ปรมั​ตถ​ธรรม​สังเขป

ใน​อดีต​สมัย ณ สาล​วัน​อัน​เป็น​ที่​แวะ​พัก​แห่ง​พวก​เจ้า​มัลละ​ เมืองกุสินาราพระ​ผู้มีพระ​ภาค​อร​หันต​​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​ดับ​ขัน​ธปรินิพพาน​ระหว่าง​ไม้​สาละ​คู่ หมด​โอกาส​ที่​สัตวโลก​จะ​ได้​สดับ​พระ​ธรรม​เทศนา​จาก​พระโอษฐ์​อีก​ต่อ​ไป พระ​ผู้มีพระ​ภาค​ประทาน​พระ​ธรรม​วินัย​ที่​ทรง​แสดง​แล้ว ทรง​บัญญัติ​แล้ว ไว้​เป็น​ศาสดาแทน​พระองค์​เมื่อ​ทรง​ดับ​ขัน​ธ​ปรินิพพานไป​แล้ว (1)

พุทธ​บริษัท​ย่อม​ถวาย​ความ​นอบน้อม​สักก​า​ระ​พระ​ธรรม​อันประเสริฐ​สุด​ของ​พระ​ผู้มีพระ​ภาคตาม​ความ​รู้​ความ​เข้าใจ​ใน​พระ​ธรรม​วินัย แม้ผู้ใด​เห็น​พระ​วรกาย​ของ​พระองค์ได้​สดับ​พระ​ธรรม​เทศนา​จาก​พระโอษฐ์ หรือ​แม้​ได้​จับ​ชาย​สังฆาฏิ​ติดตาม​พระองค์​ไป แต่​ไม่รู้​ธรรม ไม่​เห็น​ธรรม ผู้​นั้นก็หา​ได้​เห็น​พระองค์​ไม่ผู้​ใด​เห็น​ธรรม ผู้​นั้น​ได้​ชื่อ​ว่า​ ย่อม​เห็น​ตถาคต (2)

พระพุทธ​ศาสนา คือ พระ​ธรรม​คำสอน​ของ​พระ​อรหันต​สัมมาสัม​พุทธ​เจ้า มี ๓ ขั้น

๑. ขั้น​ปริยัติ ศึกษา​พระ​ธรรม​วินัย

๒. ขั้น​ปฏิบัติ เจริญ​ธรรม​เพื่อ​บรรลุ​ธรรม​ที่​ดับ​กิเลส ดับ​ทุกข์

๓. ขั้น​ปฏิเวธ รู้​แจ้ง​ธรรม​ที่​ดับ​กิเลส ดับ​ทุกข์

พระพุทธ​ดำรัส​ที่​ว่า ผู้​ใด​เห็น​ธรรม ผู้​นั้น​ชื่อ​ว่า​ย่อม​เห็น​ตถาคต หมาย​ถึง​การ​เห็น​ธรรม รู้​แจ้ง​ธรรม​ที่​พระ​ผู้มีพระ​ภาค​ทรงตรัสรู้คือ โลกุ​ตตรธรรม ๙ ขั้น​ปฏิเวธ การ​เห็น​ธรรม​ขั้น​ปฏิเวธ​เป็น​ผล​ของ​การ​ เจริญ​ธรรม​ขั้น​ปฏิบัติ การเจริญ​ธรรม​ขั้น​ปฏิบัติ​ต้อง​อาศัย​ปริยัติ ด้วย​เหตุ​นี้​ ปริยัติคือการ​ศึกษา​พระ​ธรรม​วินัย​​ จึง​เป็น​สรณะ เป็น​ที่​พึ่ง เป็น​ทาง​นำไป​สู่​พระพุทธ​ศาสนา​ขั้น​ปฏิบัติ​ ​และ​ขั้น​ปฏิเวธ เป็น​ลำดับ​ไป

พระ​ธรรม​คำสอน​ของ​พระ​ผู้มี​พระ​ภาคได้​จดจำสืบ​ต่อ​กัน​มา​โดยมุข​ปาฐ​ะ คือ การ​ท่องจำจาก​พระ​อรหันต​สาวก​ผู้​กระทำ​สังคายนา​พระ​ธรรม​วินัย ​เป็น ๓ ปิฎก เรียก​ว่า พระ​ไตรปิฎก การ​ท่องจำกระทำได้​สืบ​ต่อ​กัน​มา​ตราบ​จน​กระทั่ง​ได้​จารึก​เป็น​ตัว​อักษร พระ​ธรรม​วินัยซึ่งพระ​อรหันต​สาวก​ได้​สังคายนา​เป็น ๓ ปิฎก​นั้น คือ

๑. พระวินัยปิฏก

๒. พระสุตตันตปิฏก

๓. พระอภิธรรมปิฏก

พระ​วินัย​ปิฎกเกี่ยวกับระเบียบ​ข้อ​ประพฤติ​ปฏิบัติ​เพื่อ​พรหมจรรย์​ขั้น​สูง​ยิ่ง​ขึ้น​เป็น​ส่วน​ใหญ่ พระ​สุต​ตันตปิฎก​เกี่ยว​กับ​หลัก​ธรรมที่​ทรง​เทศนา​แก่​บุคคล​ต่างๆ ณ สถาน​ที่​ต่างๆ เป็น​ส่วน​ใหญ่ พระ​อภิธรรม​ปิฎกเกี่ยวกับ​สภาพ​ธรรม​พร้อม​ทั้ง​เหตุ​และ​ผล​ของ​ธรรม​ทั้ง​ปวง

พระ​ผู้มีพระ​ภาค​ทรง​ตรัสรู้​สภาพ​ธรรม​พร้อม​ทั้ง​เหตุ​และ​ผล​ของ​ธรรม​ทั้ง​ปวง พระองค์​ทรง​แสดง​ธรรม​ที่​พระองค์​ทรง​ตรัสรู้​เพื่อ​อนุเคราะห์​สัตวโลก​ ตั้งแต่​สมัย​ตรัสรู้ ​ตราบ​จนถึง​สมัย​ปรินิพพาน​ด้วย​พระ​ปัญญา​คุณ พระ​บริสุทธิคุณ พระ​มหากรุณาธิคุณ อัน​ไม่มี​ผู้​ใด​เปรียบ​ปาน พระ​ผู้มีพระ​ภาค​ได้​ทรง​บำเพ็ญ​พระ​บารมี​เพื่อ​บรรลุ​ธรรม​ เป็น​พระ​อร​หันตสัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า ผู้ทรงถึงพร้อม​ด้วย​สัมปทา (3) คือ เหตุ​สัมปทา ผล​สัมปทา สัตตู​ปการ​สัมปทา

เหตุ​สัมปทา การ​ถึง​พร้อม​ด้วย​เหตุ คือ การ​ทรง​บำเพ็ญ​ พระ​บารมี​จนถึง​พร้อม​เพื่อ​ตรัสรู้​ธรรม​เป็น​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า ๔ อสงไขยแส​นกัปป์​ หลัง​จาก​ได้​รับคำพยากรณ์​จาก​พระ​ที​ปัง​กร​พุทธ​เจ้า

ผล​สัมปทา การ​ถึง​พร้อม​ด้วย​ผล มี ๔ อย่าง คือ

. ญาณ​สัมปทา ได้แก่ มัคค​ญาณมัค​ ซึ่ง​เป็น​ที่​ตั้งแห่งพระสัพ​พัญญุต​ญาณ และ​พระ​ทศพล​ญาณ​ เป็นต้น ซึ่งมี​มัค​คญาณ​นั้น​เป็น​มูล

. ปหาน​สัมปทาได้แก่ กิเลส​ทั้ง​สิ้น​ละ​พร้อม​ทั้ง​วาสนา​ที่​ไม่​ดี วาสนา คือ กิริยา​อาการ​ทาง​กาย​วาจา​ที่​ประพฤติ​จน​เคยชิน ซึ่ง​ถ้า​ไม่ใช่​พระ​สัมมาสัม​พุทธ​เจ้า​ก็​ละ​ไม่​ได้

