โวฏฐัพพนจิต

 
Thanapolb
วันที่  28 พ.ค. 2555
หมายเลข  21180
อ่าน  5,387

ขอเรียนถามจิตดวงต่อไปอีกสักเล็กน้อยครับ คือ โวฏฐัพพนจิต ที่ทำกิจ ตัดสินอารมณ์ศึกษามาทราบว่า เป็นกิริยาจิต มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก และ มีเจตสิกอีก ๓ ดวง คือ วิตก วิจาร และ อธิโมก

ที่อยากทราบเพิ่มเติม ดังนี้

๑. ปัจจัยที่ทำให้โวฏฐัพพนจิต ทำกิจตัดสินอารมณ์ว่าจะให้ ชวนะ เป็นกุศล หรืออกุศลเกิดจากการสะสมในอดีต ว่าจะตัดสินว่า ชวนะจะเป็นชาติอะไร อย่างนั้นไหม หรือเพราะอะไรให้โวฏฐัพพนจิต ตัดสินเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่า เป็นเพียงปัจจัยให้ ชวนะเกิดต่อ หลังโวฏฐัพพนจิต ดับไป เท่านั้น ส่วน ชวนะ จะเป็นกุศลหรือ อกุศล มาจากเหตุของการสะสมในอดีต หรืออุปนิสัยเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

๒. เคยได้อ่านข้อความที่ว่า โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้นตัดสินอารมณ์ แต่เพราะอารมณ์มีกำลังอ่อนเพราะใกล้จะดับแล้ว ชวนจิตจึงไม่เกิด ในชีวิตประจำวันมีบ่อยไหมครับ และเป็นกรณีไหนบ้าง เช่น อารมณ์ไม่ชัดเจน หรือว่า อาจเป็นขณะที่กำลังจะหลับ หรือ จะหมดสติ เป็นต้น

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ปัจจัยที่ทำให้โวฏฐัพพนจิต ทำกิจตัดสินอารมณ์ว่าจะให้ ชวนะ เป็นกุศล หรืออกุศล เกิดจากการสะสมในอดีต ว่าจะตัดสินว่า ชวนะจะเป็นชาติอะไร อย่างนั้นไหม หรือเพราะอะไรให้โวฏฐัพพนจิต ตัดสินเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่า เป็นเพียงปัจจัยให้ ชวนะเกิดต่อ หลังโวฏฐัพพนจิต ดับไป เท่านั้น ส่วน ชวนะ จะเป็นกุศลหรือ อกุศล มาจากเหตุของการสะสมในอดีต หรืออุปนิสัยเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว


โวฏฐัพพนจิต เป็นจิตประเภทหนึ่ง เป็นกิริยาจิต ซึ่งจิตที่กระทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร นี้ คือ มโนทวาราวัชชนจิต (โวฏฐัพพนจิต เรียกตามกิจของจิต) ซึ่งจะต้องเกิดก่อนที่ชวนจิตทางปัญจทวาร จะเกิดเสมอ เมื่อแปลโดยศัพท์แล้ว คือ ตัดสินอารมณ์ เมื่อว่าโดยอรรถแล้ว ก็เป็นจิตที่กระทำทางให้ชวนจิต เกิดสืบต่อ ถ้าโวฏฐัพพนจิตไม่เกิด ชวนจิตก็เกิดไม่ได้ โวฏฐัพพนจิต ที่เป็นมโนทวาราวัชชนจิตทำกิจ โวฏฐัพพนกิจ เรียกว่า ชวนปฏิปาทกมนสิการ คือเป็นจิตที่เป็นบาท หรือเป็นจิตที่กระทำทางให้ชวนจิตเกิดขึ้น แล้วแต่การสะสมในอดีต ที่เมื่อรู้อารมณ์นี้จิตจะเป็นอกุศล เมื่อรู้อารมณ์นั้นจิตจะเป็นอกุศล ซึ่งชวนจิต จะเป็นกุศล หรือ อกุศล ในขณะที่มีอารมณ์หนึ่ง อารมณ์ใด มีการสะสมมาในอดีต เป็นสำคัญ ครับ ส่วน โวฏฐัพพนจิต ก็ทำหน้าที่ ตัดสินอารมณ์นั้น ตามการสะสมทำให้เป็นกุศล และ เป็นอกุศลในชวนจิตของปุถุชน โดย โวฏฐัพพนจิต ทำทางให้เกิด ชวนจิตประการหนึ่ง และ ทำหน้าที่ตัดสินอารมณ์ตามการสะสมมา ทำให้เป็นกุศล หรือ อกุศลประการหนึ่ง แต่ที่สำคัญ จะเป็นกุศล หรือ อกุศลหรือไม่ ในขณะที่มีอารมณ์ใด ตามการสะสมมาในอดีต เป็นสำคัญ แต่อาศัยเหตุปัจจัยอื่นๆ มี โวฏฐัพพนจิต ด้วย ครับ ที่เป็นเหตุใกล้ ส่วนการสะสมในอดีต เป็นเหตุไกล


