอร์ขณะนี้” (แม้ว่าผมสามารถพูดว่า “ผมกำลังได้ยินเสียง และกำลังเห็นสี” ได้ก็ตาม แต่ขณะนั้นผมเกิดวิรัติขึ้นได้ว่า ผมควรพูดสิ่งที่คิดว่า กำลังปรากฏจริงๆ ) หลังจากสนทนาธรรมร่วมกันหลายครั้ง Tam Bach ถามผมอีก และผมก็ยังคงตอบอย่างเดิม Tam พยายามให้กำลังใจผมว่า ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะยังไม่มีปัจจัยพอที่จะทำให้ผมเข้าใจได้ในตอนนี้ แล้วเธอก็ให้ผมอ่านหนังสือ “ปรมัตถธรรมสังเขป” ที่แปลเป็นภาษาเวียดนาม (ผมขอบคุณและอนุโมทนาขณะนั้น และช่วยผมได้มากจนถึงเดี๋ยวนี้)

ผมได้อ่านหนังสือแล้ว ตอนนี้ถึงเรื่องรูป และพบคำศัพท์มากมาย และผมยังได้อ่านหัวข้อในเฟซบุ๊คที่ ท่านอาจารย์สนทนาเรื่องสภาพธรรมะ ,ตัวตน และเมื่อมองกลับไปว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ ปัญหาใหญ่ที่สุด คือ “ใครทำสมาธิ? เป็นคนที่กำลังพยายามกำจัดตัวตนอยู่หรือ?” ผมพยายามตอบคำถามเหล่านี้โดยความเข้าใจขั้นตรรกะ และเมื่อผมโยงไปถึงจุดเริ่มต้น ผมก็พบว่า ยังคงมี “ผม” และ “ตัวตน” อยู่

เมื่อผมมีโอกาสร่วมการสนทนาธรรมและได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พูดสดๆ  ปัญหาที่ผมอ่านจากหนังสือเหล่านี้ยังคงมีอยู่ ผมนั่งอยู่ที่นั่น และพยายามตอบทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ถาม และพยายามตอบต่อไป เพื่อเข้าใจเมื่อกลับบ้านหลังจากการสนทนาธรรม แล้วผมก็มาสนทนาธรรมเป็นวันที่ 3 เมื่ออาจารย์ถามถึงสภาพธรรมะเหมือนครั้งก่อนๆ ผมได้เข้าใจแล้วว่า ท่านอาจารย์หมายความถึงอะไร และจากขณะนั้น ทุกๆ วินาทีของการสนทนาธรรม เหมือนเน้นให้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ผมนำสิ่งที่เข้าใจนี้ไปเปรียบเทียบกับสภาพธรรมะในอดีตและกำลังปรากฏในขณะนั้น และผมพบว่า ใช่แล้ว เหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ว่า เจริญความเข้าใจถูกในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ คือ การปฏิบัติ ปฏิปัตติ คืนนั้นเมื่อผมกลับบ้านหลังการสนทนาธรรม ผมรู้สึกเบาด้วยความเข้าใจในธรรม เมื่อขับมอเตอร์ไซค์ ไม่มี “ผม” กำลังขับมอเตอร์ไซค์ มีแต่ตึง ไหว แข็ง อ่อน ร้อน เย็น ....

บัดนี้เมื่อการสนทนาธรรมที่ไซ่ง่อนจบลง ผมได้อ่านพระสูตรและเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ระลึกรู้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ผมพบว่า ผมเข้าใจวิธีการทำสมาธิมากขึ้นและใช่แล้ว ไม่มี “ผม” ที่กำลังทำสมาธิ (แต่เราใช้ชื่อในโลกของสมมติบัญญัติ) เพียงแต่เจริญ ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ

ผมขอแสดงความขอบพระคุณอย่างยิ่งแก่ท่านอาจารย์สุจินต์ ในความอดทนและกรุณาที่พร่ำสอนด้วยคำถาม และสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผม (และคนอื่นๆ ด้วย) อย่างมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
kanchana.c
วันที่ 5 ธ.ค. 2557

Name: Bui Thi Van

Age: 22

The 1st time I came to know Buddhism was in 2011 when I occasionally met a Theravada monk at a Buddhism ceremony. At that time, I had no idea of what Buddhism was, or had any knowledge about meditation or right understanding. I raised many questions to the monk and his answers made me interested in Buddhism because of its logic and practicality. After that, I met a group of dhamma friends in Hanoi who were also in search of the true meaning of Buddhism. Gradually, we became a small group with many different activities: dhamma discussion, sitting meditation, doing good deeds,.. I have been with this group for nearly 2 years and during this time, my understanding has been developed little by little, too.

In 2012, I started to study Achaan’s teachings introduced by sister Tam Bach, whose gentle manner really impressed me. I was specially attracted to the series of Letters to Dhamma friends from Nina  found on thienvacuocsong.info.

These words were, for me, a fresh new understanding which I had never experience before because Achaan’s teachings went into meticulous details about dhamma – realities which was totally different from what I had been taught before. 

However, I have been practicing Vipassana meditation in traditional Burmese way for nearly 2 years (not so regularly) and has collected some benefits from it. Then sometimes it makes me confused when I study Achaan’s teachings and practice meditation at the same time. But sometimes I feel I can combine them quite smoothly when Achaan’s teaching become a really really direct reminder about realities which are arising here and now. By this way, I can benefit from Achaan’s words.

I want to show my respect to Achaan and her restlessly effort in sharing dhamma, sharing right understanding to everyone despite of many questions and difficulties arising from her new way of approaching dhamma.

With metta,

ชื่อ Bui Thi Van อายุ 22

ดิฉันได้รู้จักศาสนาพุทธครั้งแรกในปี คศ. 2011 เมื่อได้พบพระภิกษุเถรวาทในพิธีทางศาสนาขณะนั้นดิฉันยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธ การนั่งสมาธิหรือความเห็นถูกใดๆ เลย ดิฉันได้ถามพระภิกษุหลายคำถามและคำตอบของท่านทำให้ดิฉันเกิดความสนใจในความเป็นตรรกะ และขึ้นอยู่กับความเป็นจริงของพระพุทธศาสนา  หลังจากนั้นก็ได้พบกลุ่มสหายธรรมที่กำลังศึกษาความจริงของศาสนาพุทธที่กรุงฮานอย  พวกเราค่อยๆ รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีกิจกรรมหลายอย่างเช่น สนทนาธรรม นั่งสมาธิ ทำความดี ดิฉันอยู่ในกลุ่มนี้ได้เกือบสองปีแล้วและความเข้าใจธรรมะก็เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยด้วย

ในปี คศ .2012 ดิฉันก็ได้เริ่มศึกษาธรรมะกับท่านอาจารย์โดยคำแนะนำของคุณ Tam Bach ผู้ซึ่งดิฉันประทับใจในมารยาทที่อ่อนโยนของเธอ ดิฉันสนใจและติดใจหนังสือ "จดหมายจากนีน่า" ซึ่งอ่านพบใน thienvacuocsong.info คำต่างๆ ที่ดิฉันอ่านพบนั้นใหม่มาก  ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะท่านอาจารย์สอนได้อย่างละเอียดเกี่ยวกับสภาพธรรมะซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ดิฉันเคยเรียนมาก่อนอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตามดิฉันได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานแบบดั้งเดิมของพม่าเป็นเวลาเกือบสองปี (แต่ไม่สม่ำเสมอ) และได้ประโยชน์บ้าง แต่บางครั้งทำให้สับสนเมื่อศึกษาธรรมะกับท่านอาจารย์และนั่งสมาธิด้วย และบางทีก็สามารถผสมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันอย่างดีเมื่อเตือนให้ระลึกถึงคำสอนให้เห็นสิ่งที่ปรากฏที่นี่ เดี๋ยวนี้ ด้วยวิธีนี้ทำให้ดิฉันได้ประโยชน์จากคำสอนของท่านอาจารย์

ดิฉันต้องการแสดงความเคารพและสำนึกในความพยายามอย่างไม่ท้อถอยที่จะแบ่งปันความรู้ธรรมะ  และความเข้าใจที่ถูกต้องของท่านอาจารย์ ถึงแม้จะมีคำถามมากมายและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการสอนวิธีใหม่ของท่าน

ด้วยเมตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 34  
 
kanchana.c
วันที่ 6 ธ.ค. 2557

คุณ Tam Bach สุภาพสตรีเวียดนาม สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข 982 เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างดียิ่ง จนเป็นผู้นำกลุ่มสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เวียดนาม และได้รับการขนานนามจากกลุ่มของเธอว่า “อาจารย์สุจินต์เวียดนาม” ดิฉัน (พล.อ.ต.หญิง กาญจนา เชื้อทอง) ได้สอบถามจากเพื่อนฝูงของเธอ ทราบว่าเธอมีอาชีพเป็นนักแปลและไกด์อิสระ สามารถพูดได้หลายภาษา คือ อังกฤษและฝรั่งเศส เธอจบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อคุณพ่อเสียชีวิตได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ที่เวียดนาม เดิมเธออยู่ที่ฮานอย แต่ตอนหลังคุณแม่สุขภาพไม่ค่อยดี จึงย้ายมาอยู่ที่หวฺงเต่าที่อากาศดีต่อสุขภาพของคุณแม่ หวฺงเต่าเคยเป็นสถานที่จัดสนทนาธรรมครั้งที่ 2 ดิฉันได้เคยสัมภาษณ์เธอว่า มาศึกษาธรรมะกับท่านอาจารย์สุจินต์ได้อย่างไร เธอเล่าให้ฟังเมื่อไปเวียดนามครั้งแรกในปี 2012 ขณะอยู่บนเรือนำเที่ยวอ่าวฮาลอง ฮานอย และคิดว่าจะลงเรื่องของเธอในกระดานสนทนา แต่เวลาก็ผ่านไปได้ 2 ปี จึงได้มีโอกาสนำมาเล่าอีกครั้ง หลังจากเล่าด้วยปากมาหลายรอบ ข้อความอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้างตามกาลเวลา

คุณ Tam Bach สนใจธรรมะ เธอนั่งสมาธิตามแบบพุทธศาสนามหายานมาก่อน และสนใจศึกษาคำสอนของพุทธศาสนาทางเว็บไซต์ เมื่ออ่านเว็บไซต์ Dhammawheel.com พบข้อความที่คุณ Robert Epstein ชาวนิวซีแลนด์ ที่อยู่ในกลุ่ม Dhamma Study Group (กลุ่มชาวต่างชาติที่ศึกษาธรรมะกับท่านอาจารย์) เขียนกระทู้ว่า การนั่งสมาธิไม่ทำให้เข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเธอเห็นด้วยอย่างมาก จึงติดต่อกับคุณ Robert และ ทราบที่อยู่ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงเดินทางมาเมืองไทยเพื่อขอพบท่านอาจารย์ เธอมาครั้งแรกในวันเสาร์ วันนั้นท่านอาจารย์งดการสนทนาภาษาอังกฤษ จึงยังไม่ได้พบกัน แต่ก็ได้หนังสือภาษาอังกฤษของมูลนิธิไปหลายเล่ม รวมทั้งหนังสือเรื่อง “จดหมายจากนีน่า” ด้วย และเมื่อกลับไปเวียดนามก็ได้นำหนังสือไปเผยแพร่กับกลุ่มนั่งสมาธิของเธอ ซึ่งทุกคนสนใจและต้องการเข้าใจมากขึ้น จึงเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมที่เวียดนามเป็นครั้งแรกที่ ฮานอย ในปี 2555 (สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ “สวัสดีฮานอย” ใน E – book – เส้นทางสายธรรม) และหลังจากนั้นก็ได้ทำเว็บไซด์ www.dhammahome.com ภาษาเวียดนาม แปลหนังสือของมูลนิธิที่เขียนโดย ท่านอาจารย์ และคุณนีน่า วัน กอร์คอมเป็นภาษาเวียดนาม รวมทั้งพิมพ์หนังสือ “ปรมัตถธรรมสังเขป” และหนังสือของคุณนีน่าบางเล่มที่แปลเป็นภาษาเวียดนามด้วย

กลุ่มศึกษาธรรมะชาวเวียดนามมีจำนวนเพิ่มขึ้นๆ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของกลุ่ม โดยการนำของคุณ Tam Bach และได้เรียนเชิญท่านอาจารย์ คุณโจนาธานและคุณซ่าร่าห์ไปสนทนาธรรมภาคภาษาอังกฤษ และคุณ Tam Bach แปลเป็นภาษาเวียดนามรวม 3 ครั้ง และกลุ่มเวียดนามก็มาสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ที่เมืองไทยหลายครั้ง และกำลังจะเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปอีกเป็นครั้งที่ 4 ในวันที่ 29 ธ.ค. 57 – 8 ม.ค. 58 ที่โฮจิมินห์ซิตี และจะตามมาสนทนาธรรมที่เมืองไทยในเดือนมกราคม 2558 อีกเช่นเคยต่อไปเป็น e mail จากคุณ Tam Bach ส่งมาขอบคุณหลังการสนทนาธรรมที่ไซ่ง่อน

Dear Sarah, (and Jagkrit, mamma Dang and all)

S: In Saigon (HCM City), we had a few hours between flights so went into town for lunch and a day-room had been made available for A.Sujin to have a rest. She and her sister had just gone up to their room for the rest when some of our Vietnamese friends turned up unexpectedly - Hang, Huen (sp?), Ganga (a little later) and a new friend, Trang.

We took them up to Ajahn's room and several of us sat around on the beds introducing Trang to "Abhidhamma" at the present moment.

Tam B: Very undisciplined visitors :-), but how kind and patient Ajahn and all of you are!

It is a blessing that Ajahn was in such a good shape. We were deeply moved to see how generous, patient and enthusiastic she was in sharing the Dhamma with all others, despite her age. Sometime, when reading comments of some of the members here, I just wish if they could meet Ajahn and have discussions with her in person...

Anyway, for me personally, the discussions were amazing...and I realized how little we understand each word of the Enlightened One, and it is a blessing to have such a wise friend in the Dhamma who points it out, skillfully and tirelessly. We all like to collect words and use them eloquently, but what do they mean? Do we really know? Almost nothing...

It was so great to have you (Sarah) and Jon to help Ajahn to explain details of dhammas to us. You both did so with such clarity, friendliness and willingness to help. Wonderful!

The gift of understanding is the best gift of all!

As usual, our Thai friends are true examples of friendliness and generosity. Because of organization work, we didn't have time to talk much with each others, but their wholesomeness inspired us all. So thank you again!

We now already look forward to Jan....and happy to know Nina will be there too.

Metta,
Tam B

นี่เป็น e mail ที่คุณ Tam Bach ส่งมาถึงคุณ Sarah จักรกฤษณ์ แม่แดง (ดิฉันเอง ที่ลูกสาวเวียดนามเรียก) และทุกคน หลังจากการเดินทางไปเวียดนามครั้งที่ 3 ที่พวกเราไปพักผ่อนต่อที่ดาลัด 3 วัน เธอเริ่มต้นด้วย e mail ที่คุณซาราห์ส่งมาให้ และดิฉันขอเล่าเพิ่มเติมด้วยว่าจากดาลัดมาลงที่ไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ซิตี HCM City) เราต้องรอต่อเครื่องบินไปกรุงเทพหลายชั่วโมง คุณ Thai จึงจัดให้เรารับประทานอาหารกลางวันในเมือง และจองห้องในโรงแรมให้ท่านอาจารย์และพี่จี๊ดพักในตอนกลางวัน เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท่านทั้งสองก็เข้าห้องพักผ่อนทันที ท่านคงเหนื่อยล้ามาก แม้แต่พวกเราก็เหนื่อยอ่อนสำหรับการเดินทาง 14 วัน คุณ Thai จองอีกห้องให้พวกเราพักด้วย

สหายธรรมเวียดนามที่ได้ร่วมสนทนาธรรมด้วยกัน คือ คุณ Hang, Huen และ Ganga (มาทีหลัง) และเพื่อนใหม่ คุณ Trang มาขอสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ คุณซาราห์ก็พาไปพบท่านอาจารย์ทันที แล้วทั้งหมดก็นั่งรอบเตียงท่านอาจารย์ (ท่านอาจารย์และพี่จี๊ดเลยไม่ได้พักผ่อน) ให้ท่านอธิบายอภิธรรมในขณะเดี๋ยวนี้ให้คุณ Trang ฟัง คุณ Tam ตอบคุณซาราห์มาว่า เพื่อนๆ ของเธอเป็นแขกที่ไม่มีมรรยาทมาก แต่ก็ทำให้เห็นความเมตตาและอดทนของท่านอาจารย์และทุกๆ คน

คุณ Tam เขียนต่อว่า โชคดีของพวกเราที่ท่านอาจารย์ยังมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าจะอายุมาก ทำให้ได้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อ อดทนและกระตือรือร้นที่จะอธิบายธรรมะให้ทุกคนได้เข้าใจ บางครั้งที่ได้อ่านความเห็นของสมาชิกเวียดนามเกี่ยวกับการสนทนาธรรม ก็อยากให้เขาเหล่านั้นได้พบท่านอาจารย์และพูดคุยซักถามเป็นการส่วนตัว

แต่อย่างไรก็ตาม การสนทนาธรรมนี้น่าอัศจรรย์จริงๆ ... และรู้ได้เลยว่า เราเข้าใจแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสน้อยแคไหน และโชคดีที่มีกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา ที่อธิบายธรรมะอย่างชำนาญและไม่เบื่อหน่าย เราอยากจะรวบรวมข้อความธรรมะสวยๆ เหล่านั้น แต่คำเหล่านั้นหมายความถึงอะไร เรารู้จริงๆ หรือเปล่า? เกือบจะไม่รู้อะไรเลย

ขอบคุณ ซาราห์และจอนที่ช่วยท่านอาจารย์อธิบายรายละเอียดของธรรมะให้พวกเรา คุณทั้งสองทำให้กระจ่างขึ้นด้วยความเป็นมิตรและตั้งใจช่วย น่าอัศจรรย์จริงๆ ความเข้าใจธรรมะเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในบรรดาของขวัญทั้งหมดและสำหรับสหายธรรมชาวไทย พวกคุณเป็นตัวอย่างที่แท้จริงของความเป็นมิตรและโอบอ้อมอารี เพราะการเป็นผู้จัดจึงไม่มีเวลาได้พูดคุยกันมากนัก แต่กุศลกรรมของทุกท่านเป็นแรงบันดาลใจแก่พวกเราทุกคนในการทำดีและศึกษาพระธรรม (สหายธรรมชาวไทยจากกรุงเทพฯ คือ คุณทวีชัย อยู่มั่นธรรมา มอบเสื้อยืด กระเป๋าตรามูลนิธิ ฯลฯ  เป็นของฝาก และสหายธรรมที่ร่วมคณะไปกับท่านอาจารย์ ช่วยกันดูแลท่านอาจารย์ และหลายท่านร่วมบริจาคค่าห้องประชุม ค่าพิมพ์หนังสือ “ปรมัตถธรรมสังเขป” ที่แปลเป็นภาษาเวียดนาม และอีกหลายอย่างที่เห็นสมควร (รายละเอียดเล่าไว้ใน E book - เส้นทางสายธรรม - "แสงธรรมสาดส่องที่เวียดนามกลาง") ขอขอบคุณอีกครั้ง

ตอนนี้เราตั้งตารอเดือน มค. (สนทนาธรรมที่ไซ่ง่อนอีกครั้ง) และดีใจมากที่รู้ว่า คุณ Nina ก็มา

ร่วมสนทนาด้วย

ด้วยเมตตา
Tam Bach

 
  ความคิดเห็นที่ 35  
 
j.jim
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 36  
 
papon
วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาในกุศลวิบากของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 37  
 
peem
วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 38  
 
wirat.k
วันที่ 12 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 39  
 
pulit
วันที่ 15 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของกัลยาณมิตรทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 40  
 
manopsi
วันที่ 16 ธ.ค. 2557

ได้ฟังจากรายการวิทยุตอนเช้ามืดประมาณหนึ่งปีก่อน ระหว่างขับรถแล้วฟัง สวพ 91 เพื่อฟังรายงานจราจรครับ หลังจากนั้นก็ตามฟังประจำทั้งทางวิทยุ เวบไซท์ youtube และ mp3

 
  ความคิดเห็นที่ 41  
 
khampan.a
วันที่ 16 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 42  
 
nopwong
วันที่ 17 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 43  
 
tueanjaiin
วันที่ 17 ธ.ค. 2557

ได้รับการแนะนำจากพี่ที่ทำงานค่ะ  ทำให้ได้รับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอีกมิติ หลับไปกับเสียงบรรยายของท่านอาจารย์ตลอดคืนแทบทุกวันและได้ความเข้าใจใหม่ๆ  มากขึ้นค่ะ 

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่บรรยายถ่ายทอดพระธรรม  ขอขอบคุณกัลยาณมิตรที่ร่วมด้วยช่วยงานของมูลนิธิ  ทำให้ดิฉันมีโอกาสอันงดงามที่ได้ฟังธรรมบรรยาย