. อา​นุ​ภาว​สัมปทา ได้แก่ ความ​เป็น​ใหญ่​ใน​การ​ทำให้​สำเร็จ​ ได้​ตาม​ที่​ปรารถนา

. รูป​กาย​สัมปทาได้แก่​ พระรูป​สมบัติ​อัน​ประกอบ​ด้วย​พระ​มหาปุ​ริ​สลัก​ษณะ และ​อนุ​พยัญชนะ​ อัน​เป็น​ที่​เจริญ​ตาเจริญใจ​ของ​ชาว​โลก​ทั้ง​มวล

เมื่อ​เหตุคือบารมีถึง​พร้อม​แล้ว ก็​ทำให้​ถึง​พร้อม​ด้วย​ผล​สัมปทา คือ การ​ตรัสรู้​เป็น​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า การ​เป็น​พระ​สัมมาสัม​พุทธ​เจ้า​นั้น มิใช่​ทำให้​พระองค์​พ้น​ทุกข์​แต่​เพียง​พระองค์​เดียว พระ​บารมี​ที่​ได้​ทรง​บำเพ็ญมานั้น​ก็​เพื่อ​การ​ตรัสรู้​และ​บรรลุ​ความ​เป็น​พระ​สัพพัญญู​ใน​ธรรม​นั้น เพื่อ​ทรง​แสดง​ธรรม​โปรด​เวไนย​สัตว์​ให้​พ้น​ทุกข์​เช่น​เดียวกับ​พระองค์ ถ้า​พระองค์​ทรง​บำเพ็ญ​บารมี​เพื่อ​ดับ​กิเลส​พ้น​ทุกข์แต่พระองค์​เดียว​เท่านั้น พระองค์​ก็​จะ​ไม่​ทรง​พระนาม​ว่า​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า เพราะ​พระพุทธเจ้า​นั้น​มี ๒ ประเภท คือ

. พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า (4) ผู้​ตรัสรู้​ด้วย​พระ​ปัญญา​อัน​ยิ่งซึ่ง​สัจจะด้วย​พระองค์​เอง​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ที่​ไม่​เคย​ได้​ฟัง​มา​ก่อน ทรง​บรรลุ​ความ​เป็น​พระ​สัพพัญญู​ใน​ธรรม​นั้น และ​ทรง​บรรลุ​ความ​เป็น​ผู้มีความ​ชำนาญ​ใน​ธรรม​ที่​เป็น​กำลัง​ทั้ง​หลาย

. พระ​ปัจเจก​พุทธ​เจ้า (5) ผู้​ตรัสรู้​ซึ่ง​สัจจะ​ทั้ง​หลาย​ด้วย​พระองค์​เอง​ที่​ไม่​เคย​ได้​ฟัง​มา​ก่อน แต่​มิได้​บรรลุ​ความ​เป็น​พระ​สัพพัญญู​ใน​ธรรม​นั้น และ​ไม่​ถึง​ความ​เป็น​ผู้​ชำนาญ​ใน​ธรรม​ที่​เป็น​กำลัง​ทั้ง​หลาย

ฉะนั้น การ​บำเพ็ญ​เหตุ คือ บารมี เพื่อบรรลุ​ธรรม​เป็น​พระพุทธเจ้า​ ซึ่ง​เป็น​ผล จึง​มาก​น้อย​ต่าง​กัน

สัตตู​ปการ​สัมปทา คือ การ​ถึง​พร้อม​ด้วย​พระ​อัธยาศัย​และ​อุตสาหะ​อุปการะ​แก่​สัตวโลก​เป็น​นิจ แม้​ใน​เหล่า​สัตว์​ผู้​มี​ความ​ผิด มี​ท่าน​พระ​เทว​ทัต เป็นต้น กับการ​รอ​เวลา​แก่​กล้า​แห่ง​อินทรีย์​ของ​เวไนย​สัตว์​ ​ ผู้มีปัญญิ​นท​รียยัง​ไม่​แก่​กล้า และ​พระองค์​ทรง​แสดง​พระ​ธรรม​อัน​จะ​นำสัตว์​ออก​จาก​ทุกข์​ทั้ง​ปวง โดย​มิได้​ทรง​เพ่ง​ลาภ​สัก​กา​ระ​ เป็นต้น

เมื่อ​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​ถึง​พร้อม​ด้วย​เหตุ​สัมปทา ​และ​ผล​สัมปทา​แล้ว พระองค์ก็ทรง​โปรด​เวไนย​สัตว์​ให้​พ้น​ทุกข์​เป็นการ​ถึง​พร้อม​ด้วย สัตตู​ปการ​สัมปทา การ​เป็น​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​นั้น เป็นการ​ถึง​พร้อม​ด้วย​สัมปทา​ทั้ง​สาม

ด้วย​เหตุ​นี้ พระ​ธรรม​ที่​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​เทศนา​จึง​เป็น​ธรรม​ที่​พระองค์​ทรง​ตรัสรู้ การตรัสรู้​ธรรม​ทำให้​พระองค์​ทรง​หมด​กิเลส และ​พระองค์​ทรง​แสดง​ธรรม​ที่​พระองค์​ทรงตรัสรู้ เพื่อ​ให้​ผู้​ปฏิบัติ​ตาม​ก็​หมด​กิเลส​ด้วย

ฉะนั้น พุทธ​ศาสนิกชนจึง​ควร​พิจารณา​และ​ศึกษา​ให้​รู้​ว่าธรรม​​และ​ความ​จริง​ที่​พระองค์​ทรงตรัสรู้​นั้นคือ​ะไร​ ความ​จริง​ที่​พระองค์​ทรง​ตรัสรู้​นั้นต่าง​กับ​ความ​จริง​ที่​เรา​คิด​นึก​​หรือ​เข้าใจ​อย่างไร​บ้าง

ความ​จริง​ที่​พระองค์​ทรง​ตรัสรู้และ​ทรง​เทศนา​สั่ง​สอน​พุทธ​บริษัท​ให้​เข้าใจ​และ​ปฏิบัติ​ตามจน​เห็น​ความ​จริง​นั้นๆ ก็คือ​​สิ่ง​ทั้ง​หลาย​ที่​ปรากฏ​นั้น​เป็นธรรม​แต่ละ​ชนิด​แต่ละ​ประเภท ไม่ใช่​ตัว​ตน ไม่ใช่​สัตว์ ไม่ใช่​บุคคล ธรรม​ทั้ง​หลาย​ที่​เกิด​ขึ้น​นั้นเพราะ​มี​ปัจจัย​ปรุง​แต่ง​จึง​เกิด​ขึ้น​ได้ เช่น ความ​โลภ ความ​โกรธ ความ​เสียใจ ความ​ทุกข์ ความ​สุข ความ​ริษยา ความ​ตระหนี่ ความ​เมตตา ความ​กรุณา การ​เห็น การ​ได้ยิน เป็นต้น ล้วนแต่เป็น​สภาพ​ธรรม​แต่ละ​ชนิดสภาพ​ธรรม​แต่ละ​ชนิด​แต่ละ​ประเภท​นั้น​ต่าง​กัน เพราะ​เกิด​จาก​เหตุ​ปัจจัย​ต่างๆ กัน