๒. เคยได้อ่านข้อความที่ว่า โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้นตัดสินอารมณ์ แต่เพราะอารมณ์มีกำลังอ่อนเพราะใกล้จะดับแล้ว ชวนจิตจึงไม่เกิด ในชีวิตประจำวันมีบ่อยไหมครับ และเป็นกรณีไหนบ้าง เช่น อารมณ์ไม่ชัดเจน หรือว่า อาจเป็นขณะที่กำลังจะหลับ หรือจะหมดสติ เป็นต้น


บางวาระ เมื่ออตีตภวังค์เกิดและดับไปแล้วหลายขณะ ภวังคจลนะก็เกิดและดับไปหลายขณะ ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดแล้วดับไป ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้วดับไป ปัญจวิญญาณจิตดวงใดดวงหนึ่งเกิดแล้วดับไปสัมปฏิจฉันนจิตเกิดแล้วดับไป สันตีรณจิตเกิดแล้วดับไป โวฏฐัพพนจิตเกิดแล้วดับไป ๒-๓ ขณะ รูปก็ดับไป ชวนจิจึงเกิดไม่ได้ วาระนั้นจึงเป็น “โวฏฐัพพนวาระ” เพราะวิถีจิตสิ้นสุดลงที่โวฏฐัพพนจิต อารมณ์ที่เป็นไปตามวิถีจิตนี้เรียกว่า ปริตตารมณ์ (อารมณ์ที่เล็กน้อยมีกำลังอ่อน)

ปริตตารมณ์ อารมณ์ที่เล็กน้อย หมายถึง ความเป็นไปของอารมณ์ที่มีกำลังอ่อนขณะที่เป็นอารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวาร อารมณ์สิ้นสุดที่โวฏฐัพพนจิตเท่านั้น ซึ่ง ไม่จำเป็นจะต้องถึงกับสลบ ครับ ส่วนขณะที่หลับสนิท เป็นภวังคจิตยาว อันนี้ก็ไม่ใช่ แต่รูปใด แม้ขณะนี้ที่กำลังเห็น เพราะรูปนั้น คือ สี เกิดดับในขณะที่เป็นภวังคจิตหลายขณะแล้ว ดับในขณะที่เป็นโวฎฐัพพนะจิต เพราะฉะนั้น อารมณ์นั้น ชื่อว่าเล็กน้อย เพราะว่า เกิดในวิถีจิต ไม่กี่ขณะเอง ครับ จึงดับไป