 
  ความคิดเห็นที่ 45  
 
kanchana.c
วันที่ 19 ธ.ค. 2557

เมื่อเดินตามหลังท่านอาจารย์เข้าห้องประชุมศาลเยาวชนและครอบครัว จ. นครพนมที่คุณชุติมันต์ พานิชศักดิ์พัฒนา และคุณยชมา สุขปรุง (พี่สาว) ผู้พิพากษาสมทบ เป็นผู้เรียนเชิญท่านอาจารย์และคณะวิทยากรไปบรรยายธรรมนั้น ได้เห็นสุภาพสตรีท่านหนึ่งกราบท่านอาจารย์ด้วยความซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ เธอเรียนท่านอาจารย์ว่า ได้ฟังธรรมะจากวิทยุมานานถึง 12 ปี เพิ่งได้พบท่านอาจารย์วันนี้เอง เมื่อจบการบรรยายในวันนั้นจึงไปขอสัมภาษณ์ ได้ความว่าชื่อ รัตน์ วงศ์คำ อายุ 54 ปี หมุนเจอเอง ไม่มีใครชักชวน เธอฟังจากสถานียานเกราะ จ. สกลนคร ฟังเรื่อยๆ มา ไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ วันนี้จึงชวนเพื่อนมาฟัง และกราบท่านอาจารย์ บ้านเธออยู่ต่างอำเภอ ห่างจากสถานที่บรรยายในอำเภอเมือง 100 กว่ากิโล และมาทั้ง 2 วัน วันสุดท้ายชวนให้นั่งเรือชมแม่น้ำโขงด้วยกัน เธอบอกว่า ต้องรีบกลับเพราะทางไกล

ขออนุโมทนากับคุณรัตน์ วงศ์คำ ที่ทำให้เห็นว่า ถ้าทำบุญไว้แล้ว อยู่ที่ไหน ก็มีโอกาสได้ฟังธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 46  
 
สงบ
วันที่ 19 ธ.ค. 2557

ชื่อ รศ. สงบ เชื้อทอง อายุ 62 ปี

กระผมสนใจพระเณรมาตั้งแต่เป็นเด็ก ชอบเดินตามพระไปบิณฑบาตและไปวัด เคยไปเวียนเทียนกับญาติผู้ใหญ่ในวันสำคัญทางศาสนา ก่อนจะเวียนเทียนได้ยินพระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตอนที่ว่า”ชราธัมโมมหิ ชรังอนัตติโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้” รู้สึกซาบซึ้งมาก เมื่อได้ยินพระสวดมนต์ก็จะสวดไปพร้อมพระ (เลียนเสียงพระ ไม่ได้สวดจริงๆ) จนแม่ต้องตีขาให้อยู่เงียบๆ

ที่กระผมมาฟังธรรมจากท่านอาจารย์ ก็เพราะต้องการเอาใจภรรยา (ตอนนั้นยังไม่เป็น) ได้ติดตามไปฟังที่ห้องประชุมสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศ บางลำพู ในวันอาทิตย์ตอนบ่ายหลายครั้ง ภรรยานึกว่า สนใจแนวทางเดียวกัน น่าจะไปกันได้ดี จึงตัดสินใจแต่งงานด้วย จริงๆ แล้วฟังที่ท่านอาจารย์บรรยาย ท่านแสดงที่มาจากพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม หรืออรรถกถา มีหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ รู้สึกทึ่งมากว่า ท่านเป็นผู้หญิง ไม่เคยบวชเรียน ไม่เคยศึกษาภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาธรรมะ ท่านก็แสดงได้อย่างลึกซึ้ง สวยงาม ไม่ติดขัด หรือผิดพลาดเลย ก็อัศจรรย์ใจในความสามารถของท่านอาจารย์อยู่ แต่ความเพียรที่จะติดตามฟังอย่างต่อเนื่องไม่มี และต่อมาก็ฟังทางวิทยุที่ภรรยาเปิดฟัง ไม่ค่อยสนใจเท่าไรนักเพราะคิดว่าเคยเรียนมาแล้วทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม แต่เมื่อตั้งใจฟังจากการเปิดแผ่นmp3 ในรถยนต์ระหว่างรถติด ก็รู้ถึงความเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งของท่านอาจารย์ ที่แตกต่างจากที่เรียนมาแล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะที่เรียนนั้นเป็นเพียงหัวข้อและเรื่องราว แต่ท่านอาจารย์เริ่มต้นว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา และทุกอย่างเป็นธรรมะ
ด้วยเหตุที่กระผมจบทางด้านศาสนศาสตร์บัณฑิตจากมหามกุฎราชวิทยาลัย ได้เปรียญธรรม 4 ประโยค เป็นอาจารย์อยู่ที่มหามกุฎราชวิทยาลัย มีประสบการณ์การเผยแพร่ธรรมะหลายแห่ง ทั้งกับพระภิกษุสามเณร สถานศึกษา และบุคคลทั่วไป ในปี 2546 ท่านอาจารย์จึงชวนให้มาเป็นวิทยากร แต่ขณะนั้นกำลังเขียนตำราเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการเป็น รองศาสตราจารย์ และสอนนักศึกษาหลักสูตรปริญญาโทในวันเสาร์ - อาทิตย์ จึงไม่ได้มาเป็นวิทยากร เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว มีเวลาว่างติดตามท่านอาจารย์ไปฟังการสนทนาธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายครั้ง เมื่อท่านอาจารย์ชวนอีกครั้งใน ปี 2557 จึงพร้อมที่จะช่วยงานท่านอาจารย์ตามที่มอบหมาย ท่านอาจารย์กล่าวว่า งานเผยแพร่พระธรรมเป็นงานใหญ่และหนักต้องช่วยกัน ไม่มีใครสามารถทำคนเดียวได้ ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอนและให้โอกาสเจริญกุศลที่ยิ่งใหญ่นี้

 
  ความคิดเห็นที่ 47  
 
thilda
วันที่ 20 ธ.ค. 2557

สวัสดีทุกท่านค่ะ สนใจเกี่ยวกับธรรมะมานานมากแล้วค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะอ่านหนังสือธรรมะและมาช่วงหลังก็จริงจังมากขึ้น มีการไปตามสถานที่ปฏิบัติธรรมต่างๆ แต่น่าแปลกที่ไม่รู้จักท่านอาจารย์สุจินต์ หรือ มศพ. มาก่อนเลย อาจเป็นเพราะแทบไม่เคยฟังวิทยุเลย และไม่เคยเข้ามาที่เว็บไซต์บ้านธัมมะเลย รู้จักท่านอาจารย์สุจินต์จริงๆ จากการไปนั่งสมาธิที่วัดแห่งหนึ่งใจกลางเมือง และไปเห็นหนังสือแนวทางเจริญวิปัสสนาวางอยู่บนโต๊ะแจกหนังสือธรรมะของทางวัดเมื่อประมาณกลางปีที่แล้วนี้เองค่ะ แต่แปลกที่เป็นหนังสือมือสอง มีชื่อเจ้าของเขียนไว้ด้วยค่ะ ได้นำกลับมาอ่านต่อที่บ้านด้วยความสนใจยิ่ง

ต่อมาเมื่อได้ทราบที่มาของหนังสือแล้ว ก็ได้เขียนจดหมายมาขอหนังสือสองครั้ง และในที่สุดก็ได้มาฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ท่านอาจารย์สุจินต์และทางมูลนิธิฯ ถือเป็นผู้ให้กำเนิดใหม่ในทางธรรมแก่ดิฉัน ก่อนหน้านี้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก แต่ต่างกับความรู้ความเข้าใจอย่างเทียบกันไม่ได้ เคยสงสัยว่าเราควรศึกษาพระอภิธรรมก่อนไปปฏิบัติธรรมไหม แต่ก็รู้ว่าไม่มีปัญญาอ่านพระไตรปิฎกแล้วเข้าใจเองได้อย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จริงๆ เลยว่า "จิต" คืออะไร "สมาธิ" คืออะไร รู้สึกขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่าน และทางมูลนิธิฯ เป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือท่านเจ้าของหนังสือเล่มนั้น หากท่านอ่านเจอที่ดิฉันเขียนอยู่นี้ ดิฉันได้ขอหนังสือเล่มใหม่ และนำหนังสือเล่มเดิมของท่านไปวางคืนที่โต๊ะแจกหนังสือแล้วค่ะ ในกรณีที่ท่านไม่ได้ลืมไว้ หวังว่าหนังสือนี้จะส่งต่อความรู้ความเข้าใจและแนะนำมูลนิธิฯ ให้กับท่านผู้สั่งสมบุญมาค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 48  
 
choonj
วันที่ 21 ธ.ค. 2557

เมื่อปี 40 ผมได้รับการกระทบจากธุรกิจ จนเกิดความทุกข์ ขณะนั้นไม่มีสติเลย ได้รับคำแนะนำให้ศึกษาธรรม จึงเริ่มหาที่ศึกษา ได้ไปฟังธรรมที่วัดบวรฯ ขณะนั้นท่านอาจารย์ไม่ได้แสดงธรรมที่วัดนี้แล้ว  ยังคงมีแต่มูลนิธิแนบสอนธรรมในช่วงเช้า ตอนบ่ายจึงว่างได้หาที่ฟังธรรมและได้มายังมูลนิธิฯ ก็ได้ฟังท่านอาจารย์ครั้งแรก ฟังไม่รู้เรื่องเลยหยุด ขณะนั้นได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ฟังธรรมที่ไหนๆ ก็รู้เรื่องแต่ทำไมที่มูลนิธิฯนี้จึงไม่รู้เรื่อง เลยกลับมาฟังไหม่ ท่านอาจารย์ได้ชวนไปอินเดีย  หลังจากกลับจากอินเดียก็ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ตลอด  ก็แปลกใจว่าทำไมท่านอาจารย์แสดงธรรมเป็นภาษาไทยแต่ฟังไม่รู้เรื่องทั้งๆ ที่เป็นภาษาของเรา พูดไทยกันไม่รู้เรื่องมีด้วยหรือ  ก็ได้ฟังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีหลายครั้งที่หยุดฟัง แต่ก็ต้องกลับมาฟังใหม่ พอเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น ศรัทธาในท่านอาจารย์ก็เกิด เริ่มมีสติ เริ่มรู้ความสำคัญของการรู้ธรรม 

ผมเคยถามตัวเองว่าทำไมเราถึงได้พบท่านอาจารย์และได้ฟังธรรมจากท่าน ก็พอที่จะได้คำตอบว่า คนเราเกิดมาเป็นไปตามการสั่งสม แสดงว่าเคยฟังธรรมที่แสดงในพระไตรปิฏกมาก่อน เป็นธรรมที่ถูกต้อง ด้วยอำนาจกรรมจึงปฏิเสธธรรมอย่างอื่นดังที่หลายๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่าฟังธรรมอื่นมีความรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่ยอมรับว่าธรรมที่แสดงโดยท่านอาจารย์นี้ เป็นธรรมที่น่าศึกษาแล้วอะไรล่ะ ที่บอกเราว่าเป็นธรรมที่น่าศึกษา ถ้าไม่ไช่เคยฟังมาก่อน การที่ได้พบท่านอาจารย์จึงเป็นของแน่นอนอยู่แล้ว เพราะธรรมที่สั่งสมไว้จะนำมาให้ได้พบ หรือท่านว่าไง ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงเพราะถ้าไม่มีท่านแล้วก็ไม่มีผู้แสดงแล้วจะได้ฟังได้อย่างไร ก็ยังเป็นบุญนะที่เกิดมายังมีผู้แสดงอยู่

 
  ความคิดเห็นที่ 49  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 22 ธ.ค. 2557

ธรรมะไม่สาธารณะกับทุกคนจริงๆ

สาธุขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 50  
 
นิตยา
วันที่ 24 ธ.ค. 2557

กราบสวัสดีค่ะ เริ่มแรกของการได้ฟังพระธรรมจากอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ คือเปิดวิทยุโดยบังเอิญ ฟังแรกๆ ก็ยังไม่รู้ แต่ก็อดทนฟัง เพราะแต่ละคำน่าสนใจมาก และน้ำเสียงของอาจารย์ก็ไพเราะมาก จากความรู้ความเข้าใจ หลังจากฟังมานาน ก็รู้สึกว่าสะสมมาดี ที่ได้มีโอกาสเข้าใจธรรมะ ไม่เสียชาติเกิดแล้ว และก็เห็นประโยชน์จริงๆ เมื่อมีโอกาส ก็แนะนำให้บุคคลอื่นได้ฟังและเข้าใจด้วย และมีโอกาสมาที่มูลนิธิฯ เมื่อปี 2543 ปัจจุบันอยู่ต่างจังหวัด ไม่ขาดการฟังธรรม และขออนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลของทุกท่านด้วย สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 51  
 
kulwilai
วันที่ 3 ม.ค. 2558

หมุนเจอ

ที่มาของการได้ฟังพระธรรมจาก ท่านอจ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยังจำได้ว่าปีนั้นเป็น พ.ศ. 2539 ได้หมุนเจอรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาโดยบังเอิญทางสถานีวิทยุ ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบฟังรายการวิทยุมากกว่าดูทีวี จะฟังวิทยุเวลาที่อยู่ในห้องนอน และเวลาที่ขับรถไปทำงาน เป็นคนที่ชอบฟังรายการข่าว รายการสารคดี รายการสุขภาพ รายการเพลงมีบ้าง และถ้าเจอรายการธรรมะก็ฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เปิดเจอสถานีวิทยุ am 675 สทร. 2 บางนา ในเวลาเช้าได้ยินเสียงผู้ที่แสดงธรรมะเป็นผู้หญิง ทั้งที่ผู้แสดงในช่วงนั้นจะได้ฟังแต่พระภิกษุเป็นส่วนมาก จำได้ว่าท่าน อจ.สุจินต์กำลังอธิบายขันธ์ ๕ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ต่างจากที่ดิฉันได้เคยฟังจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่ท่านกล่าวชื่อของขันธ์และความหมายแต่ละขันธ์ โดยไม่มีความเข้าใจว่าขันธ์ ๕ มีในขณะนี้เอง ดิฉันได้หมุนไปเจอรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาในเวลาอื่นของวันเดียวกัน

ต่อมาได้ยินประกาศจากทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาว่า ยังมีรายการทางสถานีวิทยุเวลาใดบ้าง ตั้งแต่วันนั้นดิฉันก็ติดตามมาจนถึงวันนี้ ยังจำได้ในปี พ.ศ. 2541 มีโอกาสได้ไปพบท่าน อจ.สุจินต์เป็นครั้งแรก ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนถามท่านว่า “ดิฉันติดข้องในท่านอาจารย์หรือเปล่า? จึงตามมาพบถึงที่วัดบวรนิเวศวิหาร” ท่าน อจ.สุจินต์ตอบว่า “เราเคยเห็นกันมาก่อนหรือเปล่า?” ดิฉันถึงได้คำตอบด้วยตัวเองว่าที่มาเพราะพระธรรมแต่ไม่ได้มาเพราะติดข้องในตัวท่าน อจ.สุจินต์ และในวันนั้นดิฉันยังเรียนท่าน อจ.สุจินต์ว่า “อยู่ที่บ้านปัญญายังเกิดได้ค่ะ”

ขอกราบขอบพระคุณท่าน อจ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และทุกท่านผู้มีส่วนในการเผยแพร่รายการแนวทางเจริญวิปัสสนาทางสถานีวิทยุ จนวันนั้นถึงวันนี้ทำให้ดิฉันทราบว่า “ธรรมะไม่ต้องแสวงหา เพราะทั้งหมดเป็นธรรมะ”

 
  ความคิดเห็นที่ 52  
 
khampan.a
วันที่ 12 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 53  
 
mrvit
วันที่ 13 ม.ค. 2558

มีคนเอาซีดีท่านอาจารย์มาให้ฟัง แรกๆ ก็ฟังยากครับ เป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย มีภาษาบาลี ที่ไม่เคยชินทำให่ไม่อยากฟัง ตอนนั้นฟังของพระรูปหนึ่งอยู่ด้วยทำให้ฟังท่านอาจารย์น้อย แต่ก็สลับกันฟัง เดี๋ยวฟังพระ เดี๋ยวฟังท่านอาจารย์ จนปัจจุบันฟังท่านอาจารย์เท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 54  
 
ladawal
วันที่ 14 ม.ค. 2558

ก่อนที่ดิฉันจะมาเจอธรรมะของท่านอาจารย์ ดิฉันจะชอบไหว้แล้วขอให้เจอธรรมมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะต้องดีแน่ จึงจะทำให้คนพ้นทุกข์ได้ หลังจากนั้นดิฉันก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เมื่อให้คืโมแล้วก็ว่างเพราะลาออกจากงาน โกรธคนอื่นที่คิดว่าเลวกว่าเราทำไมถึงไม่เป็นมะเร็ง เราก็ทำบาปนิดเดียวเอง เปิดวิทยุฟังเจอท่านอาจารย์บอกว่า เพราะเป็นเรา เราได้ทำมาแล้วในอดีด จะเป็นใครไม่ได้ เท่านั้นแหละ ดิฉันเข้าใจเลยว่า นี่คือธรรมะที่เราอยากเจอ นั่งรถมามูลนิธิฯ ทันที มาขอแผ่นไปฟัง แรกๆ ไม่รู้เรื่อง ฟังอยู่บ้าน จนร่างกายแข็งแรง จืงมาฟังที่มูลนิธิฯ หกปีแล้วค่ะ มีดเริ่มสืกแล้วโดยไม่รู้ตัว และเกิดมา ไม่เสียชาติเกิดแน่นอน และจะฟังไปจนตายค่ะ

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 55  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 28 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 56  
 
แต้ม
วันที่ 2 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนา

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้เคยฟัง ท่าน อ.สุจินต์  ที่ช่อง 11 มาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2552 ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง  หนังสือธรรมะก็ได้เคยอ่านมาบ้าง  ก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้พอสมควร แต่พอปี พ.ศ.2554  ได้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง (อาจเป็นบุญกุศลที่ได้เคยสั่งสมมา) แล้วมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เข้าใจที่ อ.สุจินต์บรรยายมากยิ่งขึ้น รู้สึกเหมือนมีปัญญาที่ถูกต้องยิ่งขึ้น(จะเป็นความรู้สึกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) 

จากเมื่อก่อนที่สับสนไปหมดระหว่างพราหมณ์กับพุทธ  และตอนนี้สามารถบอกได้ว่าสิ่งไหนพุทธสิ่งไหนพราหมณ์ เมื่อก่อนถ้าบอกว่าปฏิบัติธรรมก็เข้าใจว่าไปวัดนุ่งขาวห่มขาว  ถือศีล  สวดมนต์  ภาวนา  ทำสมาธิ วิปัสสนา แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจถูกต้องว่า การปฏิบัติธรรมนั้น คือ การมีสติ ทุกขณะจิต  ทุกอริยาบท  ทุกสถานที่  รู้เท่าทันกิเลส  เมื่อฝึกจิตบ่อยๆ เข้าก็จะเกิดความเคยชิน  สามารถกำจัดกิเลสได้ตามปัญญา (ถูกต้องหรือเปล่าครับท่าน อ.สุจินต์ ครับ) ผมไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านี้  เอาไว้ไปสนทนาธรรมกันที่สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ผมจะพูดถึงความรู้สึก  ความคิดเห็นที่ได้พบสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ พระไตรปิฎก  ซึ่งสามารถเปลี่ยนชีวิตจากร้ายกลายเป็นดีได้จริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 57  
 
Patchanon
วันที่ 21 ก.พ. 2558

ผมก็บังเอิญหมุนคลื่นวิทยุเจอเสียงอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เหมือนกันครับ กว่า 15 ปีที่ผ่านมาแล้วครับ ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้างครับ   แต่ช่วงหลังมานี้ ฟังทุกวันครับ เริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้วครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 58  
 
thassanee
วันที่ 5 มี.ค. 2558
ดิฉันชื่อทัศนีย์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะลำดับที่ 980 เห็นหัวข้อนี้ก็อยากเขียนมานาน ได้โอกาสเขียนวันนี้ (4/3/58) หลังจากไปฟังพระธรรมที่มูลนิธิฯ  ในวันมาฆบูชา (ช่วงเบรคแรกกลับมา) เพื่อนที่ชักชวนให้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ฯ บอกในครั้งที่ชวนฟังว่า "ลองฟังอาจารย์ท่านนี้ดู ฉันฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้ง น้ำเสียงอาจารย์ก็ไพเราะ"     เพื่อนถามดิฉันว่าดิฉันได้มาฟังอาจารย์ได้อย่างไร  จำได้ไหม ดิฉันตอบไปว่าฟังจากแผ่นในรถของเธอ ระหว่างขับรถกลับบ้านกัน (หลังจากดื่มไวน์กลับมา) ตั้งแต่นั้นมาก็ฟังมาโดยตลอด     แต่ของเพื่อนดิฉัน  เรื่องบังเอิญกว่าค่ะ ขออนุญาตเล่านะค่ะ  เพื่อนของดิฉันชื่อ อรวรรณเล่าว่า  "ฉันว่าของฉันบังเอิญกว่า เหมือนชะตาชักพาให้มาฟัง เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยฟังและไม่คิดฟัง อยู่ๆ ขี้เกียจฟังเพลง  เลยเอา cd ของอาจารย์ที่เก็บไว้ 10 ปี มาฟัง แถมอยู่ดีๆ อยากเรียนหนังสือ ถ้าเรียนวิชาทางโลกเพิ่ม ก็คงไม่ได้ประโยชน์ไร เพราะแก่แล้ว คงไม่ได้เอาไปใช้  เราเรียนศาสนาดีกว่า แต่ระดับฉันแล้วต้องเรียนอะไรให้สมฐานะ เล็กๆ ทำไม่เป็นเอาใหญ่ๆ ยากๆ เป็นเรื่องเป็นราวเลย  เราเรียนพระอภิธรรมซะเลยดีกว่า  ค้นหาข้อมูลไปมา ดันมาเจอ web ของอาจารย์อีก  คงฟังมา แต่ชาติที่แล้ว ชาตินี้ฟังอีกนิดนึง ชาติหน้าค่อยมาฟังใหม่ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ชาตินี้ได้แค่นี้แหล่ะ แต่ได้ทำกุศลอย่างนึงคือการชวนให้เธอฟัง คนแจก cd ใครก็ไม่รู้ได้มาตอนอบรม ได้แยะ วางแผละไว้ตั้งนาน ไม่ยักกะเสีย อ้อตอนได้ cd เซ็งมากเพราะไม่คิดฟัง แต่ไม่กล้าทิ้ง รู้สึกว่าให้มาทำไม" จนถึงบัดนี้ ดิฉันและเพื่อนก็ยังคงฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ มาโดยตลอด   กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง 
 
