กิเลส ๔๙ และมารทั้ง ๕

 
homenumber5
วันที่  29 พ.ค. 2555
หมายเลข  21181
อ่าน  6,470

กิเลส ๔๙ และมารทั้ง ๕ คืออะไร พระพุทธเจ้าปราบกิเลสและมารได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กิเลส คือธรรมเป็นเครื่องเศร้าหมอง คือ ทำให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยคือจิตเศร้าหมอง กิเลสเป็นเจตสิก

ซึ่ง กิเลส มีแสดงหลากหลายนัย แบ่งไปตามประเภท ตามทวาร ที่เกิด เป็นต้นกิเลส มีโดยนัย กิเลส ๓ กิเลส ๑๐ อุปกิเลส ๑๖ และ กิเลส ๑๕๐๐ เป็นต้น ที่เป็นกิเลส ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ส่วน กิเลส ๔๙ ยังไม่พบที่มา ครับ แต่ไม่ว่าจะแสดง กิเลสมีประมาณเท่าใด พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นความละเอียดของกิเลส ที่มีประการต่างๆ และเป็นสิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สัตว์โลก ได้เห็นโทษของกิเลสด้วยปัญญา จึงอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมเพื่อละกิเลส

นี่คือประโยชน์ของการศึกษาเรื่องกิเลส ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของจำนวน แต่เป็นเรื่องของกุศลธรรมที่จะเกิดขึ้นในจิตใจ คือ ปัญญา ที่เห็นโทษของกิเลส และ รู้จักตัวกิเลส ตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ไม่มีเราที่มีกิเลส ครับ และกิเลส ประการแรกที่ควรละ คือ ความยึดถือ สำคัญผิดว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นสำคัญ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

กิเลสคืออะไร?

กิเลสหมายถึงอะไร

กิเลส 16 กับกิเลส 10 ต่างกันอย่างไรครับ?

ธรรมเป็นกิเลส [ธรรมสังคณี]

ประโยชน์ของการศึกษากิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘


จากคำถามที่ว่า มาร ๕ คืออะไร

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

มารคือใคร

พระสูตร เรื่องมาร ... วันเสาร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๕

มาร ๕ [ข้าศึกทั้งปวง ... ตอนที่ ๑]

มาร ๕ [กิเลสมาร ... ตอนที่ ๒]

มาร ๕ [ขันธมาร ... ตอนที่ ๓]

มาร ๕ [อภิสังขารมาร ... ตอนที่ ๔]

มาร ๕ [มัจจุมาร ... ตอนที่ ๕]

[เทวบุตรมาร ... ตอนที่ ๖ ... จบ] อุปธิ ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น...[คิดเบียดเบียนผู้อื่น ... ตอน ๑]


คำถามที่ว่า

พระพุทธเจ้าปราบกิเลสและมารได้อย่างไร

- กิลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง พระพุทะเจ้าทรงละกิเลสมาร หรือกิเลสได้หมด ด้วยสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับกิเลส คือ ปัญญา และ ไม่ใช่เพียงปัญญาเท่านั้น กุศลประการต่างๆ ที่เป็นบารมี ที่พระองค์สะสมมา เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้สามารถละกิเลสได้หมดสิ้น อันมีปัญญา เป็นหัวหน้า ซึ่ง พระองค์อาศัยการบำเพ็ญบารมี มานับชาติไม่ถ้วน และ ในพระชาติสุดท้าย ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระองค์ทรงละกิเลสได้หมดสิ้น ด้วยทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางสายเดียวที่จะละกิเลสได้หมด อันมี สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูกที่เป็นปัญญา เป็นหัวหน้า ครับ ส่วน พระองค์ทรงละมารอื่นๆ มี อภิสังขารมารได้แล้ว คือ ไม่มีเจตนาที่เป็นไปในกุศล อกุศล แต่เป็นเจตนาที่เกิดกับกิริยาจิตและวิบากจิตเท่านั้น และ ทรงละมัจจุมารได้ในอนาคต คือ จะไม่เกิดอีก ครับ และ ละขันธมารได้ในอนาคต คือ จะไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ ครับ และละ เทวปุตตมารได้ คือ เทวดาผู้ที่เห็นผิด ที่คอยขัดขวางพระองค์ เมื่อพระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ พระโพธิสัตว์ ชี้นิ้วลงที่แผ่นดิน เป็นพยานว่า พระองค์บำเพ็ญบารมีมา เพื่อตรัสรู้ ณ บัลลังก์นี้ แผ่นดินไหว ทำให้เทวปุตตมาร และกองทัพมารพ่ายแพ้ไป ครับ เพราะฉะนั้น เมื่อดับกิเลสมาร คือ กิเลสได้หมด ด้วยการเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมละมารทุกอย่างได้หมดสิ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ครับ จึงเป็นเครื่องเตือน ครับว่า มาร ก็มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน หนทางที่จะกิเลสมาร คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมปัญญาและกุศลประการต่างๆ ย่อมละมารต่างๆ ทั้งหมดได้ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลสอกุศลเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ซึ่งน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นศัตรูภายใน เป็นข้าศึกภายใน เป็นมลทินของใจ ไม่นำประโยชน์สุขใดๆ มาให้เลย มีแต่นำมาซึ่งทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียด ซึ่งถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ก็จะไม่มีใครรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้เต็มไปด้วยกิเลส ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มาก เพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง จึงยังต้องมีการเกิดและตายอย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาไปตามลำดับ จึงจะค่อยๆ ละคลายมาร คือ กิเลส ให้เบาบางลง จนกระทั่งสามารถดับมารคือกิเลสได้ ในที่สุด

กิเลสทั้งหลายที่มี ต้องดับได้ด้วยปัญญา

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นนั้น ต้องอาศัยการสะสมพระบารมีมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ จนพระบารมีถึงความบริบูรณ์ พระองค์ก็ทรงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 30 พ.ค. 2555

พระพุทธเจ้าปราบมารและดับกิเลสได้ด้วยบารมี ๑๐ ทัศ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันวิสาขะ ในยามสุดท้ายพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า วันนั้นเป็นวันที่ปราบมารและกิเลสได้หมดสิ้น กว่าจะถึงวันนั้นได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๔ อสงไขยแสนกัป ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
homenumber5
วันที่ 2 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