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 29 พ.ค. 2555

การศึกษาพระอภิธรรม คือ ค่อยๆ อาศัยชื่อที่กำลังเรียน น้อมเข้ามาสู่ในชีวิตประจำวัน เพราะ สิ่งที่ศึกษา ก็ไม่พ้นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน เมื่อเข้าใจถึงความละเอียดของจิต วิถีจิต และอารมณ์ย่อมทำให้น้อมถึงพระปัญญาคุณ ที่อนุเคราะห์และแสดงธรรมอย่างละเอียด ด้วยจุดประสงค์ให้สัตว์โลก ได้เข้าใจว่า ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมเป็นไป และ ไม่มีใครทำให้เกิดกุศล หรือ อกุศลได้เลย เพราะเป็นการสะสมมาในอดีต และ เป็นการทำหน้าที่ทำทางให้เกิด กุศล หรือ อกุศล คือ โวฏฐัพพนจิต เพียงขณะเดียว เพียงขณะเดียวเท่านั้น มีใครทำอะไรทัน คือ เตรียมตัวให้เป็นกุศลหรือ อกุศลไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจดังนี้ แทนที่จะทำให้เกิดกุศล หรือ อกุศลก็เข้าใจว่าทำไม่ได้ ก็สะสมเหตุที่ดี คือ สะสมความเข้าใจพระธรรมและ การกระทำกุศลประการต่างๆ ที่เป็นการสะสมใหม่ ที่จะเป็นการสะสมในอดีตต่อไปก็จะเป็นปัจจัยให้ โวฏฐัพพนจิต ทำทางให้เป็นกุศลมากขึ้น ตามการสะสมใหม่คือ การอบรมปัญญาศึกษาพระธรรมและเจริญกุศลทุกๆ ประการ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 29 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น มีความละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่งและที่สำคัญ คือ มีจริงในขณะนี้ แม้แต่จิตที่กำลังกล่าวถึง คือ โวฏฐัพพนจิต เป็นจิตประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตน ซึ่งโดยทั่วไปก็จะแปลว่า ตัดสิน อาจจะดูฟังแล้วเข้าใจยากว่าตัดสินอะไร ก็เพื่อให้เข้าใจว่า เป็นจิตที่กระทำทางให้ชวนจิตเกิดขึ้น เพราะถ้าโวฏฐัพพนจิตไม่เกิด ชวนจิต ซึ่งเป็นจิตที่เกิดสืบต่อจากโวฏฐัพพนจิต ก็เกิดไม่ได้ ส่วนชวนจิตจะเป็นกุศล หรือ อกุศล ก็แล้วแต่ การสะสมมาของแต่ละบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นธรรม ที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

ถ้าโวฏฐัพพนจิตไม่เกิด ชวนจิตทางปัญจทวารก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี้เป็นความแน่นอนของจิตที่จะต้องเป็นอย่างนี้ โดยที่ ไม่มีใครมีอำนาจบังคับบัญชาในการกำหนดตัดสินได้ตามใจชอบ แล้วแต่การสะสมในอดีตของแต่ละบุคคลว่าเมื่อโวฏฐัพพนจิต ดับไปแล้ว จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ตามการสะสมจริงๆ และถ้าเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นแล้ว ไม่มีกุศลจิตเกิดขึ้น ไม่มีอกุศลจิตเกิดขึ้น เมื่อโวฏฐัพพนจิตของพระอรหันต์ดับไปแล้ว ชวนจิตของท่านก็เป็นมหากิริยา ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้, สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้จะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่สภาพจิต ต่างกันก็ได้ ตามการสะสมจริงๆ เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล ก็ได้ ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

- จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้อธิบายไว้ว่า เมื่ออารมณ์ กระทบปสาทแต่ละวาระนั้น ไม่ใช่ว่าวิถีจิตจะต้องเกิดดับสืบต่อไปตลอดทั้ง ๗ วิถี เมื่อ วิถีจิตไม่เกิดเลยก็เป็นโมฆวาระ เมื่อวิถีจิตสิ้นสุดที่โวฏฐัพพนะก็เป็นโวฏฐัพพนวาระ อารมณ์ของโวฏฐัพพนวาระเป็นปริตตารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ของวิถีจิตเพียงเล็กน้อย โดยเป็นอารมณ์ของวิถีจิตเพียง ๕ วิถีจิตเท่านั้น (อาวัชชนวิถี วิญญาณวิถี สัมปฏิจฉันนวิถี สันตีรณวิถี และ โวฏฐัพพพนวิถี)

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จุดประสงค์ต้องตรง คือ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่เพื่อที่จะจำว่า มีจิตกี่ดวง และมีเจตสิก กี่ดวง เกิดกับจิตกี่ดวง แต่เพื่อปรุงแต่งเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพ ธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ จนกระทั่งสามารถที่จะละคลายการยึดถือ สภาพ ธรรม ทั้ง หลาย ว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนได้ในที่สุด ครับ

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Thanapolb
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณท่านอ.ผเดิม, อ. คำปั่น และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 24 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Junya
วันที่ 2 ก.ค. 2566

กราบยินดีในกุศล และกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์เป็นอย่างยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศล และกราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
stfurol
วันที่ 11 พ.ค. 2568

ปริตตารมณ์ เข้าใจว่าเป็นช่วงหลับตื้น พอจะเป็นไปได้ไหมครับ

(ช่วงหลับช่วงแรกๆ แล้วถ้ามีเสียง หรือได้ยินเสียง แล้วรู้สึกสะลึมสะลือแล้ว ไม่ทันคิดอะไรแล้วก็หลับต่อ หรือจริงๆ ในระหว่างคืน ก็มีการสลับมาเป็นระยะหลับตื้นได้ครับ)