  ความคิดเห็นที่ 59  
 
j.jim
วันที่ 10 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 61  
 
nopwong
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 62  
 
chatchai.k
วันที่ 27 มิ.ย. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 63  
 
mild
วันที่ 29 มิ.ย. 2558

ด้วยเหตุ คือ บุญที่ได้กระทำมาแล้วจึงเป็นผลให้ได้ฟังธรรม ฟังครั้งแรกทางทีวีช่อง11 จึงฟังเรื่อยมาตามแต่จะสะดวก ไม่ได้ฝืนเลย เป็นปกติบังคับบัญชาไม่ได้เป็นอนัตตา บางครั้งตั้งใจจะเปิดทีวีดู แต่ก็ทำงานเพลินจนลืมดู จึงเข้าใจได้เลยว่าทุกสิ่งอย่างเป็นอนัตตา แต่ข้อเสียของเรา คือ ยังติดในเสียงของท่านอาจารย์ แท้จริงธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่ว่าใครจะกล่าวก็งาม และมีประโยชน์เพื่อเข้าใจเห็นถูก เพื่อละกิเลสเสมอกัน  ขอขอบพระคุณท่านอ.สุจินต์ และคณะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 64  
 
กมลพร
วันที่ 25 ก.ย. 2558

การได้พบพระธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย อาจเป็นเพราะตัวดิฉันเอง ตอนยังเล็กมักคิดอะไรไม่เหมือนคนในครอบครัว ซึ่งพิธีรีตรองเยอะมาก เข้าขั้นงมงาย หลังจากมีครอบครัวแล้วได้เป็นตัวของตัวเอง ก็เลยไม่ต้องทำตามผู้ใหญ่  อาจเป็นกุศลจากอดีต เมื่อเริ่มตั้งท้อง ก็เริ่มมีใครต่อใครเอาหนังสือธรรมมาฝากมากมายหลายแง่มุมบ้าง ก็เป็นคำสอนของพระภิกษุผู้ใหญ่ที่ใครๆ ก็ศรัทธา ตอนนั้นชอบอ่านหนังสือธรรมมาก นึกเอาว่าลูกคนนี้คงเกิดมาเพื่อให้แม่เข้าถึงพระธรรม แล้วก็ถึงวันคลอดลูกสาว วันที่น่าจะเป็นวันของความสุข เพราะชีวิตใหม่เกิด กลับกลายเป็นวันเกือบสูญเสียชีวิตตัวเอง.

แต่คงเป็นเพราะกุศลยังพอมี ทำให้รอดชีวิตมาได้  ช่วงระยะเวลานั้นถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าทำกรรมอะไรไว้ ทุกข์กายขนาดนั้น ด้วยยังไม่เข้าใจธรรมดีพอ จึงคิดหาวิธีปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ต้องเวียนเกิดอีก  ในความพยายามนั้น ตระหนักได้ว่าสนใจเรื่องจิต การทำงานของจิต  พอดีสามีก็เป็นผู้ใฝ่ในธรรม ชอบฟังธรรมทางวิทยุแต่เป็นสถานี AM  ซึ่งไม่เคยฟังเลย  เขาเปิดให้ฟังหาคลื่นไปมา พลันก็ได้ยินเสียง ผู้บรรยายธรรมท่านหนึ่ง เสียงเพราะจับใจ  บรรยายเรื่องจิต เจตสิก ได้ยินปุ๊บ ติดใจปั๊บเลย ด้วยบุญอีกเช่นกัน ได้เพื่อนซึ่งติดต่องานกัน เธอทั้งสองเป็นกัลยาณมิตรเลยทีเดียว นำหนังสือ  และ แผ่นซีดีบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ ท่านลองคิดสิคะ อะไรจะถึงพร้อมขนาดนั้น นับแต่นั้นมา การฟังท่านอาจารย์บรรยายพระธรรมทางวิทยุ จึงเป็นกิจวัตรประจำวันทุกเช้าฟังขณะขับรถคนเดียวทำให้เข้าใจมากขึ้นๆ  ช่วงนั้นวันหยุด จะได้พากันฟัง " พระธรรมในชีวิตประจำวัน " ทั้งบ้านเลยทีเดียว.

คำบรรยายของท่านอาจารย์ที่ดิฉันจดจำขึ้นใจและใช้เตือนสติตนอยู่เป็นประจำ คือ  ".ขณะที่เป็นทุข์ทางกาย หรือเป็นสุขทางกาย เป็นผลของอดีตกรรม แต่ขณะที่เดือดร้อน เป็นห่วงกังวลนั้น เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ใช่ผลของอดีตกรรม แต่เป็นผลของการสะสม อกุศลธรรม จึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ไม่แช่มชื่น. หนทางเดียวที่จะบรรเทาละคลายอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นไม่ให้เพิ่มความเป็นห่วงกังวลขึ้น ก็โดยสติระลึก และสังเกต พิจารณารู้ว่า สภาพธรรมที่เป็นอกุศลต่างๆ นั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ใดๆ เลย.

ขอขอบคุณ คุณวันชัย ภู่งาม ผู้เรียกสติกลับมาอีกครั้ง อีกทั้ง คุณสุดาพร คุณประนอม กัลยาณมิตรผู้เกื้อกูลหนังสือของชมรมให้ดิฉัน  ขอกราบท่านอาจารย์ผ่านตัวอักษรนี้ และขอทุกท่าน เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 65  
 
Guest
วันที่ 5 ต.ค. 2558

หมุนเจอเมื่อช่วงต้นปี 2557 ครับ ตอน 6 โมงเช้าต้องส่งลูกชายไปโรงเรียน ครั้งแรกได้ฟังมีความรู้สึกประหลาดใจครับ ว่าอาจารย์ท่านนี้บรรยายธรรมได้แปลกกว่าท่านอื่นๆ แต่ยังไม่รู้ชัดๆ ว่าแปลกกว่าอย่างไร แต่ก็เริ่มสนใจจึงได้ฟังมาเรื่อยๆ ผ่านมาประมาณ 1 เดือน ก็ยิ่งเริ่มสนใจมากขึ้นจึงมาหาข้อมูลของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทางอินเทอร์เน็ท หลังจากนั้นผมก็ได้สั่งซื้อแผ่น mp3 มาฟังได้ประมาณ 4-5 เดือน จึงมั่นใจว่าที่นี่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เราสงสัยได้แน่ๆ (มีความสงสัยเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตมากมายครับ) คือเคยเจอคำสอนในรูปแบบไม่ใช่ตัวตน,ไม่ใช่สัตว์,ไม่ใช่บุคคลเหมือนกันครับแต่ถามไปเรื่อยๆ ลึกๆ คำตอบมักเปลี่ยนไปครับ คล้ายๆ กับเป็นการท่อง 3 คำนั้นเพื่อเป็นประโยคชูโรงครับ แต่หลังจากมาที่มูลนิธิฯแห่งนี้ไม่ใช่แค่ไม่ผิดหวังครับ(เกินความคาดหวัง)ที่ผมเขียนไว้ว่ามีความสงสัยเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตมากมาย เมื่อมาเทียบกับความรู้ที่มีอยู่ของที่มูลนิธิฯแห่งนี้ความอยากรู้และความสงสัยเปรียบเหมือนเด็กหัดเดินหรือต่ำกว่านั้น(ความจริงเทียบกันไม่ได้เลยครับ) ก่อนหน้าที่จะได้ฟังพระธรรมคำสอนโดยผ่านจิต,เจตสิกและเสียงของท่านอ.สุจินต์ ผมขอยอมรับว่าในใจลึกๆ มีความทุกข์มากมายบ่อยมากที่มองโลกและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาแง่ร้าย แต่หลังจากได้ฟังพระธรรมจนมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ความทุกข์จากการมองโลกและการมองพระพุทธศาสนาแง่ร้ายก็ค่อยๆ ถูกขจัดออกไปครับ

เพื่อความดำรงค์ยั่งยืนนาน แห่งบวรพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งเพื่อประโยชน์ และความสุข แก่ข้าพเจ้า(ทั้งหลาย) จน สิ้นกาลนานเทอญฯ น้อมกราบ น้อมกราบ น้อมกราบ

 
  ความคิดเห็นที่ 66  
 
s_sophon
วันที่ 6 ต.ค. 2558

" หมุนเจอ, เปิดเจอ, อ่านเจอ, ฯลฯ จนได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ ได้อย่างไร " 

จาก Youtube  เมื่อครั้งเห็นผู้บรรยายธรรมเป็นสุภาพสตรี นึกแปลกใจ เดิมเคยเห็น พระภิกษุหรือไม่ก็ผู้ชาย ก็พบว่าผู้ร่วมสนทนาธรรม ณ ที่นั้น มีความนอบน้อม และผู้บรรยายธรรมก็มีความเมตตา เป็นเหตุให้สนใจว่าทั้งหมดนี้เป็นมาอย่างไร

ระหว่างนั้นก็ได้ยินได้ฟังคำสนทนาที่ไม่เคยได้ฟังจากที่ใด ณ ที่นี้  จนบัดนี้จึงไม่ได้ไปที่ไหนอีก ยังไม่ได้ไปกราบเท้า อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ด้วยความเคารพ

 
  ความคิดเห็นที่ 67  
 
majweerasak
วันที่ 28 มิ.ย. 2559

เมื่อประมาณ พ.ศ.2537 ตอนนั้นยังเป็นนักเรียนนายร้อยอยู่ที่เขาชะโงก จ.นครนายก  วันนั้นมีกิจกรรมที่ต้องทำมากมายจนถึงเวลานอน ทั้งง่วง ทั้งเพลีย แต่เพื่อนที่นอนข้างๆ ก็ชวนคุยเรื่องธรรมะ ด้วยความเกรงใจเพื่อนก็อดทนฟังจนเผลอหลับไป  ตื่นมาตอนเช้า ได้พิจารณาเรื่องที่เพื่อนพูดให้ฟังเมื่อคืน  ทำให้สนใจพระธรรมขึ้นมาทันที ไปถามเพื่อนว่าศึกษามาจากที่ไหน เพื่อนได้แนะนำหนังสือ และรายการวิทยุ ของมูลนิธิฯ ตั้งแต่นั้นก็ติดตามและศึกษา ทั้งอ่าน ทั้งฟังธรรมะของของมูลนิธิฯ และค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เน็ตบ้าง ได้ศึกษาพระธรรมมาเรื่อยๆ ปัจจุบันมีความเข้าใจพระธรรมขึ้นมาก ถ้าเทียบกับเมื่อปี พ.ศ.2537 

 ขอกราบเท้า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพ และขอขอบคุณ พ.อ.กฤษฎา  เทอดพงษ์ ที่ชวนคุยเรื่องธรรมะในคืนนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 68  
 
auuee
วันที่ 28 มิ.ย. 2559

ช่วงวัยรุ่นของข้าพเจ้านั้นไม่สนใจการฟังธรรมเลย ตอนนั้นสนใจแต่จะเที่ยวเล่นไปกับเพื่อนฝูง พอถึงวัยทำงานก็ทำงานเยอะมากจนไม่มีเวลา เรียกว่าเป็นคนบ้างาน ทำงานวันละ 18 ชั่วโมง นอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น

ข้าพเจ้ามีน้องสาวที่สนใจธรรมะตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นและมักจะชักชวนให้ไปปฎิบัติธรรมเสมอๆ แต่ก็ไม่เคยไป เพราะคิดว่าการไปนั่งหลับตาไม่น่าจะช่วยให้เข้าใจอะไร และมีภารกิจการงานที่เยอะมากจนไม่มีเวลาเหลือให้ธรรมะเลย

จนต่อมาน้องสาวได้มีโอกาสไปเรียนอภิธรรมที่วัดแห่งหนึ่งก็มาชักชวนให้ข้าพเจ้าไปเรียนบ้าง ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าการศึกษาธรรมโดยเรียนจากพระไตรปิฎกจากคัมภีร์ของครูบาอาจารย์น่าจะเป็นหนทางที่จะให้เข้าใจพระธรรมได้มากกว่าไปนั่งสมาธิก็ตัดสินใจไปเรียน ก็เริ่มพยายามแบ่งเวลาไป เมื่อไปเรียนก็ได้ทราบคร่าวๆ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกไม่มีตัวตน เป็นเพียงจิต เจตสิก รูป เท่านั้น ก็สงสัยมากๆ ว่า ทำอย่างไรที่จะเข้าใจว่าไม่มีเรา เรียนพระอภิธรรมที่วัดก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้ และพระอาจารย์ที่สอนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้เราเข้าใจ การเรียนนั้นเป็นเพียงการเรียนเนื้อหาว่าจิตมีกี่ดวงชื่ออะไร เจตสิกมีกี่ดวง ชื่ออะไร คือเรียนความหมายของคำเป็นส่วนมาก ก็หยุดเรียน แล้วย้อนกลับไปเรียนเทอมใหม่ตั้งแต่แรก หวังว่าเมื่อเปลี่ยนพระอาจารย์แล้วเราจะเข้าใจขึ้น แต่ก็ยังเหมือนเดิม เปลี่ยนไปเรียนที่วัดอื่นก็เหมือนเดิม ในที่สุดก็เลิกเรียน แล้วหาตำรามากที่สุดที่จะหาได้ แล้วนำตำราจากหลายๆ สำนักมานั่งอ่านเอง ซื้อพระไตรปิฎกในส่วนของพระอภิธรรมมานั่งอ่านเองศึกษาเองไปเรื่อยๆ

ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็ไม่หยุดที่จะค้นหาหนทางที่จะทำให้เข้าใจว่า ไม่มีเรา คืออย่างไร ได้สมัคร Facebook เข้าเป็นสมาชิกกับเกือบทุกกลุ่มที่พิจารณาแล้วว่าน่าจะเป็นหนทางที่ถูก ไปเรียนแม้กระทั่งภาษาบาลี เพื่อหวังว่าความรู้ทางบาลีอาจจะทำให้เราเข้าใจในธรรมะมากขึ้น จนมาวันหนึ่งได้เปิดเจอคลิปของท่านอาจารย์สุจินต์ ที่คลิปเขียนว่า ปากอยู่ไหน คำนี้สะดุดความสนใจของข้าพเจ้ามากๆ จึงเข้าไปดูคลิปนั้น ท่านบอกว่าปากอยู่ไหน แล้วผู้ฟังท่านนั้นก็จับปากของตนเอง แล้วบอกนี่ไงคะปาก ท่านอาจารย์ก็บอกว่าไหนลองหลับตา แล้วก็ถามว่าขณะนี้ยังเป็นปากไหมคะ ท่านนั้นก็บอกว่า ปากค่ะ ยังเป็นปาก แต่มีน้องอีกท่านบอกว่าเป็นนิ่มค่ะท่านอาจารย์ ปากหายไปแล้ว

ขณะนั้นเองที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้เจอบุคคลที่ตามหามาตลอด คนที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจข้อความในพระไตรปิฏกที่ว่า เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มฟังธรรมของท่านอาจารย์ผ่านทางเวบไซต์ โหลดคลิปเสียง  ซื้อซีดีมาฟัง ซื้อเผื่อคุณแม่ฟังด้วย ข้าพเจ้าศึกษาธรรมทุกวัน โดยฟังตั้งแต่หัวค่ำไปเรื่อยๆ  บางวันฟังจนถึงตีสามโดยไม่รู้ตัว จะนอนก็ยังไม่อยากนอน อยากจะฟังต่อไปอีก แต่ก็ต้องนอนเพราะเดี๋ยวจะตื่นมาทำงานสาย

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากๆ ขอบคุณเหตุปัจจัยใดใดก็ตามที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มาเจอท่านอาจารย์ และต้องกราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่มีเมตตาแก่ผู้ไม่รู้ ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานกับตนเองไว้ว่าจะฟังท่านอาจารย์ไปเรื่อยๆ จะไม่หยุดฟัง จะศึกษาคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สะสมความเข้าใจต่อไปเรื่อยๆ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


 
  ความคิดเห็นที่ 69  
 
ampnop
วันที่ 29 มิ.ย. 2559

ตอนเรียนหนังสืออ่านหนังสือดึกๆ ง่วงนอนก็เปิดวิทยุฟัง เพลงก็ไม่ชอบฟัง ชอบฟังช่องที่คุณ อาคม ธันนิเทศ จัด หรือไม่ก็ฟังพระตอนนั้นฟังท่าน กิติวุฒโท , ฟังท่านโชดก เรื่องยุบหนอ-พองหนอ แต่พระที่จัดรายการเรี่ยไรเงินไม่ชอบฟัง ฟังท่านพุทธทาส  จนกระทั่งวันหนึ่ง บังเอิญเปิดเจอเสียงผู้หญิงคนหนึ่งสอนธรรม เสียงท่านยังสาว สอนธรรมะแบบยืนหยัดว่า ธรรมะคือธรรมะ โดยไม่ยอมให้ใครมาบิดเบือนได้และมีคำอธิบายต่อคำถามทุกๆ คำถามอย่างจะแจ้ง แม้ผู้ถามบางท่านใช้คำถามรุนแรงแต่ท่านตอบแล้วก็สอนต่อ เรายังไม่มีความรู้อะไรในพระศาสนาแต่กลับรู้สึกบอกกับตัวเองว่านี่แหละใช่เลย ยกมือไหว้อยู่คนเดียวแล้วก็กราบอยู่คนเดียว บอกกับตัวเองว่าเราได้ฟังพระสัทธรรม ของพระพุทธเจ้าที่เราอยากฟังแล้ว(ปกติเวลาไหว้พระจะอธิฐานว่าเกิดภพชาติใดๆ ขอให้เกิดภายใต้ศาสนาของพระพุทธองค์ และได้ฟังธรรมของพระองค์ทุกภพทุกชาติไปและขอให้เข้าใจในคำสอน)แต่นั้นมา เมื่อมีโอกาสก็จะเปิดวิทยุฟังท่านตลอดไม่ฟังจากที่ใดๆ อีกเลย จนปัจจุบันก็ยังคงติดตามฟัง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ชอบฟังท่านและจะขอติดตามฟังท่านตลอดไป และกราบขอบพระคุณท่านที่เมตตาแสดงธรรมเพื่อสืบพระศาสนาทำให้ผู้ไม่รู้อย่างผมได้รู้เพิ่มขึ้นบ้างก็เป็นพระคุณอย่างสูงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 70  
 
lada
วันที่ 29 มิ.ย. 2559

ดิฉันรู้จักรายการทางวิทยุทอ. 01มีนบุรี เริ่มโดยคุณยายชักนำเข้าสู่วงการแบบไม่เจตนา ที่บ้านเปิดวิทยุทิ้งไว้ทั้งวัน ก็เลยต้องฟังค่ะ ครั้งแรกๆ ไม่ชอบเลย คิดว่าพูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย ไม่เห็นต้องรู้เลย ไม่รู้ยังไงฟังไปเรื่อยๆ ตรงพระสุตตันตปิฎกคล้ายกับฟังนิทาน เลยเริ่มสนใจ ต่อมาลองตั้งใจฟังพระอภิธรรมจะมีข้อความที่ซ้ำหลายรอบ ก็เริ่มเข้าใจบ้างเล็กน้อย ปัจจุบันคุณยายเสียแล้ว แต่ยังฟังธรรมะทางยูทูปค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 71  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 2 ก.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 72  
 
พันศิริ
วันที่ 4 ก.ค. 2559

จริงๆ ชื่อพนิดานะคะ แต่ชื่อที่ใช้โพสต์ ใช้ชื่อ พันศิริ

ชีวิตในวัยเด็กค่อนข้างเป็นชีวิตที่ไม่น่าพอใจ ทำให้มักมีคำถามกับตัวเองเสมอๆ ว่า เกิดมาทำไม เหมือนว่าก็แค่อยู่ไปวันๆ เท่านั้น ก็พยายามจะเป็นคนธรรมดาที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร ต่อมาชีวิตการแต่งงานก็นับว่าล้มเหลว และมีความทุกข์มาก ก็เริ่มดูรายการธรรมะที่มีทางโทรทัศน์ ก็ได้ดูรายการของทางสันติอโศก จัดรายการโดยสมณะเพาะพุทธ (ท่านจันทน์) ท่านก็แนะนำให้ฟังวิทยุ AM บอกว่ามีรายการธรรมะดีๆ มาก ปรกติเป็นคนชอบฟังเพลงพอสมควรลูกกรุง และเพลงสากล จึงไม่ได้ฟัง AM มักจะฟัง FM