การ​ที่​หลง​ยึด​ความ​โลภ ความ​โกรธ​ และ​สภาพ​ธร​รม​อื่นๆ ที่​ เกิด​ขึ้น​ว่า​เป็น​ตัว​ตน เป็น​สัตว์ เป็น​บุคคล​นั้น เป็น​ความ​เห็น​ผิด เป็นความ​เข้าใจ​ผิด​ เพราะ​ธรรม​เหล่า​นี้​เมื่อ​เกิด​ขึ้น​แล้ว​ก็​ดับ​ไป หมด​ไป เปลี่ยนแปลงไป​อยู่​ตลอด​เวลา​ ตั้งแต่​เกิด​จน​ตาย การ​หลง​เข้าใจ​ผิด​ว่า​เป็น​ตัว​ตน เป็น​สัตว์ เป็น​บุคคล​นั้น​ ก็​เพราะ​ไม่รู้​ความ​จริง​ของ​ธรรม​ทั้ง​ปวง เมื่อ​เห็น​ขณะ​ใด​ก็​ยึด​การ​เห็น​ซึ่ง​เป็น​สภาพ​ธรรม​ชนิด​หนึ่ง​ว่า​เป็น​ตัว​ตน เป็น​เรา​เห็น เมื่อ​ได้ยินก็ยึดสภาพ​ธรรม​ที่​ได้ยิน​นั้น​เป็น​ตัว​ตน เป็น​เรา​ได้ยิน เมื่อ​ได้​กลิ่นก็ยึด​สภาพ​ธรรม​ที่​ได้​กลิ่น​นั้น​เป็นตัว​ตน เป็น​เรา​ได้​กลิ่น เมื่อลิ้มรส​ก็​ยึด​สภาพ​ธรรม​ที่​ลิ้มรส​นั้น​เป็นตัว​ตน​ เป็น​เรา​ลิ้ม​รส เมื่อ​คิด​นึก​เรื่อง​ใด​ก็​ยึด​สภาพ​ธรรม​ที่​คิด​นึก​นั้นเป็น​ตัว​ตน เป็น​เรา​นึกคิด เป็นต้น

เมื่อ​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​ตรัสรู้​ความ​จริง​ของ​สภาพ​ธรรม​ทั้ง​ปวง​แล้ว พระองค์ก็ทรง​เทศนา​สั่ง​สอน​พุทธ​บริษัทให้รู้ว่า​ สภาพ​​ธรรม​ทั้ง​ปวง​นั้น​ไม่ใช่​ตัว​ตน ไม่ใช่​สัตว์ ไม่ใช่​บุคคล เป็น​ปรมัตถ​ธรรม คือ เป็น​สภาพ​ธรรม​ที่​มี​ลักษณะ​เฉพาะ​แต่ละ​อย่างๆ ไม่มี​ใคร​เปลี่ยนแปลง​ลักษณะ​ของ​สภาพ​ธรรมนั้นๆ ได้ ไม่ว่า​ใครจะ​รู้​หรือ​ไม่รู้​ก็ตาม ใคร​จะ​เรียก​สภาพ​ธรรม​นั้น​ด้วย​คำใด​ภาษา​ใด​​หรือ​ไม่​เรียก​สภาพ​ธรรม​นั้น​ด้วย​คำใดๆ เลย​ก็ตาม สภาพ​ธรรมนั้นก็เป็น​สภาพ​ที่​ไม่มี​ใคร​เปลี่ยนแปลง​ได้​เลย สภาพ​ธรรม​ใด​ที่​เกิด​ขึ้น สภาพ​ธรรม​นั้น​เกิด​ขึ้น​เพราะ​เหตุ​ปัจจัย​แล้ว​ก็​ดับ​ไป ดัง​ที่​พระองค์​ได้​ทรง​แสดง​ธรรม​แก่​ท่าน​พระ​อานนท์​ว่า สิ่ง​ใด​เกิด​ขึ้น​แล้ว มี​แล้ว ปัจจัย​ปรุง​แต่ง​แล้ว มี​ความ​ทำลาย​เป็น​ธรรมดา (6)

เมื่อ​ความ​ไม่รู้​ทำให้​เกิด​ความ​เข้าใจ​ผิด และ​ยึดถือ​สภาพ​ธรรม​ที่​เกิด​ดับ​ว่า​เป็น​ตัว​ตน เป็น​สัตว์ เป็น​บุคคล​แล้ว ก็​ย่อม​ทำให้​เกิด​ความ​ยินดี​พอใจ หลง​ยึดถือ​เพิ่มพูน​ยิ่ง​ขึ้น​ในยศฐา​บรรดาศักดิ์​ ตระกูล​ชาติ วรรณะ เป็นต้น ความ​จริง​นั้น​สิ่ง​ที่​มอง​เห็น​เป็น​เพียง​สี​ต่างๆ ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา ไม่ใช่​ตัว​ตน ไม่ใช่​สัตว์ ไม่ใช่​บุคคล เป็นสภาพ​ธรรม​แต่ละ​ชนิด​ที่​เกิด​ขึ้น​เพราะ​ปัจจัย​ต่างๆ กัน

การ​หลง​ยึด​สภาพ​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ว่า​เป็น​ตัว​ตน เป็น​สัตว์ เป็นบุคคล​นั้น อุปมา​เหมือน​คน​เดิน​ทางใน​ที่​ซึ่ง​ย่อม​เห็น​เหมือน​กับ​ว่า​มี​เงา​นํ้าอยู่​ข้าง​หน้า แต่​เมื่อ​เข้า​ใกล้ เงา​นํ้า​ที่​เห็น​ก็​หาย​ไป เพราะแท้จริงหามีนํ้าไม่ เงานํ้าที่​เห็น​เป็น​มายา เป็น​ภาพลวงตาฉันใด การ​เข้าใจ​ผิด​ว่า​สภาพ​ธรรม​ทั้ง​หลาย​เป็น​ตัว​ตน เป็น​สัตว์ เป็น​บุคคล​เพราะ​ความ​ไม่รู้ เพราะ​ความ​จำ เพราะ​ความ​ยึดถือก็ฉันนั้น

คำว่า​ สัตว์ บุคคล หญิง ชาย เป็นต้น​นั้น เป็น​เพียง​คำบัญญัติ​ให้​รู้​ความ​หมาย​ของ​สิ่ง​ที่​เห็น ที่​ได้ยิน เป็นต้น อีกประการ​หนึ่ง​ ย่อม​จะ​เห็น​ได้​ว่า ​วัตถุ​สิ่งของ​ต่างๆ เสียง​ต่างๆ กลิ่นต่างๆ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว และ​เรื่อง​ต่างๆ นั้น แม้​จะ​วิจิตร​สัก​เพียง​ใด ​ ก็​จะ​ปรากฏ​ให้​รู้​ไม่​ได้ ถ้า​ไม่มี​สภาพ​ธรรม​ที่​เป็น​สภาพ​รู้ ซึ่ง​ได้แก่​ การ​เห็น การ​ได้ยิน การ​ได้​กลิ่น การ​ลิ้ม​รส การ​รู้​เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้​ แข็ง รู้​ตึง รู้ไหว การ​รู้​ความ​หมาย​ของ​สิ่ง​ต่างๆ และ​การ​คิด​นึก

สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​สิ่ง​ต่างๆ เช่น สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​สี สภาพ​ธรรม​ที่ รู้เสียง สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​กลิ่น สภาพ​ธรรม​ที่​ลิ้ม​รส สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​เย็น รู้ร้​อน รู้อ่อน รู้​แข็ง รู้​ตึง รู้​ไหว ​สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​ความ​หมาย​ของ​สิ่ง​ต่างๆ และ​สภาพ​ธรรม​ที่​คิด​นึก​เรื่อง​ต่างๆ เป็นต้น พระสัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรงบัญญัติ​เรียก​สภาพ​รู้​สิ่ง​ต่างๆ นั้น​ว่า จิต

ปรมัตถธรรม​มี ๔ ประเภท

จิต เป็น​สภาพ​ธรรม​ที่​เป็น​ใหญ่​ใน​การ​รู้​สิ่ง​ที่​ปรากฏ เช่น เห็น ได้ยิน เป็นต้น จิต​ทั้งหมด​ ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภทโดย​พิเศษ