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 12 พ.ค. 2568

. วิถีจิตทั้งหมดมี ๔ วาระ มีตั้งแต่ตทาลัมพนวาระ ชวนวาระ โวฏฐัพพนวาระ และโมฆวาระ ด้วยเหตุอะไรจึงต้องมี ๔ วาระ เป็นไปได้อย่างไร

สุ. ท่านผู้ฟังถามถึงวาระ คือ การเกิดของวิถีจิตในการรู้อารมณ์แต่ละอารมณ์ ซึ่งในบางวาระวิถีจิตก็เกิดทั้ง ๗ วิถี ในบางวาระวิถีจิตก็เกิด ๖ วิถี ในบางวาระวิถีจิตก็เกิด ๕ วิถี และในบางวาระวิถีจิตก็ไม่เกิดเลย มีแต่อตีตภวังค์ และ ภวังคจลนะเท่านั้น

เพราะว่าเวลาที่รูปเกิด กระทบกับปสาทและภวังค์ เป็นอตีตภวังค์ กระทบอีก เป็นอตีตภวังค์อีก ยังไม่มีภวังคจลนะ ยังไม่ไหวที่จะรับรู้อารมณ์ที่กระทบ หรือว่าบางครั้งเวลาที่รูปกระทบกับปสาท กระทบกับอตีตภวังค์ และเป็นปัจจัยให้ภวังค์ไหว ที่จะรับรู้อารมณ์ใหม่ แต่ก็สายไป เพราะรูปนั้นดับ เนื่องจากเวลาที่กระทบ เวลาที่ไหว ล่วงไปหลายขณะ คือ ไม่มีกำลังที่จะเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ในขณะนั้น

คนที่นอนหลับสนิท เขย่าแล้วก็ยังไม่ตื่น เขย่าแรงๆ ก็ยังไม่ตื่นอีก เพราะอะไร เพราะอาวัชชนจิตไม่เกิด มีแต่อตีตภวังค์และภวังคจลนะ จึงเป็น โมฆวาระ คือ วิถีจิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบ

และเวลาที่อตีตภวังค์เกิดแล้ว ภวังคจลนะเกิดแล้ว ภวังคุปัจเฉทะเกิดแล้ว ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้ว ปัญจวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งเกิดแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตเกิดแล้ว สันตีรณจิตเกิดแล้ว โวฏฐัพพนจิตเกิดแล้ว แต่ชวนจิตไม่เกิด เพราะอะไร เพราะรูปดับไปก่อน จึงชื่อว่า โวฏฐัพพนวาระ

ดีไหม ไม่ทันให้ชวนวิถีจิตเกิด

นี่เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาว่า สภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า เวลาที่อารมณ์กระทบปสาทแต่ละครั้งแล้ว วิถีจิตต้องเกิดตลอดไปทั้ง ๗ วิถี บางวิถีก็เป็นโมฆวาระ วิถีจิตไม่เกิดเลย บางวิถีก็เป็นโวฏฐัพพนวาระ คือ เมื่อโวฏฐัพพนจิตเกิดและดับไป อารมณ์ก็ดับไป ชวนจิตจึงไม่เกิด บางวิถีชวนจิตเกิดและดับไปๆ ๗ ครั้ง อารมณ์ก็ดับ ตทาลัมพนวิถีจิตจึงเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นชวนวาระ

และในบางวาระ เวลาที่ชวนจิตเกิดดับ ๗ ครั้ง แต่อารมณ์ยังไม่ดับ จึงเป็นปัจจัยให้ตทาลัมพนวิถีจิตเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การรู้อารมณ์ของวิถีจิตในวาระนั้น จึงเป็นตทาลัมพนวาระ

ขอเชิญรับฟัง ...