ด้วยความเป็นลูกหนี้ที่ดีของบัตรเครดิต ก็เลยได้รับวิทยุนาฬิกาปลุกมา ๑ เครื่องเป็นรางวัล ก็เลยลองเอาตั้งปลุกเวลา 6โมงเช้า ลองฟัง AM ดูตามที่ท่านแนะนำ สถานีทางซ้ายสุด เสียงฟังชัดที่สุด คือ AM 675 ครั้งแรกๆ ที่ได้ฟังก็ยังไม่ได้ฟังประจำ เพราะฟังแล้วก็งงๆ บ้าง เพราะมีคำศัพท์ภาษาบาลี และมีคำอธิบายแปลกๆ แตกต่างจากที่อื่น แต่ก็ชอบเสียงท่าน อ. และเป็นคนชอบเรื่องราว พอตอนที่มีการนำพระสูตรมาเล่าให้ฟัง ก็จะตั้งใจฟัง แล้วก็เลยคิดว่า ก็ดีเหมือนกันนะมีคนเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าให้ฟัง สุดท้ายก็ฟังเป็นประจำทุกวัน จนถึงวันนี้ เมษายนปีหน้าก็จะครบสิบปีแล้วค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 73  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 4 ก.ค. 2559

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์  บริหารวนเขตต์ 

ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่มีส่วนร่วมในการเผยแพร่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ 

ขอขอบพระคุณทุกๆ คำถาม และทุกๆ คำตอบค่ะ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 74  
 
yupa
วันที่ 6 ก.ค. 2559

กราบบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูง

 
  ความคิดเห็นที่ 75  
 
thilda
วันที่ 6 ก.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 76  
 
nucharat
วันที่ 8 ก.ค. 2559

หมุนเจอ ...หลายปีก่อน ดิฉันย้ายมาทำงานที่ชลบุรี หมุนเจอเสียงบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ที่สถานีธรรมะของวัดท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ประทับใจในเสียงที่ชัดเจน มั่นใจของท่านอาจารย์เป็นอันดับแรกและแปลกใจที่เป็นเสียงผู้หญิง จึงติดตามค้นหาว่าเป็นเสียงใคร จนได้พบweb บ้านธัมมะ และติดตามฟังท่านอาจารย์มาถึงปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้ติดตามท่านอาจารย์เรื่อยมาคือประโยชน์ที่ได้รับจากการฟังท่านอาจารย์และพิจารณาตาม ทำให้เข้าใจตัวเรา ผู้อื่น ธรรมะ มากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญไม่กลัว และมีกุศลเกิดมากขึ้นในแต่ละวัน ขอสารภาพกับท่านอาจารย์อย่างนึงว่า ไม่ได้ติดตามท่านอาจารย์ท่านเดียว ได้ฟังท่านอื่นๆ ด้วย ถึงแม้ในบางความคิดเห็นไม่ตรงกัน เช่น เรื่องการปฏิบัติ

รู้สึกเป็นบุญที่ได้พบท่านอาจารย์ กราบขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 77  
 
kanchana.c
วันที่ 22 ก.ค. 2559

เปิดเจอ

คุณจินดา เติมสินวาณิชย์ ชื่อเล่น เสียมง้อ อายุ 62 ปี เล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายเดือนก่อน ในเช้าวันพุธ ตื่นแต่เช้ามืด เปิดโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ จนถึงช่อง 11 ได้ยินเสียงสวดมนต์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ... รู้ว่าต้องเป็นรายการธรรม จึงไม่เปลี่ยนช่อง คอยติดตามรายการนี้ จึงได้ชมรายการ “บ้านธัมมะ” ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นครั้งแรก จนถึงท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายตอนหนึ่งว่า “กรรม คือ มือที่มองไม่เห็น” รู้สึกว่าซาบซึ้งประทับใจมาก อยากจะติดตามชมรายการตอนต่อๆ ไป จึงตื่นแต่เช้ามาคอยตั้งแต่วันพฤหัสจนถึงวันพุธอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ชมอีก เห็นคนที่มาฟังมีสมุดปากกามาคอยจดที่อาจารย์บรรยาย ตัวคุณจินดาอ่านเขียนหนังสือภาษาไทยไม่ได้ แต่ฟังและสนทนาได้คล่องแคล่ว เธอคิดว่า คงมาฟังที่มูลนิธิไม่ได้ เพราะอ่านเขียนไม่ได้ แต่เพื่อความแน่ใจจึงโทรศัพท์มาสอบถามเจ้าหน้าที่ที่มูลนิธิ เมื่อทราบว่า ความเข้าใจธรรมนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการอ่านเขียนเท่านั้น แต่ขึ้นกับการฟังให้เข้าใจ จึงได้มากราบท่านอาจารย์และติดตามฟังการสนทนาธรรมที่ มศพ. เป็นประจำทั้งเสาร์อาทิตย์ และได้ซื้อซีดีและดีวีดีไปฟังมากมาย เมื่อเข้าใจขึ้นก็มีศรัทธามั่นคง ขออนุโมทนาในกุศลที่เคยทำไว้แล้วนำมาสู่ความเข้าใจพระธรรม สะสมความเห็นถูกเพิ่มขึ้นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 78  
 
pattanee
วันที่ 2 ส.ค. 2559

มีเพื่อน ที่เขาฟังอยู่ก่อนค่ะ แล้วเขาแนะนำให้เราฟัง

 
  ความคิดเห็นที่ 79  
 
jaturong
วันที่ 10 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 80  
 
kanchana.c
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ได้ฟังถ่ายทอดสดการสนทนาธรรม ที่ จ. เลย เมื่อ 10 ส.ค. 59 เมื่อฟังเรื่องราวของสาวขอนแก่นคนหนึ่งถึงที่มาของการมาศึกษาพระธรรมจากท่านอาจารย์ รู้สึกประทับใจในการสะสมความเข้าใจของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป เมื่อถึงเวลา ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ความเข้าใจที่สะสมมานั้นก็ทำกิจเข้าใจธรรมที่ได้ฟังทันที และมีศรัทธาศึกษาต่อไป

คุณปาริชาติ ทองไพยุทธ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ลำดับที่ 2092 เล่าว่า (สรุปเองจากที่ได้ฟังจากการถ่ายทอดสด ถ้ายังไม่ถูกต้อง น้องปาริชาติช่วยเพิ่มเติมด้วยค่ะ)
เมื่อ 2 ปีก่อน ไปช่วยงานที่วัด ได้ยินเสียงผู้หญิงบรรยายธรรมจากซีดีที่ทางวัดเปิดให้ฟัง ซึ่งพระเปิดซีดีบรรยายธรรมของอาจารย์ดังทั่วไป แต่วันนั้นเปิดของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พอดี ฟังไปไม่ถึง 30 นาที ถึงตอนที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ...มีจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตคิดนึก เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จึงไม่ใช่เรา... ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เดิมคิดว่ามีจิตเพียงดวงเดียวที่เที่ยง รู้สึกสนใจที่จะศึกษาเพิ่มเติม จึงไปสอบถามที่มาของซีดีจากพระภิกษุ จดรายละเอียดแล้วโทรมาสอบถามและสมัครเป็นสมาชิกบ้านธัมมะ พร้อมกับซื้อซีดีคำบรรยายปกิณณกธรรม 11 แผ่น มาฟังอย่างต่อเนื่อง เมื่อทราบว่า ท่านอาจารย์และคณะฯ มาสนทนาธรรมที่ จ.เลย จึงเดินทางจาก จ. ขอนแก่นมาร่วมสนทนาด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 81  
 
kanchana.c
วันที่ 14 ส.ค. 2559

หมุนเจอ

คุณแก้ว (สังวาล บัวศรี) เล่าให้ฟังว่า ได้หมุนเจอรายการ "แนวทางเจริญวิปัสสนา" ที่บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขณะที่ไปทำงานอยู่ อ. บางซ้าย จ. พระนครศรีอยุธยา ฟังธรรมทั้งเวลาเช้ามืด เช้า เที่ยง บ่าย เย็น และกลางคืน มีความคิดในใจว่า ขอให้ได้มาศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์และมีความเข้าใจบ้าง ทำงานที่บางซ้ายได้ 3 เดือน ก็ได้ย้ายมาทำงานที่ถนนสีลม กรุงเทพ จึงได้มาศึกษาที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา กับ ท่านอาจารย์ตามทึ่ขอไว้ตั้งแต่ปี 2549

ขอนอบน้อมในพระคุณของพระพุทธเจ้า พระสัทธรรม และพระอริยสงฆ์สาวก

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ที่อุทิศตนนำพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วมาพร่ำสอนบ่อย ๆ เนืองๆ ให้เข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 82  
 
kukeart
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ผมเพิ่งมาฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประมาณเดือนกันยายน เมื่อปีที่แล้วครับ ทางช่องทีวีดิจิตอล ช่อง10 ฟังครั้งแรกไม่ค่อยเข้าใจครับ แอบเคืองเล็กๆ ว่าทำไมอาจารย์ ไม่ค่อยตอบคำถามคู่สนทนา แต่กลับถามกลับจนอีกฝ่ายไปไม่ถูก รู้สึกอาจารย์ใจร้ายจัง อิอิ แต่มาทราบเหตุผลว่า อาจารย์ อยากให้ผู้ที่สนทนาธรรมด้วย เข้าใจด้วยความเข้าใจจริงๆ ไม่ได้เข้าใจด้วยความจำ ก็รู้สึกประทับใจ ในความเมตตาของอาจารย์มากๆ ครับ

ด้วยความที่ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจ ก็อยากเอาชนะครับ ก็เลยหาฟังเพิ่มเติมจากยูทูป ตามเวปไซด์ ฟังเกือบทุกวันเลยครับ ทำให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น เป็นการเปิดโลกใหม่ ที่เคยเข้าใจมาผิดๆ มากมายหลายเรื่อง แถมยังได้ข้อคิดดีๆ นำมาใช้ในการดำเนินชีวิต เยอะแยะเลยครับ รู้สึกชาตินี้คุ้มค่าแล้วที่ได้มีโอกาสรับฟังธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการบรรยายของอาจารย์สุจินต์ ที่นำมาเผยแพร่ให้กับผู้สนใจ และศรัทธาในคำสอนของพระองค์ครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 83  
 
maipera
วันที่ 18 ก.ย. 2559

ได้รู้จักชื่ออาจารย์ครั้งแรกจากพ่อค่ะ พ่อขอให้สิ่งที่อย่าละทิ้งในชีวิตนี้ คือ พุทธศาสนา ค่ะ แล้วแนะนำชื่ออาจารย์มาราวๆ เมื่อ5-6ปีที่แล้ว พ่อเล่าอย่างแจ่มใสว่า พ่อได้ฟังอาจารย์ครั้งแรก ตอนพ่อเป็นนักศึกษาแถววัดมหาธาตุ พ่อบอกว่าฟังครั้งแรกรู้สึกว่า ทำไมอาจารย์เสียงไพเราะจัง เลยศึกษาและฟังอาจารย์เรื่อยมา ตลอดจนได้แนะนำให้ลูกๆ และทุกคนที่พ่อรักได้ฟังธรรมะจากอาจารย์ค่ะ พ่อบอกว่าอาจารย์สอนให้มองอย่างตรงและซื่อสัตย์ ส่วนตัวได้ฟังอาจารย์ ถึงจะยังความรู้น้อยนิด ก็เห็นด้วยกับพ่อว่าอาจารย์เป็นผู้ตรงและยึดมั่นในคำสอนเช่นนั้นจริงๆ ขอบคุณสำหรับธรรมะ ที่เป็นคำจริงจากพระพุทธองค์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 84  
 
Nahm
วันที่ 19 ก.ย. 2559

ประมาณ ๒ ปี หมุนคลื่นพบในรถขณะขับออกไปทำงานเช้าตรู่ประมาณตี ๕ ฟังเรื่อยมาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บางครั้งเหมือนจะกระจ่าง บางครั้งกลับสลัวๆ ก็ได้แต่ฟัง จากนั้นก็ซื้อ MP๓ มาฟัง แต่ด้วยวิถีชีวิตกลับฟังจาก You Tube เป็นส่วนใหญ่ มีการตีกันระหว่างการดิ้นรนของชีวิตกับสิ่งที่ได้ฟัง  นอกจากนี้ยังฟังพุทธประวัติจากพระโอษฐ์(เสียงอ่าน) เมื่อพักจากการฟังท่านอาจารย์และท่านวิทยากร คงยากที่จะเข้าใจได้ แต่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ ด้วยหลังจากพบกันเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว พบว่า เรื่องอื่นๆ ไม่ว่า โทรทัศน์ ภาพยนต์  เพลง หนังสือ(ที่ไม่ใช่หนังสือของลูกสาว) ลดลงเหลือไม่ถึง ๑๐% ของชีวิต  ก็ไม่รู้ว่าดีขึ้นหรือไม่  แต่ทำให้ชีวิตไม่ส่ายมากเกินไป

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ , ท่านวิทยากร และทุกท่านๆ ในมศพ. ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำในสิ่งที่ยากที่สุดในสังคมปัจจุบัน

 
  ความคิดเห็นที่ 85  
 
่jurairat91
วันที่ 19 ก.ย. 2559

ฟังมาตั้งแต่ปี 2541 จนถึงทุกวันนี้และจะฟังต่อไปไม่มีวันหยุด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 86  
 
kru_pued
วันที่ 1 ต.ค. 2559

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 87  
 
hc215
วันที่ 10 ต.ค. 2559

จำไม่ได้ว่าเริ่มฟังมาตั้งแต่เมื่อไร  รู้แต่ว่าเมื่อเป็นเด็ก (มากกว่า 40 ปีที่ผ่านมาแล้ว)  ย่าชอบอ่านหนังสือธรรมะ รวมทั้งชอบฟังธรรมะจากในวิทยุ ไม่ได้เจาะจงว่ารายการใด  น่าจะเคยได้ยินเสียงจากที่ย่าเปิดฟัง  

พอโตมาหน่อย พ่อก็เปิดวิทยุฟังบ้าง ทำให้เราจำได้แม่นถึงเสียงอาจารย์สุจินต์ ว่าเสียงน่าฟังดี ก็ฟังมาเรื่อยๆ ตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง  

โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็เริ่มศึกษาพุทธศาสนาบ้าง อ่านหนังสือธรรมะต่างๆ แล้วก็รู้สึกเบื่อว่า เรานี่คงยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้อีกถึงเมื่อไรกันหนอ  

พอมีอินเตอร์เน็ตเข้ามา ก็รู้ว่าเข้าถึงธรรมะได้ง่ายขึ้น หาฟัง หาอ่านได้สะดวกขึ้น  แล้วก็อยากเห็นหน้าว่า อาจารย์สุจินต์หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ  เราฟังเสียงมาตั้งนานแล้ว  ก็ไปหาดูรูปอาจารย์ แต่ยังไม่เคยไปฟังสดๆ สักที

ตอนนี้ ฟังจากบ้านธัมมะ เท่าที่มีโอกาสจะฟัง พยายามทำความเข้าใจ บางครั้งก็ยากมาก ยากน้อย แต่ไม่มีตอนไหนที่ง่ายเลย  แต่เราก็จะพยายามฟัง ทำความเข้าใจ 

ไปวัดบ้าง เอาอาหารไปถวายพระ  นิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้านบ้าง  ตั้งใจถือศีลห้าทุกวัน แต่ค่อนข้างยากมาก โดยเฉพาะข้อ 1  ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่บางครั้งก็เผลอ  

กราบขอบคุณท่านอาจารย์สุจินต์และคณะที่ช่วยชี้ทางให้  ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 88  
 
NongZa
วันที่ 12 ต.ค. 2559

เป็นคนชอบศึกษาธรรมะตั้งแต่เด็กๆ และฟังธรรมครูบาอาจารย์มาตลอด  เมื่อ 2ปีที่แล้วเปิดคลื่นวิทยุวัดพุทธบูชา แล้วเจอคลื่นแทรก เป็นธรรมะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ กำลังบรรยาย เราก็ตั้งใจฟังแล้วพยายามตามหาว่าอาจารย์ท่านนี้ชื่ออะไร ในที่สุดก็มาเจอรายการบ้านธัมมะ  นับว่าเป็นโชคดีอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ที่ได้รู้จักและเข้าใจธรรมะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แสดงธรรมที่บริสุทธิ์  ไว้ให้แก่บุคคลทั้งหลาย ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ในสิ่งที่ไม่เคย ได้ยิน ได้ฟังมาก่อน

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา กรุณา ของท่านอาจารย์สุจินต์  และทุกๆ ท่านที่เสียสละเวลา เพื่อเผยแพร่ธรรมะ ดีๆ ให้คนที่ไม่รู้ ได้มีความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น กราบบอนุโมทนา ค่ะ  _/*_

 
  ความคิดเห็นที่ 89  
 
Mayura
วันที่ 5 ม.ค. 2560

พ่อเสียชีวิตวันที่๑๓มิถุนายน๒๕๕๙

ต้องการทำบุญ อุทิศบุญให้คุณพ่อ จึงไปใส่บาตร ถวายอาหารพระทุกวัน  ได้พบพระอาจารย์ ท่านอายุ๗๒ ท่านสนทนาด้วยทุกวัน ได้แก่ เรื่องจุติจิต ปฏิสนธิจิต วิถีจิต นามรูป ไม่มีตัวตน ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ฟังทุกวัน ๓เดือนผ่านไป (ฟังพระอาจารย์พูดเรื่องเหล่านี้ทุกเช้าที่ไปถวายอาหาร) พระอาจารย์แนะนำ ให้ศึกษาจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพราะพระอาจารย์ก็ฟังมาจากวิทยุ ฟังมาเป็นสิบปี ได้รับสื่อธรรมะจากคุณป้า(ที่พึ่งเสียชีวิตไปไม่นาน น่าจะชื่อคุณป้าวีณา) อาศัยคุณป้าส่งซีดี หนังสือต่างๆ ให้ศึกษา 

เริ่มเข้าเว็ปบ้านธัมมะ ฟังธรรมะ เป็นสมาชิกเวบตั้งแต่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๙  สมัครสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๙   ได้ฟัง ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ขาดการฟังมาเรื่อยๆ  

ได้เริ่มเข้าไปฟังที่มศพ.ทุกวันเสาร์ เดือน ธันวาคม ๒๕๕๙

  ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่จำความได้   แสวงหาโมกขธรรม ตามหาธรรมะ ตามหาจนหมดหวัง  ในยุคที่ หนังสือธรรมะ เว็ปธรรมะ เยอะเหลือเกิน  แต่เยอะไปด้วย คำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เยอะไปด้วยความงมงาย ไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสน์  เยอะไปด้วยสัทธรรมปฏิรูป  

นับว่ายังทำเหตุปัจจัยไว้ดีในกาลก่อน ชาตินี้จึงมีโอกาสได้มาเจอพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคุณพ่อ บุญกุศลที่เกิดทุกครั้งที่เข้าใจธรรมะขออุทิศให้คุณพ่อ

และระลึกถึงบุญคุณของพระอาจารย์ ตอนนี้ไม่ได้เจอท่านแล้ว ท่านย้ายไปวัดที่ต่างจังหวัด  

ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบูชาคุณท่านด้วยการศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ

 
  ความคิดเห็นที่ 90  
 
nopwong
วันที่ 5 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 91  
 
kanchana.c
วันที่ 23 ก.พ. 2560

ได้รู้จักน้องผู้หญิงวัยรุ่น หน้าตาสะสวย ทราบว่า เป็นไทยใหญ่ชื่อ นางหนุ่ม มาฟังธรรมที่ มศพ. จึงขอสัมภาษณ์น้องทำให้ทราบว่า น้องเปิดวิทยุเจอรายการที่ท่านอาจารย์บรรยายตั้งแต่ปี 2554 ได้ยินตอนที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า อะไรจะเกิดห้ามไม่ได้ และไม่มีอะไรเป็นของเรา ทำให้อยากเข้าใจเพิ่มขึ้น จึงติดตามฟังเรื่อยมา ตอนนี้ฟังจาก YouTube และทำงานเป็นแม่บ้านที่กรุงเทพ ได้ฟังธรรมทั้งวัน ตั้งใจว่า ทำงานที่่ใดถ้าได้ฟังธรรมก็จะทำต่อไป และได้หยุดงานเดือนละ 2 วันก็เลยมาฟังที่มูลนิธิและสมัครเป็นสมาชิกชมรมบ้ามธัมมะ มศพ.ลำดับที่ 3159

เห็นผลของการสะสมความเข้าใจมาแล้ว ฟังเพียงเล็กน้อยก็สามารถเห็นประโยชน์และฟังต่อไป ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 92  
 
จิตโอภาส
วันที่ 25 ส.ค. 2560

ขอนอบน้อมต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น  

หลายปีก่อนหน้าเคยได้ฟังการบรรยายธรรมะของท่านอาจารย์จากสื่อต่างๆ  แต่ไม่สามารถจะเข้าใจได้เลยเพราะปัญญายังไม่เกิด  แต่เมื่อถึงเวลาอันสมควรกลับมาได้ยินได้ฟังอีกครั้ง บัดนี้เข้าใจมากขึ้นปัญญาก็เจริญขึ้นตามเหตุปัจจัยที่ได้เคยสะสมมา  จึงทำให้รู้สึกสำนึกในพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีเมตตาแสดงธรรมนั้นแก่สัตว์โลก  และโดยเฉพาะท่านอาจารย์ฯที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเผยแพร่พระธรรมให้พวกเราได้ฟังได้เข้าใจเพื่อประโยชน์แห่งตนที่แท้จริง ดังคำที่ว่า 

" เหมือนหงายของที่คว่ำ  เหมือนเปิดของที่ปิด  เหมือนชี้ทางกับผู้เดินทางไม่ให้หลงทาง  เหมือนจุดประทีปเอาไว้ในที่มืด "