เจตสิก เป็น​สภาพ​ธรรม​อีก​ประเภท​หนึ่ง​ที่​เกิด​ร่วม​กับ​จิต ​รู้สิ่ง​เดียว​กับ​จิต ดับ​พร้อม​กับ​จิต และ​เกิด​ที่​เดียว​กับ​จิต เจตสิก​แต่ละ​เจตสิก​มี​ลักษณะ​ และ​กิจ​ต่าง​กัน​ตาม​ประเภท​ของเจตสิกนั้นๆ เจตสิกทั้งหม​ดมี ๕๒ ประเภท

รูป เป็น​สภาพ​ธรรม​ที่​ไม่ใช่​สภาพ​รู้ เช่น สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น รูป​ทั้งหมดมี๒๘ ประเภท

นิพพาน เป็น​ธรรม​ที่​ดับ​กิเลส ดับ​ทุกข์ นิพพาน​ไม่มี​ปัจจัย​ปรุง​แต่ง​ให้​เกิด​ขึ้น นิพพาน​จึง​ไม่​เกิด​ดับ

จิต​ปรมัตถ์

ขณะ​ที่​เห็น​สี​ต่างๆ ทาง​ตา​นั้น ตาไม่​เห็น​อะไร​ ตา​เป็น​เพียง​ปัจจัย​ที่​ทำให้​เกิด​การ​เห็น​ซึ่ง​เป็น​จิต เมื่อ​เสียง​กระทบ​หู หู​ไม่ใช่​จิต เพราะ​เสียง​และ​หู​ไม่รู้​อะไร แต่​สภาพ​ธรรม​ที่​ได้ยิน​เสียง​หรือ​รู้​เสียง​นั้น​เป็น​จิต ฉะนั้น จิต​ปรมัตถ์​จึง​เป็น​สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​สี เสียงรู้​ รู้​สิ่ง​ต่างๆ

ปรมั​ตถ​ธรรม คือ​ สภาพ​ธรรม​ที่มีจริง​นี้​เป็น​อภิธรรมเป็น​ธรรม​ที่​เป็น​อนัตตา ไม่​อยู่​ใน​อำนาจ​บังคับ​บัญชา​ของผู้​ใด​ทั้ง​สิ้น เป็น​สภาพ​ธรรม​ที่​เป็น​ไป​ตาม​เหตุ​ปัจจัย แม้​พระ​สัมมา​สัม​พุทธเจ้า​จะ​ไม่​ประสูติ​และ​ตรัสรู้ สภาพ​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ก็​ย่อม​เป็น​ไป​ตาม​เหตุ​ปัจจัย​อยู่แล้ว​ (7) พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​เป็น​พระบรม​ศาสดา เพราะ​พระองค์​ทรง​ตรัสรู้​ธรรม​ทั้ง​ปวง​ด้วยพระองค์​เอง​ว่า ธรรม​ทั้ง​ปวง​ไม่ใช่​ตัว​ตน ไม่ใช่​สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และ​ธรรม​ทั้ง​ปวง​ไม่​อยู่​ใน​อำนาจ​บังคับ​บัญชา​ของ​ผู้​ใด​ทั้ง​สิ้น

คำว่า​อภิ แปล​ว่า​ยิ่ง​ใหญ่ อภิธรรม คือ ธรรม​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​ เพราะ​เป็น​อนัตตา ไม่​อยู่​ใน​อำนาจ​บังคับ​บัญชา​ของ​ผู้​ใด เมื่อ​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​ตรัสรู้​แล้ว พระองค์​ทรง​เทศนาธรรม​ทั้ง​ปวง​ที่​ทรง​ตรัสรู้พร้อม​ทั้ง​เหตุ​ปัจจัย​ของ​ธรรม​ทั้ง​ปวง​นั้น​โดย​สภาพ​ความ​เป็น​จริง​ของ​ธรรม​นั้นๆ พระองค์​ทรง​เคารพ​ธรรม​ที่​ทรงตรัสรู้ (8) พระองค์​มิได้​ทรง​เทศนา​ว่า​ธรรม​ทั้ง​ปวง​อยู่​ในอำนาจ​ของ​พระองค์ แต่​ทรง​เทศนา​ว่า​แม้​พระองค์​เอง​ก็​ไม่​สามารถบันดาล​ให้​ผู้​ใด​พ้น​ทุกข์ ​หรือ​บรรลุ​มัค​ค์ ผล นิพพาน​ได้ การ​ประพฤติ​ปฏิบัติ​ธรรม​เท่านั้น​ที่​เป็น​ปัจจัย​ให้​ผู้​ปฏิบัติ​บรรลุ​มรรค ผล นิพพาน และ​พ้น​ทุกข์​ได้

ปรมั​ตถ​ธรรม​หรืออ​ภิธรรม​นั้น มิใช่​ธรรม​ที่​เหลือ​วิสัย​ที่​จะ​เข้าใจ​ได้ เพ​ราะ​ปรมั​ตถ​ธรรม​เป็น​ธรรม​ที่มีจริงฉะนั้น ความ​เห็นถูก ความ​เข้าใจ​ถูก จึง​เป็นการ​รู้​ความ​จริง​ของ​ปรมั​ตถ​ธรรม​ตาม​สภาพ​ลักษณะ​ของ​ปรมั​ตถ​ธรรม​นั้นๆ

จิต​เป็น​ปรมั​ตถ​ธรรม​ที่​เกิด​ขึ้นรู้​สี​ รู้เสียง รู้​กลิ่น รู้​รส รู้​สัมผัส รู้​สิ่ง​ต่างๆ ตาม​ประเภท​ของ​จิต​นั้น เช่น จิตที่​เกิด​ขึ้น​เห็น​สี​ทาง​ตา​เป็น​​จิต​ประเภท​หนึ่ง จิตที่​เกิด​ขึ้น​ได้ยิน​เสียง​ทาง​หูเป็น​จิต​อีก​ประเภท​หนึ่ง จิต​ที่​เกิด​ขึ้น​รู้​เย็น รู้ร้อน​ รู้อ่อน รู้​แข็ง รู้​ตึง รู้​ไหว​ทาง​กาย​เป็น​จิต​รู้​ประเภท​หนึ่ง จิตคิดนึก​ที่​เกิด​ขึ้น​รู้​เรื่อง​ต่างๆ ทาง​ใจ​เป็น​จิต​ประเภท​หนึ่ง ดังนี้​เป็นต้น ทั้งนี้​ตาม​ประเภท​ของ​จิต​และ​ตาม​ปัจจัย​ที่​ทำให้​เกิด​จิต​ประเภท​นั้นๆ

ใน​ขณะ​ที่​จิต​กำลัง​เห็น​สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​อยู่​นั้น ขณะ​นั้นมิได้มีแต่​เฉพาะ​จิต​ที่​เห็น​เท่านั้น หรือมิได้มี​แต่​เฉพาะ​สิ่ง​ที่​จิต​เห็น​เท่านั้น แต่​ต้อง​มี​ทั้ง​จิต​เห็น​และ​สิ่ง​ที่​จิต​เห็น เมื่อ​มี​สิ่ง​ที่​ถูก​เห็น​ขณะ​ใด ก็​แสดง​ว่า​ขณะ​นั้น​ต้อง​มี​สภาพ​เห็น คือ​จิต​เห็น​ด้วย แต่​ถ้า​มุ่ง​สนใจ​แต่​เฉพาะ​วัตถุ​หรือ​สิ่ง​ที่​ถูก​เห็นเท่านั้นจะ​ทำก็​ให้​ไม่รู้​ความ​จริง​ว่า ​สิ่ง​ที่​ถูก​เห็นนั้น​จะ​ปรากฏ​ได้ก็​เพราะ​จิต​เกิด​ขึ้น​ทำกิจ​เห็น​สิ่ง​นั้น ในขณะ​คิด​นึก​ก็​เช่น​เดียวกัน ​เมื่อ​จิต​คิด​นึก​เรื่อง​ใด เรื่อง​ราว​นั้น​เป็น​คำที่​จิต​กำลัง​คิด​นึก​อยู่​ใน​ขณะ​นั้น เมื่อ​จิต​เกิด​ขึ้น​รู้​สิ่ง​ใด สิ่ง​ที่​จิต​รู้​นั้น ภาษา​บลี​เรียก​ว่า อา​รมฺมณ