เหตุใดวิถีจิตจึงมี ๔ วาระ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 12 พ.ค. 2568

ถ้าเป็นวิถีจิตที่ไม่มีชวนะ เป็นโวฏฐัพพนวาระ วิถีจิตนั้นชื่อว่า ปริตตารมณ์ เพราะเป็นอารมณ์เพียงเล็กน้อยที่ปรากฏ


สำหรับทางปัญจทวาร ๔ วาระ คือ อติมหันตารมณ์ ๑ มหันตารมณ์ ๑ ปริตตารมณ์ ๑ อติปริตตารมณ์ ๑

อติมหันตารมณ์ คือ ในขณะที่อารมณ์ปรากฏชัดเจน เพราะว่าวิถีจิตเกิดครบทั้ง ๗ วิถี สำหรับทางปัญจทวาร

เช่น ถ้าเป็นจักขุทวารวิถี เมื่อรูปเกิดและกระทบกับอตีตภวังค์ อตีตภวังค์ ๑ ขณะดับไป ภวังคจลนะเป็นขณะที่ ๒ ดับไป ภวังคุปัจเฉทะเป็นขณะที่ ๓ ดับไป ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นทำอาวัชชนกิจเป็นวิถีที่ ๑ และจักขุวิญญาณเกิดขึ้นทำ ทัสสนกิจเป็นวิถีที่ ๒ สัมปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้นทำสัมปฏิจฉันนกิจเป็นวิถีที่ ๓ สันตีรณจิตเกิดขึ้นทำสันตีรณกิจเป็นวิถีที่ ๔ โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้นทำโวฏฐัพพนกิจเป็นวิถีที่ ๕ ชวนจิต คือ กุศลหรืออกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เกิดดับซ้ำกัน ๗ ขณะ ทำชวนกิจเป็นวิถีที่ ๖ และเมื่อยังเหลืออารมณ์อีก ๒ ขณะจิต วิบากจิตจึงเกิดขึ้น เป็นวิถีจิตที่ทำตทาลัมพนกิจเป็นวิถีที่ ๗

สำหรับอติมหันตารมณ์ ขณะที่รูปเกิด กระทบกับทวาร และวิถีจิตเกิดครบ ทั้ง ๗ วิถี เมื่อมีตทาลัมพนวิถีเกิดด้วย จึงเป็นตทาลัมพนวาระ

นี่เป็นชีวิตประจำวัน เรียกว่า อติมหันตารมณ์ คือ อารมณ์ที่ชัดเจน

สำหรับวาระที่ ๒ คือ มหันตารมณ์ วิถีจิตเกิดเพียง ๖ วิถี รูปดับก่อนที่ ตทาลัมพนจิตจะเกิด เมื่อรูปดับแล้ว ตทาลัมพนจิตย่อมเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น วาระนี้ชื่อว่าชวนวาระ เพราะมีวิถีเพียง ๖ วิถีเท่านั้น เป็นอารมณ์ที่ชัดเจนน้อยกว่า อติมหันตารมณ์

แต่บางเวลา หรือบางครั้งก็ไม่ได้ปรากฏว่า อารมณ์นั้นชัดเจน ดูเสมือนว่า เห็น บางทีก็พูดว่า คล้ายๆ จะเห็น ขณะนั้นแสดงว่า ไม่ใช่อติมหันตารมณ์ ไม่ใช่ตทาลัมพนวาระ และไม่ใช่มหันตารมณ์ คือ ไม่ใช่ชวนวาระ แต่เป็นปริตตารมณ์ คือ ไม่มีชวนะ เพราะฉะนั้น วิถีจิตจึงมีเพียง ๕ วิถีเท่านั้น ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ และโวฏฐัพพนะ เมื่อวาระนี้ไม่มีชวนะ มีเพียงโวฏฐัพพนจิต จึงชื่อว่า โวฏฐัพพนวาระ

ชวนจิตไม่เกิด กุศลจิตไม่เกิด อกุศลจิตไม่เกิด ไม่ทันจะเกิด รูปก็ดับก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็น เห็น แต่ชวนจิตยังไม่ทันเกิด หรือบางขณะก็คล้ายกับ ได้ยิน แต่ไม่ทราบว่าอะไร เสียงพูดว่าอะไรก็ไม่ทราบ ขณะนั้นก็เป็นโวฏฐัพพนวาระ เพราะว่าชวนจิตไม่เกิด ไม่มีโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือกุศลจิตเกิด

นี่เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นวิถีจิตที่ไม่มีชวนะ เป็นโวฏฐัพพนวาระ วิถีจิตนั้นชื่อว่า ปริตตารมณ์ เพราะเป็นอารมณ์เพียงเล็กน้อยที่ปรากฏ

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1519

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