ขอกราบแทบเท้าบูชาท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างสูงสุด

 
  ความคิดเห็นที่ 93  
 
เบญจขันธ์
วันที่ 27 ส.ค. 2560

เริ่มจากประมาณเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน  เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะมาฟังพระธรรม หรือได้ศึกษาพระธรรม เพราะคิดว่าธรรมะก็เป็นการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น  และก็ไม่เคยคิดว่าธรรมะจะวิจิตรลึกซึ้งมาก โดยผู้ที่ดำรงตนในเพศคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะศึกษาได้ เมื่อก่อนที่จะได้มาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ก็ได้แต่อ่านจากหนังสือธรรมะทั่วๆ ไปที่ออกโดยสำนักต่างๆ

เริ่มแรกเลยก่อนที่จะมาได้ศึกษากับท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ นั้น  เริ่มจากผมได้ไปที่ชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่วัด พอดีไปได้ยินมีท่านสองคนนั่งสนทนาธรรมกันอยู่ พอได้ยินก็รู้สึกถูกอัธยาศัย ในธรรมะนั้น รู้สึกไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ไหนมาก่อน ก็เลยสนใจเลยได้เข้าไปไต่ถาม ท่านก็เลยให้มาฟังทางวิทยุ ที่บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์  พอได้ฟังครั้งแรก ก็รู้สึกได้เลยว่านี่แหละเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษา จึงตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยฟังธรรมะบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ ตั้งแต่ เวลาเช้า เที่ยง เย็น กลางคืน คือตามฟังหมดเลยครับ ยิ่งฟังยิ่งเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาก็ยิ่งสงสัย การฟังของผม ถ้าคำไหนถ้าผมไม่เข้าใจผมจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปเลยครับ ผมจะต้องค้นหาจนเข้าใจครับ เพราะผมมีความคิดที่ว่า พระธรรมคำสอนนั้นเกื้อกูลสัมพันธ์กันหมด ถ้าเราเข้าใจแม้แต่คำเดียวก็สามารถเกิดปัญญาแทงตลอดธรรมะไปได้อีกมากมายครับ ตอนที่ผมฟังรายการวิทยุของท่านอาจารย์ ผมจะเอาเทปคลาสเซตคอยอัดฟังซัำๆ หลายๆ รอบจนกว่าจะเข้าใจ ทั้งฟังทั้งอัดเทปทั้งอ่าน เป็นกิจวัตรประจำวันเลยครับ  ในการฟังธรรมหรือศึกษาพระธรรมจากท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์นั้น คือเหมือนเป็นเรื่องอัศจรรย์เลยครับ คือถึงผมสงสัยตรงไหนของธรรมะ พอผมเปิดวิทยุ ก็จะได้ยินได้ฟังธรรมะตรงนั้นพอดีเลยครับ เป็นแบบนี้ตลอดเลยครับ แล้วผมได้ฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ ทางสถานีวิทยุไม่นาน ผมก็ได้ตามมาฟังธรรมกับท่านอาจารย์ที่วัดบวรนิเวศน์ สมัยก่อนท่านอาจารย์ ได้บรรยายธรรมอยู่ที่นี่ครับ ผมก็ยังมีโอกาสตามท่านอาจารย์ ไปฟังธรรมตามสถานที่ต่างๆ ที่ท่านอาจารย์ได้รับเขิญไปด้วยครับ  

ได้ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์ อยู่หลายปี และด้วยเหตุที่ผมมีภาระกิจต้องทำ ช่วงหนึ่งก็หยุดฟังไปหลายปีเลยครับ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเสียทีเดียว ก็ยังได่อ่านได้ศึกษาจากพระไตรปิฎกบ้าง แต่ไม่ได้เพียรเหมือนตอนที่ศึกษามาก่อนหน้านี้ จะตั้งมั่นในธรรมมากๆ  แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า จะต้องหาโอกาสกลับมาศึกษาจริงจังอีกครั้งครับ เพราะในใจคิดตลอดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ศึกษาพระธรรมแล้วครับ  แล้วไม่นานมานี้ ผมก็ได้กลับมาศึกษาธรรมะอีกครั้ง ผมตั้งใจไว้ว่าชีวิตต่อแต่นี้จะไม่ทิ้งพระธรรมไปไหนอีก จะใช้เวลาที่เหลือศึกษาธรรมะ ให้มากที่สุด เพราะเวลาของคนเรามีน้อยครับ ไม้รู้ว่าเมื่อเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เมิ่อเรายังมีขีวิตอยู่ ก็ควรที่จะเร่งศึกษาธรรมะ ให้มากที่สุดครับ

กราบเท้าท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ได้เมตตากรุณาถ่ายทอดความรู้ในพระธรรมให้ผม  ผมสำเหนียกและระลึกถึงบุญคุณของท่านอยู่ในใจตลอดมาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 94  
 
yupa
วันที่ 28 ส.ค. 2560

  เมื่อกว่าสิบปี ที่ผ่านมา วันนั้น กำลังเกิดโทสะกับแม่และคนในครอบครัวอย่างมาก ในขณะเกิดโทสะ เวลาเที่ยงกว่า ก็ได้ยินเสียงผู้หญิง ไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องอะไร แต่ไพเราะมาก จำเสียงนั้นได้อย่างดี แต่ไม่ได้ใสใจนัก ก็ผ่านไป และ อีกวันหนึ่ง ช่วงตีห้า ก็ได้ยินเสียง ผู้หญิงคนนั้นอีก ก็ตกใจเหมือนกันว่า เอ้าได้ยินอีกแล้ว ก็หยุดฟัง เกิดความสนใจ ที่สนใจมากกว่า เนื่้อหาที่ฟัง คือ เสียงอันไพเราะ ฟังแล้วสงบ มีความเมตตาต่อผู้ฟัง แฝงอยู่ไม่น้อยเลย  และ จดเบอร์โทร.มศพ. ขอซื้อเทป ตอนนัั้นยังเป็นเทปอยู่  และ ไม่นาน ก็เป็นแผ่น MP3 เปิดฟังตลอด จนปี 2545 ก็ได้ไป รัฐสภา เพื่ออยากเจอท่าน อาจารย์สุจินต์ และ ฟังธรรม ด้วย หลังจากนั้น ก็ฟังธรรม จากท่านอาจาย์สุจินต์ มาจนถึงวันนี้  ยังอดนึกไม่ได้ว่า ถ้า วันนั้นไม่พบเสียงอันไพเราะนั้น วันนี้ ชีวิตเราจะเป็นยังไงหนอ ท่านอาจาย์สุจินต์ ได้หงายของที่คว่ำ บอกทางสว่างในที่มืด อย่างแท้จริง  โดยไม่ได้หวังอะไรเลยจริงๆ

ขอกราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 95  
 
papon
วันที่ 5 ธ.ค. 2560

ขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 96  
 
Nataya
วันที่ 11 ธ.ค. 2560

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 97  
 
นิคม
วันที่ 16 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 98  
 
kanchana.c
วันที่ 28 ม.ค. 2561

คุณ Ann Marshall และ คุณ Pinna Indorf

ได้คุยกับ คุณ Ann Marshall ชาวแคนาดา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ 929 และคุณ Pinna Indorf ชาวอเมริกัน สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ 1096 ว่า ทำไมถึงได้มาศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ คุณแอนน์เล่าว่า เธอสนใจพระพุทธศาสนา เมื่อมาอยู่เมืองไทยเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน ได้ไปสำนักปฏิบัติที่วัดแห่งหนึ่งใน อ. ศรีราชา ชลบุรี และทำสมาธิกับแม่ชีชาวอเมริกันซึ่งไปเรียนลัทธิเซน ที่ญี่ปุ่น และมาสอนทำสมาธิแบบเซนที่เมืองไทย คุณแอนน์และคุณไพน่าได้ไปปฏิบัติธรรมที่สำนักนี้อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งไม่นานนัก ต่อมาได้รู้จักกับคุณ Jonathan Abbot ชาวออสเตรเลีย แต่ตอนนี้อยู่ที่ฮ่องกง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ 931 คุณจอนได้ชวนไปสนทนาธรรมภาษาอังกฤษกับท่านอาจารย์สุจินต์ ที่วัดบวรนิเวศ และรู้เลยว่า ที่นี่ใช่เลย เป็นการสอนให้เข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง แล้วก็ศึกษาเรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น จนถึงเดี๋ยวนี้เป็นเวลา 45 ปีแล้ว ส่วนคุณไพน่าที่ไม่ค่อยพูด เมื่อถามว่าทำไมถึงมาศึกษาที่นี่ เธอตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “Where else?” มีที่ไหนที่สอนแบบนี้อีกหรือ ซึ่งก็ตอบเธอในใจว่า คิดว่าไม่มีหรอกที่จะสอนถึงความเป็นอนัตตาของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต (หรืออาจจะในสังสารวัฏฏ์ด้วย) ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดแล้วดับไปทันที ไม่กลับมาอีกเลย

ขออนุโมทนากับท่านทั้งสองที่ได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อน ทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม แม้จะอยู่ห่างไกลเพียงใดก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็มีโอกาสได้มาศึกษาและเข้าใจสิ่งที่ประเสริฐสุดในชีวิตเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ที่ไหน เชื้อชาติใดก็ตาม ถ้าได้ทำบุญไว้แล้ว ก็มีโอกาสได้พบพระธรรม ดังนั้น ทำดีและศึกษาพระธรรมเท่าที่ทำได้

 
  ความคิดเห็นที่ 100  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 2 ก.พ. 2561

ดิฉันชอบเปิดธรรมฟังตั้งแต่อายุ 30 ปี เช้าวันหนึ่งหาคลื่นไปเจอผู้หญิงกำลังพูดธรรมอยู่ ก็ฟังจนจบรายการ แต่ก็ฟังไม่เข้าใจเพราะมีภาษาบาลีควบคู่กับภาษาไทย ก็ทำความเข้าใจกับภาษาไทยเท่าที่จะฟังได้  เช้าวันต่อมาก็เปิดไม่เจอเพราะลืมจำเลขคลื่นไว้เพราะเปิดเจอตอนกำลังพูด  วันต่อๆ มาหาเจอก็จำไว้ แต่บางวันกลับตื่นสายก็ไม่ได้ฟัง พองานยุ่งก็ไม่ค่อยได้ฟัง เพราะเป็นช่วงเช้า ต่อมาก็รับคลื่นไม่ได้ เลยไม่ได้ฟังไปนาน มาอ่านนิตยสารเจอสัมภาษณ์อาจารย์ธงชัย ที่เป็นกรรมการมูลนิธิ จึงขอหนังสือของมูลนิธิไป ก็ได้รับมาสองเล่มจึงพบว่าด้านหลังมีรายการวิทยุที่ออกอากาศรายการธรรมะ เคยไปฟังที่วัดบวร 2 ครั้ง แต่มีภาระกิจมากจึงไม่ได้ไป จึงไม่ทราบว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน ต่อมาทราบว่าจัดสนทนาธรรมที่บ้านคุณหญิงที่เมืองทอง ก็ตามไปฟัง แล้วก็ขาดการติดต่อไปนานหลายปีมากๆ จนมาทราบว่ามีสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ก็เริ่มมาฟังอีก ตอนนั้นก็อายุห้าสิบแล้ว ไปอีกไม่กี่ครั้ง งานยุ่งมากทำงานวันเสาร์อาทิตย์ด้วย จึงขาดการรับฟังไปอีก จนเกษียณก็ตามมาฟังที่มูลนิธิฯอีกจนถึงปัจจุบันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 101  
 
apichet
วันที่ 15 ก.พ. 2561

กราบเท้าขอบคุณอาจารย์สุจินต์ ฯ และอนุโมทนาสาธุกับทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 103  
 
wannee.s
วันที่ 26 มี.ค. 2561

ตอนเด็กๆ   คุณย่าชอบพาไปไหว้พระที่วัดของคนจีน  และชอบใส่บาตร  ต่อมาอายุ 20  ไปวัดพระแก้ว  ได้ยินเสียงสวดมนต์ ฟังแล้วชอบมาก  ก็มาสวดมนต์ที่วัดพระแก้วทุกอาทิตย์  และก็มีคนแนะนำให้ไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุ เรียนได้ระยะหนึ่งก็มีคนแนะนำให้ไปนั่งสมาธิที่วัดสังเวช  ต่อมาก็มีสหายธรรมเขาแนะนำให้ไปฟังธรรมที่วัดบวรนิเวศน์  บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์  หลังจากนั้นก็มาที่วัดบวรนิเวศน์  27  มกราคม 2527  ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปที่อื่นอีกเลย  เพราะรู้ว่าธรรมะที่ท่านอาจารย์สอนตรงตามพระไตรปิฏกและถูกต้องที่สุดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 104  
 
kanchana.c
วันที่ 2 พ.ค. 2561

คุณ Azita Gill

ได้สัมภาษณ์ คุณอซิตา กิล (Ms. Azita Gill) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 1259 อดีตพยาบาลจากเมือง Cairns ประเทศออสเตรเลีย ทราบว่าได้ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ครั้งแรกเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน ก่อนหน้านั้นเธอเดินทางไปอินเดียเพื่อศึกษาศาสนาฮินดู และเดินทางมาลาว แล้วเดินทางมาไทยเพราะป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบ ได้พบกับท่านธัมมธโร (Alan Dirver) พระภิกษุชาวออสเตรเลียที่สอนอภิธรรมอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เธอได้ยินเรื่องรูปนาม สนใจมากจนบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่วัด ถามเธอว่า ทำไมถึงบวช เธอตอบว่า เพราะฉันบ้า คิดว่าจะได้ใกล้ชิดธรรม แต่กลายเป็นล้างจานทั้งวัน บวชอยู่ 2 เดือนกว่าก็ออกมาเป็นคนธรรมดา และท่านธัมมธโร แนะนำให้รู้จักอาจารย์ของท่าน คือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จึงเริ่มศึกษาพระอภิธรรมที่วัดบวรนิเวศ ร่วมกับคณะชาวต่างประเทศ เป็นกลุ่มศึกษาธรรม (Dhamma Study Group DSG) สอนโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แต่ขณะนั้นภาษาไทยยังไม่แข็งแรง เรียนไม่เข้าใจ จึงกลับไปประเทศออสเตรเลีย แต่งงานและมีลูกสาว 2 คน อยู่กัน 20 ปีก็แยกทางกัน รู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไร ตอนนั้นได้ข่าวว่า คุณ Jonahthan และคุณ Sarah Abbot ทำเว็บไซต์ของกลุ่มศึกษาธรรม จึงเริ่มเข้ามาอ่าน และเริ่มศึกษาธรรมเพิ่มเติม จนถึงเดี๋ยวนี้เข้าใจมากขึ้น และรู้ว่าความเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้มีค่ามากที่สุดในชีวิต เมื่อวันเสาร์ก่อนเธอถามท่านอาจารย์ว่า ฟังเรื่องเห็นมาตั้งนาน ทำไมยังไม่เข้าใจเห็นสักที ท่่านอาจารย์ตอบว่า เพราะยังเป็นเราเห็น เห็นยังไม่ได้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ความเป็นเราจึงปิดบังไม่ให้เห็นความจริงของเห็น

เธอติดตามไปฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายธรรมพร้อมกับกลุ่มศึกษาธรรมชาวต่างชาติที่เมืองไทยและที่เวียดนามหลายครั้ง ตอนนี้เข้าใจภาษาไทยมากขึ้น จึงมาอยู่เมืองไทยและมาฟังธรรมที่มูลนิธิทั้งเสาร์อาทิตย์ ขออนุโมทนาที่สะสมกุศลมาดีทำให้ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจมากขึ้น แม้จะไม่ได้ใช้ภาษาไทยเหมือนคนไทยก็ตาม แต่ก็สามารถเข้าใจได้

 
  ความคิดเห็นที่ 106  
 
kanchana.c
วันที่ 6 พ.ค. 2561

คุณนีลพา เอ็งไพบูลย์

คุณนีลพา เอ็งไพบูลย์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 484 เป็นผู้ทำเว็บไซต์บ้านธัมมะในภาคภาษาจีน เธอเคยเป็นนักข่าวประจำหนังสือพิมพ์จีนหลายฉบับ เป็นนักเขียนที่มีผลงานได้รับรางวัลมาหลายครั้ง เคยเป็นนักเขียนภาพพู่กันจีน (สงสัยว่าคุณนีลพาเกิดที่เมืองไทย หรือมาจากเมืองจีน? จึงพูดภาษาจีนเก่งกว่าภาษาไทย ...เมื่อไปค้นดูกระทู้ที่ทางมูลนิธิฯลงประกาศเชิญชวน "ขอเชิญรับชมเว็บไซต์ภาคภาษาจีน" จึงทราบว่าคุณนีลพาเป็นคนจีนที่เกิดในเมืองไทย บ้านเดิมอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่)

เธอเริ่มเรียนอภิธรรมที่วัดสามพระยาได้ 2 ปี แต่เพราะภาษาไทยไม่แข็งแรง จึงสอบไม่ผ่าน ระหว่างนั้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนได้หมุนเจอรายการ “แนวทางเจริญวิปัสสนา” จึงติดตามฟังเรื่อยมา และหยุดเรียนอภิธรรมที่วัด เมื่อฟังเข้าใจก็คิดจะช่วยให้คนได้เข้าใจธรรมะในภาษาจีนด้วย จึงเริ่มทำเว็บไซต์ www.dhammahome.com/chinese เมื่อ 6 ปีก่อน และทำโดยต่อเนื่องมาไม่ขาดตอนเลย

เธอแปลหนังสือที่ท่านอาจารย์บรรยายหลายเล่ม เช่น พระอภิธรรมในชิวิตประจำวัน เขียนโดยนีน่า วันกอร์คอม บางส่วนของปรมัตถธรรมสังเขป ธรรมคืออะไร เขียนโดยคุณคำปั่น อักษรวิลัย สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 17 เข้าใจธรรม Understanding Dhamma ซึ่งคุณนีน่า วัน กอร์คอม สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 1922 เรียบเรียงจากการสนทนาธรรมระหว่างท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคุณ Tuky ไกด์ชาวตุรกี ระหว่างเดินทางไปพักผ่อนที่ตุรกีกับคณะสหายธรรมจาก มศพ. แปลเป็นภาษาไทยโดยคุณสุจิตต์ อึ้งภากรณ์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 25 และการ์ตูน “ผู้แอบแฝง” “บาปอยู่ที่คนทำ” ของคุณสากล อัตตปัญโญ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 688

เพราะเหตุว่าธรรมลึกซึ้งมาก เมื่อเข้าใจธรรมมากขึ้น คุณนีลพาจึงรู้ว่า คำที่ใช้นั้นยังไม่ลึกซึ้งพอ จึงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้ง โดยมี ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคุณประพันธ์ ธรรมจีรัง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 2145 (ล่วงลับไปแล้วเมื่อต้นปี 2561) ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นที่ปรึกษา

เมื่อเร็วๆ นี้ คุณนีลพาพบโดยบังเอิญว่า เว็บไซต์ www.dhammahome.com/chinese ไปปรากฏในเว็บไซต์ www.baidu.com จึงตื่นเต้นมาก เพราะเป็นเว็บไซต์ที่ใช้ค้นหาใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเป็นเวปไซต์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก ทำให้ตอบคำถามที่มีคนจีนมาที่มูลนิธิฯเมื่อหลายปีก่อนได้ คงเพราะอ่านจากไป่ตู้ (baidu.com) นี่เอง เสียดายที่วันนั้นไม่มีคนพูดภาษาจีนกลางได้ เลยไม่ได้สื่อสารกันต่อไป

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณนีลพา ที่มีกุศลศรัทธาเผยแพร่พระธรรมให้ผู้สะสมบุญไว้แล้วมีโอกาสได้ศึกษา
พระธรรมยิ่งเผยแพร่ ยิ่งรุ่งเรือง

 
  ความคิดเห็นที่ 107  
 
มกร
วันที่ 8 พ.ค. 2561

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างยิ่งค่ะ

ดิฉัน ละอองศรี ศรีเดช อายุ 50 ปี อาชีพแม่บ้านสนใจพระธรรมมาตั้งแต่จำความได้ ชอบติดตามอ่านเรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธเจ้ามาบ้างพอสมควร และเริ่มสนใจพระธรรมจากการอ่านหรือฟังพุทธสุภาษิต อ่านพระไตรปิฏกมาบ้างจนต้องวางลง เพราะว่ายากเหลือเกิน เกินที่จะเข้าใจได้หมด ก็คิดว่าจะต้องหาวิธีใดที่ได้เข้าใกล้พระธรรมได้ง่ายขึ้น เลยฟังพระภิกษุแล้วเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกก็ยังค้านกันอีก อยู่มาวันหนึ่งได้หมุนคลื่นวิทยุได้ยินเสียงของท่านอาจารย์บรรยายธรรมเรื่องวิปัสสนาญาณแล้วมาติดในประโยคหนึ่งว่า...รู้แจ้งในวิปัสสนาญาณคืออะไร ฟังได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องออกเรือนมาอยู่กับสามี เข้ามาทำไร่ ปลูกกระท่อมอยู่ท้ายไร่ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปาใช้เลย มีความเป็นอยู่ลำบากมาก อยู่ได้ 5 ปีก็เลิกทำไร่ ก็เข้ามาทำธุรกิจในจังหวัดสุพรรณบุรี ก็ยังไม่มีโอกาสฟังธรรมของท่านอาจารย์อีกเลย มีเพื่อนคนหนึ่งได้ให้ยืมแผ่นซีดี เรื่องเมตตา ดิฉันเปิดฟังและจำเสียงของอาจารย์ได้ เลยอ่านหาเวบไซท์ที่อยู่ที่ติดแผ่นซีดีมา ดิฉันขอให้สามีติดอินเตอร์เน็ตและได้ซื้อคอมพิวเตอร์มา ก็สืบค้นจนเจอแล้วฟังธัมมะจากเวปบ้านธัมมะ กว่าจะได้ฟังธัมมะจากท่านอาจารย์ ตั้งแต่ ปี 2530 จากวิทยุ จำกัดเวลามาก บางวันก็ไม่ได้ฟังเลย พอออกเรือนมาอยู่ในไร่แทบจะไม่ได้ยินเสียงได้ฟังธัมมะเลย จนปี 2539 ได้เข้ามาทำธุรกิจในจังหวัดสุพรรณบุรี จากภูมิลำเนาเดิมกำแพงเพชรก็สัมมาอาชีพจนไม่มีเวลาฟังธัมมะเลยจนเวลาล่วงมา ปีพศ.2554 ก็ได้ให้ยืมแผ่นซีดีแผ่นนั้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของการฟังธัมมะจากท่านอาจารย์สุจินต์ จากเวปบ้านธัมมะ จนทุกวันนี้ค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์วิทยากรบ้านธัมมะ ท่านผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ชมรมบ้านธัมมะมศพ. กราบอนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 108  
 
Selaruck
วันที่ 8 พ.ค. 2561

ดิฉันพำนักและทำงานอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ชีวิตระหกระเหินทั้งทางโลกและทางธรรมมาเกือบจะหกสิบปีแล้ว ซึ่งบ่อยครั้งเคยถามตนว่าทำไมเราต้องเกิดเป็นบุคคลคนนี้ และเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2561 หลังกลับมาจากการเยี่ยมญาติที่เมืองไทย ดิฉันได้ลองเปิดยูทูปที่มีท่านอาจารย์สุจินต์ อธิบายธรรมะสิกขาบทข้อห้ามภิกษุรับเงินและทอง ซึ่งมิตรธรรมท่านหนึ่งแชร์ผ่านเฟสบุ๊ค  และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันเปิดฟังเทปเก่าๆ ของท่านเกือบทุกวัน และได้เข้าใจความโง่เขลาของตน พร้อมกับเริ่มมีความเข้าใจในความเกิดดับของทุกธรรมรอบตนทุกขณะอย่างมีสติ มีความหวั่นไหวน้อยลง และเริ่มมีคำตอบว่า ตนมาจากไหน.....