คำว่า อา​รมฺมณ (อารมณ์) หรือ อาลมฺพนใน​พระ​ธรรม​คำสอน​ของ​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​นั้น หมาย​ถึง​สิ่ง​ที่​จิต​รู้ ขณะ​ใด​ที่​จิต​เกิด​ขึ้นเห็น​สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา​ก็​เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​ขณะ​นั้น ขณะ​ใด​ที่​จิต​เกิด​ขึ้น​ได้ยิน​เสียง เสียงก็เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​ขณะ​นั้น ขณะ​ใด​ที่​จิต​เกิด​ขึ้น​รู้​กลิ่น กลิ่น​ก็​เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​ขณะ​นั้น ขณะ​ใด​ที่​จิต​เกิด​ขึ้น​ลิ้ม​รส รส​ก็​เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​ขณะ​นั้น ขณะ​ใด​ที่​จิต​เกิด​ขึ้น​รู้​เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้​แข็ง รู้​ตึง รู้​ไหว ​เย็น​ร้อน​อ่อน​แข็ง​ตึง​ไหว​ก็​เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​ขณะ​นั้น ขณะ​ใด​ที่​จิต​เกิด​ขึ้น​คิด​นึก​เรื่อง​ราวต่างๆ เรื่อง​ราว​ต่างๆ เป็น​อารมณ์​ของ​จิตที่​ก็กำลัง​คิด​นึกขณะ​นั้น ดังนี้​เป็นต้น เมื่อมีจิต​ก็​ต้อง​มี​อารมณ์​คู่​กัน​ไป​ทุกครั้ง จิต​เกิด​ขึ้น​ขณะ​ใด จะ​ต้อง​รู้​อารมณ์​ขณะ​นั้น เมื่อ​จิตเกิด​ขึ้น​แล้ว​ไม่รู้​อารมณ์​ไม่​ได้ หรือ​จะ​มี​แต่​จิต​ซึ่ง​เป็น​สภาพ​รู้​โดย​ไม่มี​อารมณ์​ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ที่​ถูก​รู้ก็ไม่​ได้

จิต​ซึ่ง​เป็น​สภาพ​ธรรม​ที่​รู้​อารมณ์​นั้น​มิใช่มีแต่​ใน​พระพุทธ​ศาสนา​หรือ​เฉพาะ​ใน​มนุษย์​เท่านั้น จิต​เห็น จิต​ได้ยิน เป็ต้นั้นเป็น​ปรมั​ตถ​​ธรรม ไม่ใช่​เชื้อ​ชาติ​ใดๆ ทั้ง​สิ้น การ​ที่​บัญญัติ​ว่า​เป็น​บุคคล​นี้​เห็น สัตว์​นั้น​ได้ยิน เป็นต้น ก็​โดย​อาศัย​รูป​และการ​จำ ถ้า​ไม่มี​รูป​และ​การ​จำก็​ย่อม​จะ​บัญญัติจิตเห็นจิต​ได้ยิน​นั้นๆ ว่าเป็น​บุคคล​นี้​เห็น​ หรือ​เป็น​สัตว์​นั้น​ได้ยิน​ไม่​ได้ จิต​เป็น​ปรมั​ตถ​ธรรม ไม่​ว่า​จะ​เป็น​จิต​เห็น​ของ​สัตว์​ใด​ บุคคล​ใด จิต​เห็น​ที่​เกิด​ขึ้น​นั้นก็จะ​ต้อง​เห็น​สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตาจิต​ได้ยินก็จะ​ต้อง​ได้ยิน​เสียงจิต​เห็นจะ​รู้​เสียง​ไม่​ได้ และ​จิต​ได้ยิน​จะ​รู้​สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา​ไม่​ได้ ไม่มีผู้ใด​มี​อำนาจ​บังคับ​บัญชา​ให้​ปรมั​ตถ​ธรรม​เปลี่ยน​ลักษณะ​และ​สภาพ​ของ​ปรมั​ตถ​ธรรม​นั้นๆ เป็น​อย่าง​อื่น​ได้ จิต​ซึ่ง​เป็น​ปรมั​ตถ​ธรรม​ที่​เกิด​ขึ้น​รู้​อารมณ์​นั้น เกิด​ขึ้น​ได้​เพราะ​มี​เหตุ​ปัจจัย​ ทำให้​เกิด​ขึ้น เมื่อไม่มี​ปัจจัย จิต​ก็​เกิด​ไม่​ได้​ เช่น เมื่อ​เสียง​ไม่​เกิด​ขึ้นกระทบ​หู จิต​ได้ยินก็เกิด​ไม่​ได้เมื่อ​กลิ่น​ไม่​เกิด​ขึ้น​กระทบจมูก จิต​รู้​กลิ่น​ก็​เกิด​ไม่​ได้ จิต​แต่ละ​ประเภท​จะ​เกิด​ขึ้น​ได้ ก็​เพราะ​มี​ปัจจัย​ที่​ทำให้​เกิด​ จิต​ประเภท​นั้นๆ ฉะนั้นที่​เกิด​ขึ้น​จึง​ต่าง​กัน​เป็น​ ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภทโดย​พิเศษ (ซึ่ง​เรียก​ว่า ๘๙ ดวง​หรือ ๑๒๑ ดวง) และ​ปัจจัย​ที่​ทำให้​เกิด​จิต​ประเภท​หนึ่งๆ นั้น​ก็​ไม่ใช่​เพียง​ปัจจัย​เดียว แต่​ต้อง​​มี​หลาย​ปัจจัย เช่น

จิต​เห็น​เกิด​ขึ้น​เพราะ​มี​ปัจจัย คือตา​ ซึ่ง​ได้แก่​จักขุ​ปสาท และ​ รูป คือสิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา​ เป็นต้น

จิต​เป็น​ปรมั​ตถ​ธรรม​ที่​ไม่ใช่​รูป ปรมัตถธรรม​ใด​ไม่ใช่​รูป ปรมั​ตถธรรม​นั้น​เป็น​ามธรรม จิต เจตสิก นิพพาน​เป็นน​ามธรรม รูป​เป็น​รูป​ธรรม

เจตสิก​ปรมัตถ์

ใน​ขณะ​ที่​จิต​เกิด​ขึ้น​รู้​อารมณ์​นั้น ​มี​นาม​ปรมัตถ์​อีก​ประเภท​

หนึ่ง​เกิด​ร่วม​กับ​จิต และ​รู้​อารมณ์​เดียว​กับจิต​ นาม​ปรมัตถ์นั้น คือ​เจตสิก เจตสิกได้แก่​ ความ​โกรธ ความ​รัก ความสุข ความ​ทุกข์ ความ​ตระหนี่ ความ​ริษยา ความ​เมตตา ความ​กรุณา เป็นต้น สภาพ​ธรรม​เหล่า​นี้​เป็น​เจตสิก​ปรมัตถ์ ไม่ใช่จิต​ปรมัตถ์