ธรรมะคืออะไร

กรรมคือะไร

นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ตนได้สะสมมา ที่จะได้มาได้ยินได้ฟังธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชึ่งท่านอาจารย์สุจินต์ได้นำมาเผยแพร่ด้วยการอธิบายอย่างชัดแจ้ง ตรง อย่างหาข้อขัดแย้งไม่ได้

กราบขอบคุณแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

และกราบขอบคุณทีมงานเผยแพร่ธรรมทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 109  
 
kanchana.c
วันที่ 5 มิ.ย. 2561

เมื่อวาน 3 มิ.ย. 61 ได้พบสหายธรรมจากแดนไกลมาก 1 ท่าน คือ Ms. Van Nguyen สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 3846 เธอเป็นคนอเมริกัน สัญชาติเวียดนาม มาจากเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขอสัมภาษณ์ (ระหว่างเดินทางไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิต) ว่า ฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้อย่างไร

เธอเล่าว่า เธอสนใจศึกษาพระพุทธศาสนามาก ได้ไปปฏิบัติตามสำนักต่างๆ ในหลายประเทศ เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ได้กลับไปเวียดนาม ไปที่วัดแห่งหนึ่ง พบกับสุภาพสตรีเวียดนามคนหนึ่งแนะนำให้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ที่มาบรรยายธรรมที่เวียดนามหลายครั้งแล้ว พร้อมกับมอบ usb ที่บันทึกการสนทนาให้ไปฟังที่อเมริกา ซึ่งเธอเล่าว่า โชคดีได้ฟังระหว่างทำงานด้วย และต่อมาติดตามฟังจาก website www.dhammahome.vn และทาง YouTube ด้วย เมื่อฟังได้กว่า 3 ปีก็เข้าใจว่า ธรรมคือขณะนี้เอง ไม่ต้องไปปฏิบัตินั่งสมาธิเหมือนอย่างที่เคย รู้ว่า สมาธิคืออะไร เห็นกับคิดไม่เหมือนกัน เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด และทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นไม่ใช่ทุกข์จากความเจ็บปวดซึ่งเป็นทุกข์กาย หรือทุกข์ใจเท่านั้น แต่หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดดับ ทุกอย่างจึงเป็นทุกข์ เมื่อฟังมากขึ้นก็เข้าใจเพิ่มขึ้น รู้สึกอยากมากราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลยในชีวิต (เพราะที่อื่นมีแต่การขอให้ได้สิ่งที่ปรารถนา) ทำให้ความคิดเปลี่ยนไป จิตใจก็เปลี่ยนไป ชีวิตก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อมีวันหยุดจึงตัดสินใจมาเมืองไทยทันทีโดยไม่ลังเลเลย เธอบอกว่า ท่านอาจารย์อายุมากแล้ว กลัวจะไม่มีโอกาสได้มากราบท่าน ความจริงตั้งใจจะไปร่วมสนทนาธรรมที่เวียดนามด้วย แต่ไม่ตรงกับวันหยุดจากงานประจำที่ยังทำอยู่ เมื่อทราบว่า ท่านอาจารย์กลับจากเวียดนามแล้วจึงมาที่เมืองไทย และโชคดีที่ได้กราบและขอบพระคุณท่านด้วยตนเองแล้ว ทำให้เห็นผลของการสะสมปัญญามาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่หาฟังได้ยากยิ่งและเมื่อฟังแล้วก็เข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งได้อย่างรวดเร็ว บอกกับเธอว่า เราฟังมากว่า 30 ปีมีความเข้าใจเท่ากับเธอฟังได้ 3 ปี ขออนุโมทนาในบุญที่ได้กระทำไว้แล้วแต่ปางก่อนและเพิ่มพูนขึ้นในปัจจุบันด้วย

วันเดียวกันนั้นได้คุยกับแม่ชี Thi Ngoc Tran Vo สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 3845 ซึ่งแม่ชีอายุน้อยคนนี้เคยเห็นกันเมื่อไปสนทนาธรรมที่เวียดนามเมื่อหลายปีก่อน (ตอนนั้นคงแต่งตัวด้วยชุดแม่ชีเวียดนาม แต่ตอนนี้ใส่ชุดแม่ชีไทย) เธอมีศรัทธามากอยากฟังธรรมด้วยภาษาไทย จึงมาอยู่เมืองไทยโดยสมัครเรียนที่วิทยาลัยปชาบดีที่โคราช เธอบอกว่าอยากเรียนอภิธรรมมาก แต่ก็สมัครเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยด้วย เธอเดินทางจากโคราชมาฟังที่มูลนิธิ 2 -3 ครั้ง ครั้งนี้นัดหมายกับ Ms. Van Nguyen ที่มาจากอเมริกา (เคยรู้จักกันก่อนที่วัดแห่งนั้นในเวียดนาม) แล้วพากันกลับไปที่โคราช และจะมาที่มูลนิธิในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า

ทั้งสองท่านก็เป็นตัวอย่างของการสะสมการฟังธรรมมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งความเข้าใจธรรมนั้นไม่สูญหายไปเลย แต่เกิดดับสืบต่อในจิตขณะต่อๆ ไป เมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังก็ทำให้สนใจ มีศรัทธาที่จะติดตามฟังต่อ และเข้าใจเพิ่มขึ้น สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 110  
 
kanchana.c
วันที่ 14 ธ.ค. 2561

ตอนหนึ่งจากคำบรรยาย "แนวทางเจริญวิปัสสนา" ครั้งที่ 1972

๒๓๖/๒ หน้าที่ว่าการอำเภอปากพนัง

ถนนชายทะเล นครศรีธรรมราช

  ๓ ธันวาคม ๒๕๓๓

เรียนท่าน พ.อ.ธงชัย แสงรัตน์  ทราบ

ตั้งแต่ผมได้รับฟังรายการธรรมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน  ซึ่งบรรยายโดยอาจารย์ สุจินต์  บริหารวนเขตต์  มาจนบัดนี้ ป็นเวลา ๓ ปีกว่าแล้ว  ผมฟังทุกคืน  เว้นไว้แต่วันที่ติดธุระและขัดข้องจริงๆ เท่านั้น  บางบทเข้าใจ  บางบทก็ยังไม่เข้าใจ  ผมคิดว่าบทที่ยังไม่เข้าใจนั้น  เมื่อฟังไปๆ นานๆ  มันคงจะเข้าใจสักวันหนึ่งเป็นแน่  และขอขอบคุณท่านผู้ฟังบางท่านที่เขียนมาถามปัญหาต่างๆ  ท่านอาจารย์สุจินต์ตอบให้  ผมก็พลอยได้ฟังกับท่านด้วย  และได้เข้าใจชัดขึ้น  รู้สึกว่าตาหูสว่างขึ้นมาก  และผมนึกชมตัวเองว่าเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาพบรายการนี้  เพราะผมพบโดยบังเอิญจริงๆ  คือ  ผมรับฟังข่าว  ๒๐  นาฬิกา  ในข่าวในข่าวนอกแล้ว  ก็เป็นรายการปักษ์ใต้บ้านเราของนายเจริญ ปิ่นทอง  ตามปกติ  พอจบรายการนายเจริญแล้วก็มีเพลง  ผมเป็นคนไม่ชอบเพลง  ผมก็เลยปิดเสียทุกคืน  แต่พอมาคืนที่จะพบนั้น  พอจบรายการนายเจริญ  ก็เป็นรายการธรรมปฏิบัติในชีวิตประจำวันเริ่มขึ้นทันที  ในขณะที่ผมยังไม่ได้ปิดวิทยุ  แล้วก็ได้รับฟังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนทุกวันนี้  นับว่าเป็นบุญผมจริงๆ  มิฉะนั้นแล้วผมคงจะตายเสียเปล่า  ไม่ได้พบอาจารย์ที่ดีๆ อย่างนี้เลย  และความจริงก่อนจะพบรายการนี้  ผมก็ปรารถนาอยู่ก่อนแล้วว่า  อยากจะฟังธรรมชั้นสูง  เพราะที่เป็นธรรมขั้นต่ำ  ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกก็รู้สึกเบื่อ  และบางทีถูกสอนให้เพิ่มพูนกิเลสขึ้นก็มี  เช่น  สอนให้ทำบุญให้ทานแล้วอุทิศให้ได้มนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  เกิดชาติหน้าให้มั่งมีศรีสุขอย่างนี้เป็นต้น  ซึ่งผิดกับที่ท่านอาจารย์บรรยายมากทีเดียว  ธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์สอนให้ละ  ให้คลายจากรูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  และโลภ  โกรธ  หลง ให้เห็นในทุกขัง  อนิจจัง อนัตตา  ขัดเกลากิเลสอย่างหยาบ  อย่างกลาง  อย่างละเอียดครบถ้วน  ซึ่งผมขออธิษฐานว่า  ให้รายการนี้อยู่ยืนยงนานแสนนาน  ผมจึงขออนุโมทนามาเป็นเงิน  ๒๐๐ บาทถ้วน  เพื่อสมทบในมูลนิธิของรายการนี้ให้อยู่ยืนยาวตลอดไป  ได้รับเงินแล้ว  ตอบให้ผมทราบด้วย  ผมรับฟังจากสถานีค่ายวชิราวุธ  กองทัพภาค  ๔  นครศรีธรรมราช

ขอแสดงความนับถือ

 
  ความคิดเห็นที่ 111  
 
kanchana.c
วันที่ 14 ธ.ค. 2561

  หมุนเจอ จากคำบรรยาย "แนวทางเจริญวิปัสสนา" ครั้งที่ 1974

ความข้องใจของคุณผู้หญิงที่ออกมาพูดเมื่อครู่นี้  เป็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับผมเคยประสบมาแล้ว  คือนั่งแล้ว  ตอนนั้นไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร  แต่ว่าชอบ เขาสอนให้นั่งสมาธิก็นั่ง  เมื่อนั่งแล้วจะไปถึงจุดหนึ่ง  ความเมื่อยหายไปหมด  รู้สึกว่าตัวตนไม่มี  ก็รู้สึกปีติมากว่า  ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน  แต่พอรุ่งเช้าขึ้นมา  ความทุกข์ก็กลับคืนมาเหมือนเดิม  เวลาผมปฏิบัติ  มันก็มีความสุขอย่างนั้นเกิดขึ้นจริงๆ  โดยเฉพาะบางครั้งนั่งหลับตา  รู้สึกเหมือนตาเราไม่ได้หลับ  เห็นเหมือนกับลืมตา  ต้องถามตัวเองว่า  นี่อะไรกัน  ก็หาคำตอบไม่ได้  แต่หลังจากนั้นมา  ผมก็มาฟังวิทยุโดยบังเอิญ  ได้ฟังธรรมที่ท่านอาจารย์พูดก็รู้สึกสะกิดใจ  ตอนแรกฟังแล้วไม่รู้เรื่อง  เรื่องรูปเรื่องนามก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร  แต่ด้วยความสนใจก็ฟังไปเรื่อยๆ  ในที่สุดเมื่อฟังเข้าใจ  ก็รู้ว่าเรามีที่พึ่งแล้ว  เมื่อใดก็ตามที่มีความทุกข์  ความทุกข์นี่มันแปลก  มันไม่มีตัวตน  ความเป็นอยู่สุขสบายทุกอย่าง  แต่เราก็หาไม่ได้ว่า  ทำไมต้องทุกข์  คือ  เป็นความทุกข์ทางใจ  มันไม่มีเหตุอะไรถ้าเรารู้ว่าเราทุกข์  ยกตัวอย่างตื่นขึ้นมาตอนเช้า  จะมีสิ่งที่เศร้าหรือดีใจตามติดมาทันที  แต่สติเราจะรู้ว่า  อันนี้ไม่ปกติแล้ว  นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ  แต่ที่เห็นกันจริงๆ  ก็คือหลังจากได้ฟังอาจารย์อธิบายเรื่องรูปเรื่องนาม  ก็เกิดสงสัยว่า  รูปคืออะไร  นามคืออะไร

ก็กล่าวโดยสรุปว่า  เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่า  เราประจักษ์แจ้งเรื่องรูปเรื่องนามแล้ว  ความเป็นตัวตนของเราจะไม่มีเหลือเลย  และเมื่อใดก็ตามที่ความเป็นตัวตนไม่มี นั่นคือความสุข  คนเราทุกข์  เพราะมีตัวตน  ความทุกข์อยู่ตรงนี้  ทีนี้เรื่องรายละเอียด  ต่างๆ  ถ้าฟังเรื่องรูปเรื่องนาม  คิดว่าทุกท่านก็คงเข้าใจ  คือ  เข้าใจตามความหมายที่พูด  แต่ว่าเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า  เป็นสิ่งที่ยาก  แต่ถ้ารู้แล้วมันง่ายเหลือเกิน

พูดโดยสรุปก็คือว่า  เวลาเราศึกษาธรรม  อย่านึกว่าเราต้องเป็นโน้นเป็นนี้  หรือสำเร็จอย่างโน้นอย่างนี้  ขอให้เอาตัวเราเองเข้าไปพิสูจน์ในธรรม  จะอธิบายว่าเราเข้าใจไหม  ยกตัวอย่างว่า  ขณะที่อาจารย์อธิบายเรื่องรูปเรื่องนาม  ให้เจริญสติ  ขณะที่เราฟัง เราก็นึกว่า  เราต้องเจริญสติไปพร้อมกับอาจารย์  และขณะที่อาจารย์พูดนี้  เราก็ต้องติดตามสภาพที่เป็นจริงว่า  เราถึงความจริงที่พูดไหม  อย่างเช่นยกตัวอย่างว่า  การเห็น เห็นเป็นคนหรือสิ่งต่างๆ  ให้แยกให้ออกว่า  ที่เห็นนี่เห็นสีจริงๆ  แต่ไม่ได้หมายความว่า รู้  เพราะอาจารย์พูด  แต่ขอให้รู้ด้วยตัวเองว่า  เห็นเป็นสีจริงๆ กับเห็นเป็นคน  นี่ต่างกันอย่างไร  ถ้าเรารู้เรื่องตาแล้ว  เรื่องหู  เรื่องจมูก  ก็โดยนัยเดียวกัน

เพราะฉะนั้น  เมื่อเรารู้ถึงจุดนี้แล้ว  เราก็จะรู้ว่า  นี่เป็นสิ่งที่เป็นที่พึ่งของเราแล้ว ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 112  
 
kanchana.c
วันที่ 4 ก.พ. 2562

จากตอนหนึ่งของคำบรรยาย "แนวทางเจริญวิปัสสนา" ครั้งที่ 2063

...มีจดหมายจากท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง  ซึ่งเขียนมาเล่าให้ฟังถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการฟังพระธรรม  ขอเชิญท่านผู้ฟังช่วยอ่านด้วย

วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๓๔

เรียน  ท่านอาจารย์สุจินต์  บริหารวนเขตต์ที่เคารพ

ผมรู้สึกซาบซึ้งในการแสดงธรรมของท่านอาจารย์เป็นอันมาก  เพราะเป็นประโยชน์แก่ผมมาก  เมื่อก่อนมีความเครียด  และมีปัญหาทางครอบครัวมาก  ตอนนั้นผมอยากจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้พินาศไปตามใจที่คิดที่นึก  ผมรู้สึกปวดหัวและประสาทเครียด  นอนไม่หลับ  วุ่นวายไปหมด  วันหนึ่งผมคิดว่าจะทำอย่างไรดี  หาทางระบายความทุกข์ที่อยู่ในใจให้ออกไป  ประสาทก็เครียดหนักขึ้นทุกที  นอนตาแห้ง  คิดว่า  ไหนๆ นอนไม่หลับ  เปิดวิทยุฟังเพลงดีกว่า  ฟังเพลงก็ไม่ได้เรื่อง  หมุนคลื่นวิทยุไปเรื่อย  บังเอิญพบรายการ  “ธรรมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน”  ของท่านอาจารย์  รู้สึกสบายใจขึ้น  ทีนี้ผมฟังมาตลอดเลย  ประสาทและอาการดังกล่าวค่อยๆ คลายไปทีละนิดทีละนิด  เดี๋ยวนี้จิตใจสบายขึ้น  ตอนนี้สุขภาพจิตและกายดีขึ้นมาก  เมื่อผมนำธรรมมาใช้ การงานและปัญหาครอบครัวก็เริ่มดีขึ้น  การศึกษาธรรมของผมยังไม่กระจ่างนัก  แต่พอคลายทุกข์ได้บ้าง  ผมอยากได้หนังสือธรรมเรื่อง  “การเจริญแนวทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน”  เพื่อจะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงให้ถูกต้อง

ขอจบเพียงเท่านี้  ขออานุภาพแห่งธรรมจงคุ้มครองท่านอาจารย์เถิด

 
  ความคิดเห็นที่ 113  
 
malangluck
วันที่ 12 ก.พ. 2562

เมื่อก่อนเป็นชาวพุทธเหมือนหลายๆ คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องพระธรรมเท่าไหร่คะ ทำบุญ ตักบาตร บ้างถ้ามีเวลา และก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า จริงๆ แล้ว ธรรมะ คืออะไร  อภิธรรมคืออะไร หลายปีมาแล้วได้เซิสเจอในกูเกิล โดยบังเอิญคะ  จากนั้นได้ก็ฟังซีดีพระอภิธรรมทางหน้าเว๊บ ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ และมีการตั้งกระทูถามกัน ไปมา ฟังแล้วทำให้เข้าใจมากขึ้น ทำให้อยากรู้ยิ่งๆ ขึ้น ก็ฟังมาเรื่อยๆ ๆ คะ หลายปี  จนปีที่แล้ว พอมีเวลาว่างวันอาทิตย์ และประจวบเหมาะกับมีการเปิดสอนพระอภิธรรมเป็นปีแรกของวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้านคะ เลยตัดสินใจเข้าไปศึกษาพระอภิธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 114  
 
ajs30_chum
วันที่ 14 ก.พ. 2562

ขอกราบขอบคุณแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้ชี้ทางแสงสว่างแก่กระผม ให้เข้าใจธรรมะ ตอนนี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ว่าไม่ใช่เรา

 
  ความคิดเห็นที่ 115  
 
larp_e
วันที่ 11 มี.ค. 2562

ได้รับฟังอาจารย์สุจินต์ เพราะเนื่องจากครั้งนั้นสิบกว่าปีที่แล้วมีความทุกข์หนักมากไม่ทราบจะปรึกษาใครดี กัลญานมิตรคนหนึ่งบอกว่า ไปฟังธรรมะซิ เขาบอกว่าเวปพลังจิต มีมากมาย เมื่อเข้าไปในเวปก็มีพระอาจารย์มากมายหลายคน นับไม่ถ้วน มีหัวข้อมากมาย พอกวาดสายตาไปรอบๆ ก็มีหัวข้อหนึ่งที่สะดุด "จิตปรมัต" เห็นหัวข้อนี้แล้วต้องทำให้คลิกเข้าไป พอฟังดูแล้วก็นึกในใจว่า โอ้โห เสียงแม่ชีท่านนี้ (กราบขออภัยขณะนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นท่านอาจารย์สุจิตต์) ช่างใส กังวาล ชัดแจน เหมือนท่านสะกดเราให้อยู่ในเรื่องราวของธรรมะได้จริงๆ ก็ได้ทำการโหลดทั้งหมดจำไม่ได้ว่าเยอะมากเป็นร้อยไฟล์ลงเครื่องเล่น mp3 ไว้ฟัง และฟังมากกว่าสิบรอบในช่วงเวลาสองสามปี เพราะไม่ค่อยเข้าใจภาษาบาลี มีคำยากๆ แต่จริงๆ ถ้าฟังดีๆ พระอาจารย์จะอธิบายไว้เกือบทั้งหมดในคำบรรยาย  การได้ฟังในครั้งนั้น ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ จากทีละนิดๆ และต่อมาคิดว่าน่าจะมีอาจารย์สุจินต์อยู่ที่ไหนอีกแน่ จึงค้นชื่ออาจารย์สุจินต์ จึงได้พบว่าท่านเปิดมูลนิธิเผยแพร่พุทธศาสนา ที่บ้านธรรมะ ยิ่งดีใจหนักมากอีก จึงสมัครสมาชิกไว้ตั้งแต่คราวนั้น และมีเรื่องอีกมากที่จะได้ฟังอีก ซีดีเป็นร้อยแผ่น ฟังออนไลน์ก็ได้ หรือจะแยกฟังเป็นเรื่องก็ได้ วีดีโอก็มี มันยอดเยี่ยมมาก

กราบขอบพระคุณอาจารย์สุจินต์ที่ได้เผยแพร่ธรรมะและผู้สนับสนุนมูลนิธิทุกๆ ท่าน ที่ช่วยกันสืบสานต่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา 

คงได้มีโอกาสขึ้นไปกราบท่านอาจารย์ด้วยตัวเองสักครั้งนึงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 116  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 20 ส.ค. 2563

ความในใจจาก อาจารย์จอมพงศ์ อุ่นเวสสกุล สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข ๓๗๙๑ อาจารย์โรงเรียนเทพพิทยาภาณุมาศ ตำบลลำไพร อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา

ครูผู้สอนวิชาพระพทธศาสนา แต่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา เพราะไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ และไม่เคยรู้เลยว่าธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ที่ไม่ใช่เรา ผู้นั้นคือ นายจอมพงศ์ อุ่นเวสสกุล สมาชิกบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๓๗๙๑ ที่มีความสนใจในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ในวัยเด็ก ด้วยเพราะความทุกข์ยากลำบากในวัยเด็กอย่างยิ่ง อันเนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน จึงคิดตามประสาเด็กว่า พระพุทธศาสนา คือ ทางออกแห่งทุกข์ จึงแสวงหานับตั้งแต่ประถม ๕ เป็นต้นมา.
.
แต่แล้วยิ่งศึกษายิ่งไม่รู้ ยิ่งศึกษายิ่งหลงผิด แสวงหาแต่เกจิอาจารย์ ใครว่าแนวทางไหนก็สนใจ

จนวันหนึ่ง ได้ยินว่าโกรธมีจริงไหม มีจริง สิ่งที่มีจริง คือธรรมะ จากปี ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ฟังทุกวันไม่มีวันหยุด ชีวิตเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ไปสำนักปฏิบัติ มีโอกาสเกื้อกูลนักเรียนในพื้นที่พิเศษ สามจังหวัดสี่อำเภอ ในจังหวัดสงขลา ให้เข้าใจธรรมะ ทีละคำ ด้วยความเคารพในพระปัญญาธิคุณ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีชีวิตที่เกิดมาได้รู้ว่า ปัญญา คืออะไร ปัญญา รู้อะไร แม้เพียงขั้นฟัง
ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

กราบแทบเท้าท่านอ.สุจินต์ ผู้เป็นแม่ทางธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

- แบบอย่างของการศึกษาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน

- แบบอย่างของการศึกษาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน ร.ร.เทพพิทยาภาณุมาศ อ.เทพา จ.สงขลา ๘-๙ สิงหาคม ๒๕๖๒

 
  ความคิดเห็นที่ 117  
 
กสิณพจน์
วันที่ 20 ส.ค. 2563

แม่ ในทางธรรม

น้อมกายลง วันทา อภิวาท
ศิโรราบ แทบบาท เหนือเกศี
สัจธรรม คำจริง ในวจี
ธรรมะนี้ มีจริง จริงทุกคำ

กราบแทบเท้า อาจารย์ เคารพยิ่ง
ในคำจริง เดี๋ยวนี้ มีค่าล้ำ
ดั่งมารดา แสงสว่าง ในทางธรรม
ทุกถ้อยคำ นำความจริง สิ่งทั้งปวง

เกิดมาแล้ว ไม่มีเรา ที่จะเกิด
ความประเสริฐ เกิดเข้าใจ ยิ่งใหญ่หลวง
สรรพสิ่ง ยิ่งเข้าใจ ในความลวง
ธรรมทั้งปวง เป็นธรรม อนัตตา

กราบด้วยจิต นอบน้อม ถึงที่สุด
บริสุทธิ์ ด้วยกุศล ผลบุญหนา
มีชีวิต ตามพระบาท ศาสดา
เพราะมารดา ทางธรรม นำความจริง

นายจอมพงศ์ อุ่นเวสสกุล
ผู้ประพันธ์

 
  ความคิดเห็นที่ 118  
 
talaykwang
วันที่ 20 ส.ค. 2563

"ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีความบังเอิญทั้งสิ้น" เปิดเฟสบุ้ค เห็นเป็นคลิบธรรมะเด้งขึ้นมาหน้าฟีด ด้วยความสนใจเป็นทุนเดิม และสงสัยใคร่รู้ (เอ..ผู้หญิงสอนธรรมะเหรอ) แต่เพราะอาจจะยังไม่ถึงเวลา จึงบันทึกเก็บไว้ มีโอกาสจะย้อนมาฟัง ขณะนั้นเป็น ปลายเดือน กรกฎาคม 2562 หลังจากนั้นผ่านไปเดือนกว่า จึงมาไล่ฟังคลิบที่บันทึกไว้หลายๆคลิบ คลิบแรกของชมรมที่ดูคือ คลิบที่ท่านอ.สุจินต์ สนทนาธรรมกับคุณเบญ เรื่องของบ้าน ถามคุณเบญว่า นี่อะไร (หน้าต่าง กลอนประตู) นั่งลุ้นและตอบไปด้วย(ลุ้นในคลิบนานมากกว่าอ.จะอธิบาย) ว่าคำตอบคืออะไร อ.สนทนาเรื่องธรรมะ ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ อ.ก็ไล่ถามไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย คำตอบที่ได้คือ "แข็ง" พอได้ฟังคำตอบ ก็บิงโก้ในใจ "ใช่ มันใช่ที่สุด" หลังจากนั้นก็ฟังคลิบของชมรมมาตลอดทุกวัน และเพิ่มมากขึ้นเป็นทุกคืน และมากเข้าคือ วันละเกือบทุกเวลาที่ละจากภารกิจการงาน เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเวลาของชีวิตจะเหลือเท่าไหร่ ไม่ประมาทในธรรม ก่อนหน้าเคยไปนั่งอบรมและมีคนพูดถึงเรื่อง จิต เจตสิก ก็ยังนึกในใจ "คุยกับคนบ้ามั้ยเนี่ย ไม่รู้เรื่องเลยเรา" สรุปกลายเป็นเราเองที่บ้า ที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ (ต้องขออโหสิกรรมต่อท่านผู้นั้นด้วย) สนใจเรื่องธรรมะ บุญ บาปและเรื่องกรรม มาตั้งแต่ยังเด็ก เวลามีความทุกข์ใจก็จะเข้าไปนั่งที่ห้องพระ เพื่อคุยกับตัวเอง หาซื้อแต่หนังสือธรรมะเข้าบ้าน อ่านเพจธรรมะบ่อยๆ อันไหนดีก็แชร์ต่อ ส่งต่อให้เพื่อนๆ ขอหนังสือจากเพจที่แจก มาอ่านบ้าง มาแจกเพื่อนๆ ตลอด จนเมื่อมาเจอบ้านธัมมะ ก็รู้เลยว่า ที่ผ่านมาเป็นเพียงวาทะกรรมของคนที่ไม่รู้จักคำสอนของพระตถาคตจริงๆ ไม่ตรง (จึงหยุดทุกอย่างและหันมาศึกษาจากที่นี่ที่เดียว) ที่อื่นแค่เพียงสอนให้เป็นคนดี แต่ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรไปมากกว่านี้ ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเดินบนเส้นทางคำสอนที่แท้จริง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พอเริ่มสนใจมากขึ้น จึงตระเวณหาที่เรียนพระอภิธรรม แต่ไปดูสถานที่เรียนและเวลาเรียนแล้ว ยังไม่ลงตัว จนช่วงโควิด มีการสนทนาธรรมและเรียนออนไลน์ จึงทำให้มีโอกาสเข้าร่วมกับทางชมรม เป็นความเมตตาของทางชมรมที่ได้จัดให้มีการเรียนออนไลน์แบบนี้ พอเริ่มเข้าใจเรื่องการทำงานของจิต ก็ย้อนคิดกลับไปถึงอดีต ว่า ครั้งนึงก็เคยรู้สึกว่า "นี่เราเป็นใครกัน มาทำอะไรที่นี่ แล้วกายนี้คือใคร" เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะที่นั่งรอรถเมล์คนเดียว มาเข้าใจหลังฟังธรรมะ ว่า .. ก็ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ มีแต่จิตและเจตสิกทำหน้าที่กิจการงานต่างๆ ธรรมะละเอียดและลึกซึ้งยิ่งนัก แต่ไม่เคยหวั่นไหว เพราะรู้ว่า "มาถูกทางแล้ว" และ ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะรักษาคำสอนของพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไป และปรารถนาให้คนทั่วไปได้มีความเห็นถูกในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยกำลังความสามารถที่มีตลอดชีวิต กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณะวิทยากรทุกๆ ท่านด้วยค่ะ  

....เพราะเราจะรู้จักกันอีกไม่นาน อนุเคราะห์เกื้อกูลความจริงต่อทุกผู้คนที่ได้เจอ...

 
  ความคิดเห็นที่ 119  
 
Sam
วันที่ 21 ส.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามสูติบัตร ผมเกิด (คลอดจากครรภ์มารดา) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2515 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ผมจำอะไรในวันนั้นไม่ได้เลย ... วันแรกที่ผมรู้สึกตัว ผมจำวันที่ เดือน หรือปี ไม่ได้ จำได้ว่าตอนนั้นเดินได้แล้ว มองไปรอบตัวแล้วสงสัยว่า ที่นี่คือที่ไหนและเราเป็นใคร แล้วคนรอบๆ ตัวเราเป็นใคร (เป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับตอนโตแล้วที่บางวันผมตื่นขึ้นมาหลังจากหลับลึก แล้วต้องใช้เวลาสักครู่นึกให้ออกว่า นี่เราตื่นมาที่ไหน) เมื่อเริ่มฟังคนรอบตัวคุยกัน บางคนก็เข้ามาบอกว่าเราชื่อน้อง (ชื่อเล่น) นะ และแนะนำตัวว่า นี่คือแม่ นี่คือพ่อ นี่คือพี่ เราก็จำไว้ ส่วนบางคนที่ไม่ได้มาแนะนำชื่อตัวเอง ผมก็จำที่คนอื่นเรียกเขา คนนี้เรียกชื่อนี้แล้วเขาจะหันมาสนใจ คนนั้นต้องเรียกแบบนั้นซึ่งจะหมายถึงตัวเขา ฯลฯ ผมก็จำว่าคนไหนต้องเรียกว่าอะไร แล้วก็เรียกตาม ตอนนั้นแค่เรียกเฉยๆ ยังไม่มีเรื่องอะไรจะคุย แค่เขาหันมาสนใจก็สนุกแล้ว และดูท่าทางเขาก็ดีใจด้วยที่เราเรียก

ชีวิตวัยเด็กของผมคือการเรียนรู้ไปทีละสิ่ง เริ่มจำว่าสิ่งไหนที่เราชอบ สิ่งไหนที่ทำให้เราเกลียด ตัวอย่างที่จำแม่นคือมีคนป้อนถั่วลิสงต้มให้กิน ผมชอบมาก จึงจำไว้ว่าเม็ดสีม่วง (ผมจำเป็นสีไม่ได้จำชื่อเป็นคำว่า "สีม่วง") อร่อยดี อยู่มาวันหนึ่ง ผมปีนตู้กับข้าวไปเจอเม็ดสีม่วงอยู่บนหลังตู้ จึงหยิบมาเข้าปากเคี้ยว ปรากฎว่าไม่ใช่ถั่วลิสงต้มเหมือนที่คิด แต่รสชาติเผ็ดมากจนแสบปากแสบจมูก จำได้ว่าร้องให้เลย แต่คนอื่นๆ พากันขำ (มันคือหอมแดงครับ)

พอเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล จนถึงประถม ก็มีชีวิตไปตามปกติ มีอยู่ครั้งหนึ่ง (จำวัน เดือน ปี ไม่ได้) ผมนั่งเล่นอยู่ริมตลิ่งที่ฝั่งคลองแถวบ้าน มองผ่านตลิ่งไปที่ผิวน้ำ ปรากฎมีหินก้อนหนึ่งติดอยู่ที่ริมตลิ่ง เป็นหินก้อนเดียวที่ติดอยู่บนพื้นลาดที่เป็นดินทั้งหมด ผมมองเจ้าหินก้อนนั้นแล้วก็คิดว่า นี่เป็นก้อนหิน.. มันเป็นภาพก้อนหิน แล้วทำไมถึงต้องคิดว่ามันเป็นก้อนหิน ถ้าเราไม่คิดคำเรียกว่าก้อนหิน มันก็มีเจ้าสิ่งนี้อยู่นี่นา.. นึกสงสัยอยู่แค่ครู่เดียวผมก็ลุกขึ้นเดินกลับบ้าน แล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไป

พ่อของผมชอบนอนฟังวิทยุจนหลับไป ทิ้งให้วิทยุส่งเสียงทั้งคืน มีหลายๆ ครั้งในช่วงเช้ามืดที่ผมตื่นมาด้วยเหตุบางอย่าง แล้วได้ยินเสียงแหลมๆ พุทธัง สรนัง คัจฉามี เป็นทำนองเพลงแขก และได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไพเราะกังวาล พูดบรรยายอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่องเลย ผมสนใจเสียงนั้นอยู่แป๊บเดียว แล้วก็มักจะกลับไปนอนต่อ

ช่วงมัธยมต้น ผมเริ่มเป็นวัยรุ่นที่มีความว้าวุ่นในใจ มันเหมือนมีพลังในตัวที่คับข้องอยู่อยากจะระบายระเบิดออกมา จะปรึกษากับใครก็ไม่อยากรบกวนเขา เพราะผู้ใหญ่ที่บ้านก็วุ่นวายกับการประกอบอาชีพ ส่วนเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ผมก็คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น คือคิดมาก คิดไกล คิดกว้าง ฟุ้งซ่านมาก (ผลการเรียนของผมนำห่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ในโรงเรียนค่อนข้างมาก) ตอนนั้นเองที่เริ่มสนใจการทำสมาธิ หาหนังสือของภิกษุที่มีชื่อเสียงมาอ่านหลายเล่ม หลายแบบ แล้วพยายามทำตาม ทั้งแบบนั่ง นอน ยืน เดิน ซึ่งที่ทำจริงจังจะกำหนดลมหายใจแบบ พุทธ-โธ และกำหนดดวงแก้ว สัมมาอะระหัง ปรากฎว่ารู้สึกชีวิตดีมาก ความอึดอัดคับข้องใจลดลง ยิ้มแย้มแจ่มใสได้มากขึ้น และที่ภูมิใจมากคือสามารถกำหนดเวลาตื่นได้ตรงเป๊ะ โดยก่อนนอนประมาณสามถึงสี่ทุ่ม ผมจะนั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วหยิบนาฬิกาปลุกเรือนเล็กมาดู ตั้งใจมั่นว่าเมื่อเข็มสั้นถึงเลขห้า เข็มยาวถึงเลขสิบสอง (ตีห้าตรง) ผมจะลุกขึ้นจากเตียง แล้วนอนทำสมาธิจนหลับไป ผมสามารถตื่นและลุกขึ้นมาตอนที่หน้าปัทม์นาฬิกาเป็นอย่างที่ตั้งใจได้จริงๆ ในบางคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ลมพัดเย็นสบาย ผมออกมายืนชมพระจันทร์และใฝ่ฝันที่จะมีฤทธิ์ เหาะขึ้นไปนั่งสมาธิบนก้อนเมฆ (เหมือนกับคำกล่าวขานว่ามีภิษุที่มีฤทธิ์ทำได้)

จุดเปลี่ยของชีวิตครั้งที่หนึ่งคือตอนมัธยมสี่ ผมไปทำรายงานวิชาพุทธศาสนาที่หอสมุดแห่งชาติ มันเป็นรายงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันหาข้อมูล ผมได้อ่านประวัติของอุปติสสะและโกลิตะมานพ ซึ่งต่อมาคือท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ การที่อุปติสสะมานพฟังธรรมสั้นๆ จากท่านพระอัสชิแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน ทำให้ผมประหลาดใจมาก เพราะท่านไม่ได้นั่งสมาธิเลย แต่ฟังคำสอนแล้วบรรลุ .. และเมื่อศึกษาต่อไป ก็มีพระสาวกอีกหลายท่าน ที่บรรลุธรรมโดยไม่ได้นั่งสมาธิ เมื่อรู้แบบนั้น ความว้าวุ่นก็กลับมา เพราะผมสงสัยว่านั่งสมาธินี่มันถูกทางหรือเปล่า ผมจึงเริ่มติดตามคำบรรยายธรรมเพิ่มเติมจากการนั่งสมาธิ โดยศึกษาตามทั้งภิกษุและฆาราวาส โดยผมไปค้นหนังสือสอนวิชาพุทธศานา ตั้งแต่ ม.1 - ม.4 มานั่งอ่านหลายรอบ แต่ก็อธิบายคลุมเครือ ส่วนภิกษุก็ติดตามและเลื่อมใสท่านหนึ่ง เป็นภิกษุรูปร่างสง่างาม หน้าตาคล้ายแขกชาวตะวันออกกลาง เวลาบรรยายธรรมมักจะนั่งอยู่หลังธรรมจักรสีเหลืองทอง ก็ติดตามและชื่นชมเรื่อยมา จนวันหนึ่งท่านมีข่าวกับสีกาและอธิกรณ์มีมูล สุดท้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาโดยมีสีกาดูแลและเห็นข่าวยังนุ่งห่มจีวรอยู่ สรุปแล้ว หนังสือวิชาพุทธศานาก็ไม่ช่วยอะไร ภิกษุที่เลื่อมใสก็ดีแตก ณ ตอนนั้นก็เริ่มเบื่อ และหาอะไรทำสนุกๆ แทน

ชีวิตมัธยมปลายจึงกลายเป็นช่วงหนึ่งที่ผมสัมมะเรเทเมาที่สุด เที่ยวกับเพื่อนจนสว่างคาตา เมาสุดๆ ทั้งเหล้าและบุหรี่ จนต้องกอดโถชักโครกอาเจียรออกจนหมดตัวเหลือเพียงน้ำเขียวๆ ขมๆ ออกมา บางทีก็เกือบจะมีเรื่องในสถานที่อโคจรโดยมีอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (รุ่นพี่พกมา) ตอนนั้นก็แทบจะไม่สนใจธรรมะเลย (แต่ยังทำสมาธิอยู่บ้าง) โชคดีที่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ได้กินอาหารดีๆ เป็นส่วนใหญ่ สุขภาพจึงไม่ได้ทรุดโทรมอะไร

ช่วงอุดมศึกษาผมเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก โดยมีท่าน พันเอก สพรั่ง กัลยาณมิตร (ยศในขณะนั้น) เป็นผู้บังคับการกรม ซึ่งท่านได้นำเครื่องเสียง เทป และหนังสือของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มาไว้ที่ห้องพักผ่อนของนักเรียนนายร้อยทุกกองร้อย (ทั้งหมด 12 อาคาร) ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เห็นมีหนังสือแจกฟรีก็หยิบมาเก็บไว้ ไม่ได้อ่าน ก่อนจบปี 1 นักเรียนนายร้อยต้องไปฝึกภาคสนาม ทุกคนก็ต้องวางแผนหาอะไรทำแก้เหงาที่ต่างจังหวัดซึ่งไม่ค่อยมีที่เที่ยว ผมก็หยิบหนังสือ พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน โดยคุณนีน่า วัน กอร์คอม แปลโดย อ.ดวงเดือน บารมีธรรม ติดไปด้วย โดยเอากระดาษมาห่อปกไว้ เพราะกลัวเพื่อล้อเลียน