ความ​โกรธ ความ​รัก ความ​สุข ความ​ทุกข์ เป็นต้น​ เป็น​สภาพธรรม​ที่มีจริงไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่​สัตว์ ไม่ใช่​บุคคล เป็น​สภาพ​ธรรมที่​ต้อง​เกิด​กับ​จิต ถ้า​ไม่มี​จิต เจตสิก​คือ ความ​โกรธ ความ​รัก ความ​ทุกข์ เป็นต้น ก็​เกิด​ไม่​ได้​ เจตสิก​ปรมัตถ์​มี ๕๒ ประเภท​หรือ​เรียก​ว่า ๕๒ ดวง เช่น ความ​โกรธ (โทสะ) ก็​เป็น​เจตสิก​ชนิด​หนึ่ง ​มีลักษณะหยาบ กระด้าง​ ดุร้าย ความ​รักก็​เป็น​เจตสิก​ชนิด​หนึ่ง คือ โลภเจตสิก​ มี​ลักษณะ​ยึด​ติด ไม่​สละ​และ​ปรารถนาอารมณ์ จะ​เห็น​ได้​ว่าเจตสิก​แต่ละ​ประเภท​เป็น​สภาพธรรม​แต่ละ​อย่าง ไม่ใช่​สภาพ​ธรรม​อย่าง​เดียวกัน นอกจากมีลักษณะ​ต่าง​กันกิจ​ของ​เจตสิก​แต่ละ​อย่าง​ก็​ต่าง​กัน ผลคืออาการ​ที่​ปรากฏ​ก็​ต่าง​กัน​ และ​เหตุ​ปัจจัย​ที่​ทำให้​เกิด​เจตสิก​แต่ละ​ประเภท​ก็​ต่าง​กัน

จิตปรมัตถ์และเจตสิกปรมัตถ์เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์และเกิดร่วมกัน เจตสิกเกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต คือจิตเกิดดับที่ไหนเจตสิกก็เกิดดับที่นั่น จิตปรมัตถ์และเจตสิกปรมัตถ์นั้นไม่แยกกัน คือ ไม่เกิดดับแต่เพียงปรมัตถ์เดียว จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ ส่วนเจตสิกต่างๆ ที่เกิดร่วมกับจิตก็รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่มีลักษณะและหน้าที่ในการรู้อารมณ์นั้นต่างกันไปตามลักษณะและกิจการงานของเจตสิกแต่ละประเภท เพราะเหตุที่จิตแต่ละดวงที่เกิดขึ้นนั้นมีเจตสิกเกิดขึ้นร่วมด้วยมากน้อยต่างๆ กัน และเป็นเจตสิกต่างประเภทกัน จึงทําให้จิตต่างกันเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ประเภท โดยพิเศษ จิตแต่ละประเภทนั้นไม่เหมือนกัน โดยรู้อารมณ์ต่างกันบ้าง โดยทํากิจต่างกันบ้าง โดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างกันบ้าง เช่นจิตบางดวงมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นอารมณ์ จิตบางดวงมีเสียงเป็นอารมณ์ เป็นต้น จิตบางดวงทํากิจเห็น จิตบางดวงทํากิจได้ยิน เป็นต้น จิตบางดวงมีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตบางดวงมีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ดังนี้ เป็นต้น เมื่อเวไนยสัตว์ฟังพระอภิธรรม ก็พิจารณาสภาพปรมัตถธรรมที่กําลังปรากฏด้วยปัญญาที่ได้อบรมสะสมมาแล้วในอดีต จึงรู้ความจริงของปรมัตถธรรมในขณะนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมจบลง จึงมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นจํานวนมาก เพราะท่านเหล่านั้นฟังพระธรรมเข้าใจและพิจารณารู้ความจริงของสภาพปรมัตถธรรมที่กําลังปรากฏในขณะนั้น เช่น เมื่อพระองค์ทรงเทศนาว่า จักขุวิญญาณ คือ จิตที่ทํากิจเห็นนั้นไม่เที่ยง ท่านเหล่านั้นก็มีสติสัมปชัญญะ รู้สภาพลักษณะของจิตในขณะที่กําลังเห็นนั้นได้ถูกต้องว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ในขณะที่กําลังได้ยิน ท่านเหล่านั้นก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะที่กําลังได้ยินนั้น เมื่อปัญญารู้แจ้งลักษณะที่ไม่เที่ยง เกิดดับเป็นทุกข์ของปรมัตถธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นแล้ว ก็ละคลายความยินดีเห็นผิดที่ยึดถือปรมัตถธรรมเหล่านั้นว่าเป็นตัวตน เที่ยง และเป็นสุข ฉะนั้น จึงเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงเทศนาสั่งสอน ซึ่งได้รวบรวมบันทึกไว้เป็นพระไตรปิฎกนั้นเป็นเรื่องความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง เมื่อศึกษาและเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว ก็ควรพิจารณาปรมัตถธรรมที่กําลังปรากฏ เพื่อรู้แจ้งลักษณะความจริงของปรมัตถธรรมที่กําลังปรากฏนั้น จึงจะละความสงสัยและความไม่รู้ในสภาพลักษณะของปรมัตถธรรมได้อย่างแท้จริง

การศึกษาเพื่อให้เข้าใจปรมัตถธรรมนั้น จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลจึงจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง เช่น จะต้องรู้ว่าสภาพที่เห็นกับสภาพที่ได้ยินนั้นเหมือนกันหรือไม่ ถ้าเหมือนกัน เหมือนกันอย่างไร ถ้าไม่เหมือน ไม่เหมือนกันอย่างไร สภาพเห็นและสภาพได้ยินเป็นจิตปรมัตถ์ก็จริง แต่ไม่ใช่จิตเดียวกัน เพราะเหตุปัจจัยที่ทําให้เกิดต่างกัน จิตเห็นนั้นต้องอาศัยสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาทเป็นปัจจัยจึงจะเกิดได้ ส่วนจิตได้ยินต้องอาศัยเสียงกระทบกับโสตปสาทเป็นปัจจัยจึงจะเกิดได้ จิตเห็นและจิตได้ยินมีกิจต่างกัน และเกิดจากปัจจัยต่างกัน

รูปปรมัตถ์

รูปปรมัตถ์เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ (9) มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นและดับไปเช่นเดียวกับจิตและเจตสิก

รูปปรมัตถ์มี ๒๘ รูป หรือ ๒๘ ประเภท และมีความหมายไม่เหมือนที่เข้าใจกันว่า โต๊ะเป็นรูปหนึ่ง เก้าอี้เป็นรูปหนึ่ง หนังสือเป็นรูปหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น ในรูปปรมัตถ์ ๒๘ ประเภทนั้น มีรูปที่จิตรู้ได้ทางตา คือ มองเห็นได้เพียงรูปเดียว คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ส่วน อีก ๒๗ รูปนั้น จิตเห็นไม่ได้ แต่รู้ได้ทางอื่นตามประเภทของรูปนั้นๆ เช่น เสียงรู้ได้ทางหู เป็นต้น

ถึงแม้ว่าจะเห็นจิตและเจตสิกด้วยตาไม่ได้เช่นเดียวกับรูป ๒๗ รูปที่มองไม่เห็น แต่จิตและเจตสิกก็ไม่ใช่รูปปรมัตถ์ เพราะจิตและเจตสิกเป็นปรมัตถธรรมที่รู้อารมณ์ ส่วนรูปเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ รูปปรมัตถ์เป็นสังขารธรรม มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น รูปๆ หนึ่งอาศัยรูปอื่นเกิดขึ้น ฉะนั้น จะมีรูปเกิดขึ้นเพียงรูปเดียวไม่ได้ ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกัน และอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูปรวมกันเป็น ๑ กลุ่มเล็กๆ ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้เลย ภาษาบาลีเรียกว่า ๑ กลาป

รูปเป็นสภาพธรรมที่เล็กละเอียดมาก เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา รูปกลาปหนึ่งที่เกิดขึ้นจะดับไปเมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะจิตที่เห็นและจิตที่ได้ยินขณะนี้ ซึ่งปรากฏเสมือนว่าพร้อมกันนั้นก็เกิดดับห่างไกลกันเกินกว่า ๑๗ ขณะจิต ฉะนั้นรูปที่เกิดพร้อมกับจิตที่เห็นก็ดับไปก่อนที่จิตได้ยิน จะเกิดขึ้น

รูปแต่ละรูปเล็กละเอียดมาก ซึ่งเมื่อแตกย่อยรูปที่เกิดดับรวมกันอยู่ออกจนละเอียดยิบ จนแยกต่อไปไม่ได้อีกแล้วนั้น ในกลุ่มของรูป (กลาปหนึ่ง) ที่เล็กที่สุดที่แยกอีกไม่ได้เลยนั้นก็มีรูปรวมกันอย่างน้อยที่สุด ๘ รูป เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ คือ

มหาภูตรูป (รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน) ๔ ได้แก่

ปฐวี (ธาตุดิน) เป็นรูปที่อ่อนหรือแข็ง ๑ รูป

อาโป (ธาตุน้ำ) เป็นรูปที่เอิบอาบหรือเกาะกุม ๑ รูป

เตโช (ธาตุไฟ) เป็นรูปที่ร้อนหรือเย็น ๑ รูป

วาโย (ธาตุลม) เป็นรูปที่ไหวหรือตึง ๑ รูป

มหาภูตรูป ๔ นี้ต่างอาศัยกันเกิดขึ้น จึงแยกกันไม่ได้เลย และ มหาภูตรูป ๔ นี้เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก ๔ รูปที่เกิดร่วมกับมหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน คือ

วัณโณ (แสงสี) เป็นรูปที่ปรากฏทางตา ๑ รูป คันโธ (กลิ่น) เป็นรูปที่ปรากฏทางจมูก ๑ รูป

รโส (รส) เป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น ๑ รูป

โอชา (อาหาร) เป็นรูปที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป ๑ รูป

รูป ๘ รูปนี้แยกกันไม่ได้เลย เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดที่เกิดพร้อมกัน และดับพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จะมีแต่มหาภูตรูป ๔ โดยไม่มีอุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) ๔ รูปนี้ไม่ได้เลย

มหาภูตรูป ๔ เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยของอุปาทายรูปที่เกิดร่วมกันในกลาปเดียวกัน แต่แม้ว่าอุปาทายรูปจะเกิดพร้อมกับมหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน แต่อุปาทายรูปก็ไม่ได้เป็นปัจจัยให้มหาภูตรูปเกิด ฉะนั้น มหาภูตรูป ๔ จึงเกิดพร้อมกับอุปาทายรูป โดยมหาภูตรูปเป็นปัจจัย คือเป็นที่อาศัยของอุปาทายรูป และอุปาทายรูปเกิดพร้อมกับมหาภูตรูปโดยอาศัยมหาภูตรูป แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยให้มหาภูตรูปเกิด

รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป เป็นมหาภูตรูป ๔ เป็นอุปาทายรูป ๒๔ เมื่อมหาภูตรูป ๔ ไม่เกิด อุปาทายรูป ๒๔ ก็มีไม่ได้เลย

การกล่าวถึงรูป ๒๘ รูปนั้นกล่าวได้หลายนัย แต่จะขอกล่าว โดยนัยที่สัมพันธ์กัน เพื่อสะดวกแก่การเข้าใจและการจําดังนี้ คือ

กลุ่มของรูปแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละกลาปนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยังไม่ดับไปทันที สภาวรูป (รูปที่มีลักษณะเฉพาะของตน) มีอายุเท่ากับ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

เมื่อรูปเกิดขึ้นขณะแรกนั้นเป็น อุปจยรูป ๑

ขณะที่รูปเจริญขึ้นเป็น สันตติรูป ๑

ขณะที่รูปเสื่อมลงเป็น ชรตารูป ๑

ขณะที่รูปดับเป็น อนิจจตารูป ๑

รวมเป็น ลักขณรูป ๔

ลักขณรูป ๔ นี้เป็น อสภาวรูป คือ เป็นรูปที่ไม่มีสภาวะต่างหากเฉพาะของตน แต่สภาวรูปทุกรูปนั้นย่อมมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๔ ลักษณะ คือ ขณะที่รูปเกิดขึ้นไม่ใช่ขณะที่รูปเจริญขึ้น และขณะที่รูปเสื่อมก็ไม่ใช่ขณะที่กําลังเจริญ และขณะที่ดับก็ไม่ใช่ขณะที่เสื่อม กล่าวได้ว่า อุปจยรูปและสันตติรูป คือ ขณะที่เกิดแล้วยังไม่ดับ ส่วนชรตารูปและอนิจจตารูปนั้นคือ ขณะที่ใกล้จะดับและขณะดับ

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ เป็น ๑๒ รูป นอกจาก นั้นยังมี

ปริจเฉทรูป คือ อากาสรูป ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลาปทุกๆ กลาป ทําให้รูปแต่ละกลาปไม่ติดกัน ไม่ว่ารูปจะปรากฏเล็กใหญ่ขนาดใดก็ตาม ให้ทราบว่ามีอากาสรูปคั่นอยู่ระหว่างทุกๆ กลาปอย่างละเอียดที่สุด ทําให้รูปแต่ละกลาปแยกออกจากกันได้ ถ้าไม่มีปริจเฉทรูปคั่นแต่ละกลาป รูปทั้งหลายก็ติดกันหมด แตกแยกกระจัดกระจายออกไม่ได้เลย แต่แม้รูปที่ปรากฏว่าใหญ่โตก็สามารถแตกย่อยออกได้อย่างละเอียดที่สุดนั้น ก็เพราะมีอากาสธาตุ คือปริจเฉทรูปคั่นอยู่ทุกๆ กลาปนั่นเอง ฉะนั้น ปริจเฉทรูปจึงเป็นอสภาวรูปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่มีลักษณะเฉพาะของตนที่เกิดขึ้นต่างหาก แต่เกิดคั่นอยู่ระหว่างกลาปต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั่นเอง

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ เป็น ๑๓ รูป

ไม่ว่ารูปจะเกิดที่ใด ภพภูมิใดก็ตาม จะเป็นรูปที่มีใจครอง (อุปาทินนกรูป) หรือรูปไม่มีใจครอง (อนุปาทินนกรูป) ก็ตาม จะปราศจากรูป ๑๓ รูปนี้ไม่ได้เลย

ส่วนรูปที่มีใจครอง ซึ่งเป็นรูปของสัตว์ บุคคลต่างๆ ในภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มีปสาทรูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน (ปัจจัย) ดังนี้ คือ

จักขุปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ ๑ รูป

โสตปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับเสียงได้ ๑ รูป

ฆานปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับกลิ่นได้ ๑ รูป

ชิวหาปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับรสได้ ๑ รูป

กายปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับเย็น ร้อน (ธาตุไฟ) ๑ อ่อน แข็ง (ธาตุดิน) ๑ ตึง ไหว (ธาตุลม) ๑

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ เป็น ๑๔ รูป

รูปที่มีใจครอง คือ มีจิตเกิดกับรูปนั้น ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตทุกขณะจะต้องเกิดที่รูปตามประเภทของจิตนั้นๆ คือ จักขุวิญญาณทํากิจเห็นเกิดที่จักขุปสาทรูป โสตวิญญาณทํากิจได้ยินเกิดที่โสตปสาทรูป ฆานวิญญาณทํากิจดมกลิ่นเกิดที่ฆานปสาทรูป ชิวหาวิญญาณทํากิจลิ้มรสเกิดที่ชิวหาปสาทรูป กายวิญญาณทํากิจรู้โผฏฐัพพะ (ธาตุดิน ไฟ ลม) เกิดที่กายปสาทรูป

จิตอื่นๆ (ในภูมิที่มีขันธ์ ๕) นอกจากนี้เกิดที่รูปๆ หนึ่ง เรียก ว่า หทยรูป เพราะเป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ฉะนั้น วัตถุรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตจึงมี ๖ รูป

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ + หทยรูป ๑ เป็น ๑๙ รูป

รูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานทุกๆ กลาป จะต้องมีชีวิตินทริยรูปเกิดร่วมด้วยทุกกลาป ชีวิตินทริยรูปรักษารูปที่เกิดร่วมกันในกลาปหนึ่งๆ ให้เป็นรูปที่ดํารงชีวิต ฉะนั้น รูปของสัตว์บุคคลที่ดํารงชีวิตจึงต่างกับรูปทั้งหลายที่ไม่มีใจครอง