ในการฝึกปีนั้น (ต้นปี 2535) ตอนแรกผมก็ยังไม่ได้อ่านหนังสือของคุณนีน่า จนวันหนึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างฝึก จำได้ว่าข้อเท้าพลิกเพราะตกหลุมหรือเหยียบก้อนหินสักอย่างระหว่างวิ่งฝึกเข้าทำการรบ จึงไม่ได้ออกไปฝึกและนอนพักเหงาๆ อยู่คนเดียว โอกาสนั้นเองที่ได้หยิบหนังสือพระอภิธรรมในชีวิตประจำวันมาอ่าน เป็นครั้งแรกที่ได้รับรู้พระธรรมคำสอนที่กล่าวอธิบายถึงปรมัตถธรรมสี่ ได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ... จิต 89 ประเภท เจตสิก 52 ประเภท รูป 28 และพระนิพพาน ฯลฯ จำได้ว่าวันนั้นผมอ่านแล้วขนลุกซู่ทั้งตัวจนขึ้นศีรษะ และรำพึงในใจ ใช่แล้ว มันต้องแบบนี้ (ขออภัยที่อาจใช้คำไม่สุภาพครับ) แบบนี้แหละที่เราค้นหามาตลอด แบบนี้จึงจะอธิบายความสงสัยของเราได้

หนังสือพระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน ได้นำให้ผมได้พบกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้นำมาแสดงโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และนับตั้งแต่บัดนั้น ผมก็ติดตามศึกษาพระธรรมเรื่อยมา มีช่วงที่สนใจอย่างยิ่ง ช่วงที่สนใจพอสมควร และช่วงที่สนใจน้อยลง อันเป็นไปตามการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พร้อมทั้งมีความชื่นชมทีมงานของมูลนิธิฯ และชมรมบ้านธัมมะเสมอมา ที่ใช้สื่อเผยแพร่พระธรรมได้เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่พัฒนาไป

สุดท้ายนี้ ผมขอกราบอนุโมทนาและกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ คณะวิทยากรทุกท่าน ตลอดจนถึงทีมงาน และท่านพลเอก สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่มีความกรุณาในการเผยแพร่พระธรรมคำสอน จนส่วนหนึ่งได้มาถึงนักเรียนทหารที่อยู่ต่างจังหวัด และทำให้ชีวิตของผมได้กลับมาพบความหมายในการเกิดเป็นคนอีกครั้ง กราบขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งครับ

พันเอก กฤษฎา เทอดพงษ์

 
  ความคิดเห็นที่ 120  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 121  
 
พงษ์
วันที่ 14 ม.ค. 2564

เมื่อสักสิบกว่าปี ตอนนั้นฟังวิทยุในรถ ได้ยินผู้ชายคนหนึ่งพูดในรายการอะไรไม่รู้ เกี่ยวกับปรัชญาความดีทั้งหลาย ก็เออ.น่าสนใจติดตาม ก็ไปแวะที่ร้านธรรมมะของวัดบวรนิ เวศน์แถวๆ บางลำพู เดินไปเลือกดูเทปบรรยายต่างๆ  เห็นมีชื่อสุจินต์  ก็นึกว่าคงเป็นผู้ชายคนที่เราฟังมั๊ง จะได้เอาไปฟังต่อที่อยากรู้ว่าเขาพูดทั้งหมดเป็นอย่างไร 

พอไปเปิดฟัง  อ้าว..ทำไมเป็นเสียงผู้หญิงนี่..  แต่ก็เปิดฟังไปจนจบ  และก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย  ก็งง ๆอยู่.แต่ก็ไม่รู้ทำไม่ต้องฟังไปก่อนทั้งๆที่ไม่เข้าใจ แต่ใจมันก็อยากรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้พูดอะไร  และในตอนท้ายเทป มีที่อยู่มูลนิธิฯ ก็จดไว้  ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

จนเวลาผ่านไป  เกิดอาการเจ็บป่วยเป็นโรคใจสั่น  มาตราการสำคัญคือต้องทำใจให้สงบ ก็เลยต้องฟังเทปของอาจารย์  จำได้ว่าวันนั้นโบนัสออก มีเงินในกระเป๋าหกพันบาท เดินทางไปมูลนิธิฯ  ไปยืนดูตู้เก็บเทป บอกเจ้าหน้าที่ว่าเอาเทปทุกเรื่องทุกตอนและซีดีที่มีอยู่ด้วย จำได้ว่าตอนนั้นเรื่องจิตปรมัตถ์ก็ทำเป็นเทปถึง50 ม้วนแล้วและเรื่องอื่นๆ อีก 

ก็ฟังไปโดยไม่รู้จุดหมายก็ทนฟังไปทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ แต่พอฟังไปได้สักพัก คือฟังหลาายเรื่องหลายตอน  ก็เริ่มเข้าใจ แล้วก็ร้อง  อ๋อ อย่างนี้นี่เอง  พออาการป่วยดีขึ้น  กิเลสเข้าครอบงำ ก็เลิกฟัง หันไปใช้ชีวิกับกิเลสตามเดิม  จนเออรี่ รีไทร์ ก่อนเกษียณ สี่ปี่เมื่อมี 2558 ก็ยังไม่ฟัง

พอมาปี2562 ก็อยู่ดีๆเริ่มตระหนักว่า อายุก็มากแล้ว ความตายใกล้เข้ามาแล้ว ก่อนตายรู้ดีรู้ชั่วอะไรบ้าง  เลยเอาซีดี ดีวีดี ของเก่าที่เก็บเอาไว้มาปัดฝุ่นเริ่มฟังใหม่หมด (เทปน่าจะใช้่ไม่ได้หรือโดนน้ำท่วมไปก็ไม่รู้ และก็ไม่มีเครื่องเล่นเทปแล้ว)  คราวนี้ ฟังอย่างตั้งใจ ฟังทุกวัน เกือบทั้งวัน เมื่อก่อนเวลาไปเดินออกกำลังกายก็เดินอย่างเดียว ตอนนี้พึ่งฉลาดรู้ว่าในมือถือสามารถฟังซีดีของมูลนิธิฯได้ เลยไปเพิ่มเนตในมือถืออีกเดือนละสองร้อยบาทเพื่อให้ฟังได้นานๆ  และตอนนี้ ทุกครั้งที่ทำงานบ้านก็เปิดฟังไปด้วย ไปเดินออกกำลังกายก็ฟังไปด้วย  ระหว่างรอหมอ ก็ฟังไปด้วย 

เพียงแค่สองเดือนแรก ก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ไม่รู้มาปะติดปะต่อ กัน เป็นวงกลมของเรื่องต่างๆ ก็ซาบซึ้งในพระธรรมและในความมีเมตตาของท่านอาจารย์และคณะวิทยากรทุกท่านมากเลยครับ ก็ต้องฟังไปตลอด  เพื่อให้สังขาร ปรุงแต่งให้จิตเกิดปัญญาเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดขึ้นให้มากขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 122  
 
Jiratchapan
วันที่ 21 ก.ย. 2564

ได้ยินได้ฟังครั้งแรกจากพี่ท่านหนึ่ง ช่วง กพ. ปีนี้ นั่งคุยกันจะให้เขาสอนศิลปะให้ อยู่ๆ เขาก็เปิดเฟสขึ้นมาแล้วยื่นให้ฟังยูทูปที่ท่านอ.สุจินต์บรรยายพระธรรม เป็นคลิปที่มีเด็กถามเรื่องนั่งสมาธิค่ะ ก็สะดุดคำเพราะเป็นคนนั่งสมาธิไม่ได้ (มีความคิดว่าทำสมาธินี่ทำไมต้องนั่ง นอนทำก็ได้ 😂) ก็เลยถูกใจกับคลิปนี้ แล้วก็ชอบ ตามฟัง ชอบแชร์ แชร์มากก็โดนคนเตือนว่าไม่ให้ฟัง ฟังเยอะไม่ดี ก็เลยไม่ค่อยแชร์เท่าไหร่แต่ก็ฟังเหมือนเดิมค่ะ ฟังเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ บางทีนั่งฟังไปร้องไห้ไป ลึกซึ้ง เข้าใจถึงคำว่า ขอน้อมน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

.

กราบเท้าท่านอ.สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 123  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 6 ธ.ค. 2565

ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ นำลิงก์เก่าที่มีผู้เคยตั้งกระทู้ลักษณะนี้ มาแปะรวมไว้ที่นี่ด้วย เพื่อประโยชน์แก่ท่านที่สนใจต่อไป คลิกที่ลิงก์ด้านล่างครับ :

- ครั้งแรกที่ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์

 
  ความคิดเห็นที่ 124  
 
AmpholSuttipo
วันที่ 8 ธ.ค. 2565

ได้เปิดเจอในยูทูปครับ ได้ฟังตอนแรกรู้สึกว่า คำที่ท่านอาจารย์สุจินต์ใช้ คือความจริง เคยได้ยินได้ฟังมาว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน และ ความเป็นจริงคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือปัจจุบัน แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังธรรมมาเยอะ แต่ก็ไม่ละเอียดลึกซึ้งเท่าที่ได้ฟังจากท่านอาจารย์สุจินต์ครับ เมื่อก่อนเคยอ่านธรรมของพระเซนน์ ที่เป็นหลังสือแปลจากท่านพุทธทาส แต่ขอบอกว่า ลึกซึ้งมากจนยากจะเข้าใจได้หมด เพราะความจริงของธรรมะนั้นเป็นที่เข้าใจว่าลึกซึ้ง และมีเหตุผล เพราะฟังธรรมของท่านเว่ยหล่าง ท่านฮวงโป มาเป็นปีๆ พอได้มาฟังของท่านอาจารย์สุจินต์ เลยได้เข้าใจในความละเอียด เพราะเหตุที่ว่า เราได้ละเลย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสนึกคิดแต่ในแต่ละขณะ มัวแต่ไปสนใจในเรื่องราวความรู้สึกของผู้อื่นที่สอนธรรมที่คิดว่าเป็นธรรมมากเกินไป เพราะเราไม่เคยได้ฟังคำของพระพุทธเจ้ามาก่อน เราเลยไม่รู้ว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีอยู่จริง พอได้ฟังว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีอยู่จริงๆ จากท่านอาจารย์สุจินต์ รู้ได้ทันทีเลยครับว่า ได้เจอของจริงแล้ว ได้เจอความหมายที่แท้จริงของธรรมะแล้ว ด้วยพื้นฐานที่เราได้เรียนได้ศึกษามาบ้าง ได้เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง คือ วิญญาณเกิด ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่ร่างกายกระทบสัมผัส ขณะที่คิดนึก ขณะที่รู้สึกถึงความเป็นไปทั้งหมด และขณะที่เกิดก็มีการดับลงและเกิดใหม่เวียนเปลี่ยนไปไม่สิ้นสุด

และเหตุผลหนึ่งที่เกิดขึ้นในความคิดคือ หากไม่มีการเกิดและดับของธรรมะ มันก็จะไม่มีอะไรให้รู้ได้เลย ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเห็น ที่จะได้ยิน ที่จะรู้สึกต่างๆ นานา เพราะการเข้าใจในเหตุและผลว่าทำไมต้องมีการเกิดดับเป็นไปทุกๆ ขณะนี้ เพราะมันต้องอิงอาศัยกันในการเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ และด้วยการเกิดดับทุกๆ ขณะ แม้ว่าจะเข้าใจตามเหตุตามผล แต่ก็ได้รู้ตัวเองว่า การประจักแจ้งนั้นช่างไกลแสนไกล แต่ก็มั่นคงเพราะเหตุที่ว่า เคยฟังธรรมมามากว่า การบรรลุธรรมนั้นเพราะปัจจัยพร้อม เหตุที่เพราะยังเป็นเรา เราอยู่ตรงนี้ ความพร้อมในการประจักแจ้งจึงยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีเลย เรานี้แหละคือขวากหนามของการเข้าถึงความจริงที่สูงสุด และการบรรลุธรรมของท่านผู้ที่บรรลุแล้วนั้น ความการหมดจากความติดข้องของการบรรลุในธรรม แต่ละขั้น แต่ละขั้น ยิ่งบรรลุเท่ากับยิ่งละ ละจากความบรรลุ ละจากความเห็นที่เกิดว่ามี เรื่องของ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะเพื่อไปสู่การรู้แจ้ง และที่ขาดไม่ได้คือการฟังคำของพระองค์ สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นๆ ไปอย่างมั่นคง สิ่งที่ได้จากมูลนิธิฯมากมายคือ รู้จักสติ สมาธิ และรู้จัก ปัญญา รู้จัก ภาวนา รู้จักศีล ที่ถูกต้อง ขอขอบพระคุณมากๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 125  
 
kanchana.c
วันที่ 16 ธ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาน้องวันชัยที่นำลิงค์เก่ามาให้เขียนเพิ่มเติม ทำให้ได้อ่านประสบการณ์การฟังธรรมของผู้สนใจธรรมต่างๆ กัน ตามการสะสม และคนใหม่ก็ได้อ่านเรื่องของคนเก่าด้วย มีประโยชน์มากจริงๆ ค่ะ ทำให้เห็นความเป็นอนัตตาของสิ่งที่มีจริงที่เกิดปรากฏแต่ละอย่างว่า บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะไม่มีเรา เขา สัตว์บุคคลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 126  
 
piew
วันที่ 24 ธ.ค. 2565

ได้ยินเสียงท่านอาจารย์สุจินต์ครั้งแรกเมื่อเดือน สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๕ จากสถานีวิทยุ กำลังจะขับรถไปทำงาน ที่เผอิญหมุนไปเจอ สะดุดในเสียงของท่านที่กำลังบรรยายเรื่องจิต เจตสิก อยู่ แม้ไม่เข้าใจสักคำ แต่อยากรู้เลยฟังต่อ ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น ทำให้อยากอ่านหนังสือของท่านด้วย ตามมาที่มูลนิธิ ได้รับหนังสือไปอ่าน แม้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกว่าชอบ ถูกใจ ต่อมามีเหตุให้เว้นวรรค ไปหลายปี เมื่อกลับมาฟังใหม่ทางสื่อต่างๆ ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจในพระสัทธรรมมากขึ้น ประโยชน์ที่เห็นชัดเจนคือ ความแตกต่างจากเมื่อก่อน กับปัจจุบัน คือ รับรู้สภาวธรรมที่เกิดแล้วในจิต เร็วขึ้น เมื่อรู้ก็สามารถเข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่น ความคิดที่เป็นปฏิกิริยาโต้กับสิ่งกระทบ เป็นกุศลบ่อยขึ้น ได้ความสงบมาเอง ทั้งนี้เนื่องจากฟังท่านอาจารย์แบบ "ฟังไปๆ ๆ " แม้คิดว่า อาจารย์พูดซ้ำเดิมอีกแล้ว แต่ก็มาคิด ว่า ที่อาจารย์พูดซ้ำนี่ ความเข้าใจที่ฟังแล้ว มากขึ้นไหม ถ้ามากขึ้น เท่ากับ มาถูกทาง ฟังต่อไป

จึงขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์เป็นอย่างสูง มา ณ ที่นี้นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 127  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ธ.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 128  
 
kanchana.c
วันที่ 18 ม.ค. 2566

เปิดเจอจากยูทูบ

มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงยุคที่เทคโนโลยีทางการสื่อสารเจริญก้าวหน้าจนทุกคนสามารถนำสิ่งที่ตนเองสนใจ เห็นว่ามีประโยชน์ หรือสามารถหาผู้สนใจมาเข้าชมได้มากๆ จนสามารถหารายได้จากการนำเข้าในสื่อทางโซเซียล ที่เรียกว่า ยูทูบ จนทุกคนสามารถเป็นยูทูบเบอร์ได้ ไม่จำกัดอายุ เพศ อาชีพ การศึกษา

ได้ไปร่วมสนทนาธรรมที่ร้านอาหารครัวเจนโอ ที่บางปะอินอยุธยา น้องจุ๋มสาวอยุธยาออกไปเล่าให้ฟังว่า ฟังรายการของท่านอาจารย์จากยูทูบ เนื่องจากได้ยินพระรูปหนึ่งพูดถึงท่านว่า เป็นพระเทวทัต จึงสนใจว่า ทำไมพระรูปนั้นจึงว่าท่านอาจารย์ซึ่งเป็นผู้หญิงว่าเป็นพระเทวทัต จึงติดตามฟังท่านอาจารย์จากยูทูบ และติดตามฟังเรื่อยมาเพราะแน่ใจว่า เป็นของจริง

อีกท่านหนึ่งในการสนทนาธรรมที่สุราษฎร์ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2566 ท่านอาจารย์ไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะไม่สบาย แต่ร่วมสนทนาออนไลน์ (ต้องขอบคุณความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเช่นกัน) น้องอัมพิกา เป็นคนระนอง เมื่อแต่งงานแล้วไปอยู่ที่ภูเก็ต เดินทางจากภูเก็ตมาสนทนาธรรมที่สุราษฎร์ เธอได้ฟังพระรูปหนึ่งกล่าวถึงท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์อายุมากแล้ว อยู่อีกไม่นานก็ตาย เธอคิดว่า พระพูดแบบนี้ไม่เหมาะสม (เธอบอกว่า พระสึกไปแล้ว) ทำไมพูดอย่างนี้ จึงติดตามฟังท่านอาจารย์ทางยูทูบ เมื่อฟังก็เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด จึงติดตามฟังเรื่อยมา และนัดหมายจะไปพบกันในการสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา ในวันที่ 4 – 6 มีนาคม 2566

ในการสนทนาธรรมที่อุบลราชธานีในวันที่ 12 – 15 ม.ค. 2566 ที่คุณแมว สาคร เสลารักษ์ เซริเย่และคณะทีมงาน จัดสนทนาธรรมในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 8 รอบ 96 ปีของท่านอาจารย์ที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ มีหลายท่านมากที่มาร่วมงาน โดยไม่เคยเห็นตัวจริงของท่านอาจารย์เลย ได้แต่ฟังจากยูทูบ เช่น คุณศรีสมพร หญิงสาวชาวไทยลาว (พ่อเป็นลาว แม่เป็นไทย) อพยพไปอยู่ที่ฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 17 ปี จึงฟังและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ระหว่างที่รอท่านอาจารย์และคณะเดินทางมาถึง ซึ่งควรจะถึงช่วงเที่ยง แต่เนื่องจากอากาศปิด นักบินไม่สามารถนำเครื่องบินลงได้ ต้องบินกลับไปสุวรรณภูมิ และรอจนอากาศเปิด จึงบินกลับมาถึงอุบลตอน 6 โมงเย็น เธอเล่าว่า ไม่ได้นับถือศาสนาใด เพราะไปวัดไทยในฝรั่งเศส ก็นำอาหารไปถวายพระ พอพระจะแสดงธรรม ก็มีผู้นำภาชนะมารับเงินที่เรียกว่า ติดกัณฑ์เทศน์ เธอคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงสละทุกอย่างเพื่อตรัสรู้ความจริงและนำมาแสดง แต่ผู้จะฟังธรรมต้องซื้อธรรม คิดว่าไม่ถูกต้อง บังเอิญเปิดยูทูบขึ้นเรื่อง พระภิกษุในพระธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง จึงติดตามฟังเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ช่วงนี้มีธุระกลับมาเมืองไทยที่บึงกาฬ ทราบว่าทาง มศพ.จัดการสนทนาธรรมจึงได้ติดต่อกับคุณแมว และมาพักคอยที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.

(จากซ้าย : คุณอรวรรณ เชิญรุ่งโรจน์, คุณศรีสมพร และ พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง-ผู้เขียน)

อีกท่านหนึ่ง คุณแชมพู เป็นคนสุรินทร์ แต่งงานกับชาวเดนมาร์ก เป็นชาวพุทธด้วยการไปทำบุญที่วัดไทย สวดมนต์ทุกวัน ตั้งใจกับน้องสาวว่าจะทอดกฐินเพื่อทำบุญอุทิศให้แม่ แต่ได้ฟังจากยูทูบถึงเรื่องกฐินของ มศพ. เมื่อเข้าใจความจริงแล้วก็รู้ว่า ไม่ได้เป็นบุญอย่างที่ตั้งใจไว้ เมื่อฟังต่อเนื่องก็รู้ว่า การสวดมนต์โดยไม่เข้าใจอะไรเลย ก็ไม่ใช่บุญเหมือนกัน จึงตั้งใจฟังธรรมให้เข้าใจถึงความเป็นไม่ใช่เรา จนสามีชาวเดนมาร์กที่เดินทางมาร่วมสนทนาด้วยบอกว่า เมื่อฟังธรรมแชมพูเปลี่ยนไปมาก ไม่สวดมนต์มากเหมือนเดิม

อีกท่านหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยชาวลาว ชื่อคุณวรรณี มาทำงานที่อุบล ได้ฟังธรรมจากยูทูบเช่นกัน เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เคยเล่นๆ อยู่ แล้วถามตัวเอง เราเกิดมาทำอะไรที่นี่ แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป แต่สนใจฟังธรรมแม้คนอื่นๆ ที่บ้านจะไม่สนใจเลย เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ติดตามฟังอย่างต่อเนื่อง

มีมากมายหลายท่านที่อยู่ห่างไกลจาก มศพ. แต่ก็ได้ติดตามฟังจากยูทูบ บางท่านไม่มีโอกาสออกมาเล่าให้ฟัง ทราบว่า มีคณะคนลาวจากสะหวันนะเขตหลายท่าน และมาจากจังหวัดต่างๆ เช่น น้องเอ๋ เภสัชกรจากจังหวัดราชบุรี ก็เดินทางมาร่วมงานคนเดียว

กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เผยแพร่พระธรรมที่ท่านได้ศึกษาและเข้าใจดีแล้วมาให้พวกเราได้เข้าใจตามการสะสมของแต่ละคน จนทำให้เข้าใจคำสอนที่แท้จริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดปรากฏแต่ละขณะ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเศียรเกล้า

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