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ + หทยรูป ๑ + ชีวิตินทริยรูป ๑ เป็น ๒๐ รูป

การที่สัตว์บุคคลทั้งหลายโดยทั่วไปต่างกันเป็นหญิงและชายนั้นเพราะภาวรูป ๒ คือ

อิตถีภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทําให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศหญิง

ปุริสภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทําให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศชาย

ในแต่ละบุคคลจะมีภาวรูปหนึ่งภาวรูปใด คือ อิตถีภาวรูป หรือ ปุริสภาวรูปเพียงรูปเดียวเท่านั้น และบางบุคคลก็ไม่มีภาวรูปเลย เช่น พรหมบุคคลในพรหมโลก และผู้ที่เป็นกระเทย

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ + หทยรูป ๑ + ชีวิตินทริยรูป ๑ + ภาวรูป ๒ เป็น ๒๒ รูป

การที่รูปของสัตว์บุคคลทั้งหลายเคลื่อนไหวไปได้เพราะมีจิตนั้น ก็จะต้องมีรูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานด้วย เพราะถ้ามีเพียงรูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้น จะเคลื่อนไหวไปมาทํากิจธุระใดๆ ไม่ได้เลย การที่รูปร่างกายจะเคลื่อนไหวทํากิจการงานต่างๆ ได้นั้น จะต้องมีวิการรูป ๓ รูป คือ

ลหุตารูป เป็นภาวะที่เบา ไม่หนักของรูป อุปมาเหมือนอาการของคนไม่มีโรค

มุทุตารูป เป็นภาวะที่อ่อน ไม่กระด้างของรูป อุปมาเหมือนหนังที่ขยําไว้ดีแล้ว

กัมมัญญตารูป เป็นภาวะที่ควรแก่การงานของรูป อุปมาเหมือนทองคําที่หลอมไว้ดีแล้ว

วิการรูป ๓ รูปนี้เป็นอสภาวรูป เป็นรูปที่ไม่มีสภาวะต่างหาก เฉพาะของตน เป็นอาการวิการของมหาภูตรูป คือ เบา อ่อน และควรแก่การงาน

วิการรูป ๓ เป็นรูปที่เกิดภายในสัตว์บุคคลเท่านั้น รูปที่ไม่มีใจครองไม่มีวิการรูป ๓ เลย และวิการรูป ๓ นี้ไม่แยกกันเลย ในกลาปใดมีลหุตารูป กลาปนั้นก็มีมุทุตารูป และกัมมัญญตารูปด้วย นอกจากนั้นเมื่อจิตต้องการเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ร่างกายส่วนนั้นจะต้องมีวิการรูปที่เกิดจากอุตุ (ความสม่ำเสมอของธาตุเย็นร้อน) เป็นสมุฏฐาน และมีวิการรูปที่เกิดจากอาหาร (โอชารูป) เป็นสมุฏฐานด้วย มิฉะนั้นแล้ว แม้จิตต้องการจะเคลื่อนไหว รูปก็เคลื่อนไหวไม่ได้ เช่น ผู้ที่เป็นอัมพาตหรือเคล็ดขัดยอก กระปลกกระเปลี้ย เป็นต้น

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ + หทยรูป ๑ + ชีวิตินทริยรูป ๑ + ภาวรูป ๒ + วิการรูป ๓ เป็น ๒๕ รูป

รูปที่มีใจครองนั้น เมื่อจิตต้องการให้รูปเป็นไปตามความประสงค์ของจิตขณะใด ขณะนั้นจิตเป็นสมุฏฐานให้ กายวิญญัติรูป คือ อาการพิเศษที่มีความหมาย หรือมีอาการเป็นไปของรูปตามที่จิตรู้ในอาการนั้นทางตา หรือทางหน้า หรือท่าทาง เช่น ถลึงตา ยิ้มเยาะ เหยียดหยาม หรือห้ามปราม เป็นต้น เมื่อจิตไม่ต้องการให้รูปแสดงความหมาย หรือ มีอาการเจาะจงเป็นไปตามความประสงค์ของจิต กายวิญญัติรูปก็ไม่เกิด

ขณะใดที่จิตเป็นปัจจัยให้เกิดเสียงทางวาจา ซึ่งเป็นการพูด การเปล่งเสียงให้รู้ความหมาย ขณะนั้นจิตเป็นสมุฏฐาน คือ เป็นปัจจัยให้วจีวิญญัติรูปเกิดขึ้น กระทบฐานที่เกิดของเสียงต่างๆ เช่น ริมฝีปาก เป็นต้น ถ้าวจีวิญญัติรูปไม่เกิด การพูด หรือการเปล่งเสียงต่างๆ ก็มีไม่ได้

กายวิญญัติรูปและวจีวิญญัติรูปเป็นอสภาวรูปที่เกิดและดับพร้อมกับจิต

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ + หทยรูป ๑ + ชีวิตินทริยรูป ๑ + ภาวรูป ๒ + วิการรูป ๓ + วิญญัติรูป ๒ เป็น ๒๗ รูป

ในบางแห่งจะรวมวิการรูป ๓ และวิญญัติรูป ๒ เป็นวิการรูป ๕

เสียง หรือสัททรูป ไม่ใช่วจีวิญญัติรูป เสียงเป็นรูปที่กระทบกับโสตปสาทรูป เป็นปัจจัยให้เกิดโสตวิญญาณ เสียงบางเสียงก็เกิดจากจิต และบางเสียงก็ไม่ได้เกิดจากจิต เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงลมพายุ เสียงเครื่องยนต์ เสียงกลอง เสียงวิทยุ เสียงโทรทัศน์ เป็นต้น

รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ + ปสาทรูป ๕ + หทยรูป ๑ + ชีวิตินทริยรูป ๑ + ภาวรูป ๒ + วิการรูป ๓ + วิญญัติรูป ๒ + สัททรูป ๑ เป็น ๒๘ รูป

ในบางแห่งแสดงจํานวนของรูปต่างกัน เช่น ในอัฏฐสาลินีรูปกัณฑ์ ปกิณณกกถา แสดงรูป ๒๕ คือ รวมธาตุดิน ไฟ ลม เป็น โผฏฐัพพายตนะ (รูปที่กระทบกายปสาท) ๑ รูป รวมกับหทยรูปอีก ๑ รูป จึงเป็นรูป ๒๖

เมื่อรูปๆ หนึ่งเกิดขึ้นจะเกิดพร้อมกับรูปอีกกี่รูป รวมกันเป็นกลาปหนึ่งๆ นั้น ย่อมต่างกันไปตามประเภทของรูปนั้นๆ และการจําแนกรูป ๒๘ รูปมีหลายนัย ซึ่งจะกล่าวถึงพอสมควรในภาคผนวก

นิพพานปรมัตถ์

ปรมัตถธรรมอีกประเภทหนึ่ง คือ นิพพานปรมัตถ์ พระผู้มี พระภาคตรัสเรียกว่า นิพพาน เพราะออกจากตัณหา คือ วานะ (10)

นิพพานปรมัตถ์เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ จิต เจตสิก รูป เป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป การที่จะดับทุกข์ได้นั้นจะต้องดับตัณหา เพราะตัณหาเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นสมุทัยให้เกิดขันธ์ ซึ่งได้แก่ จิต เจตสิก รูป การที่จะดับตัณหาได้นั้นก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้งชัดในลักษณะเกิดดับของจิต เจตสิก รูป แล้วละคลายความยินดียึดมั่นเห็นผิดในจิต เจตสิก รูปได้ด้วย การรู้แจ้งนิพพานซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ดับตัณหา ดับทุกข์ ดับขันธ์ นิพพานจึงเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งได้

นิพพานปรมัตถ์ โดยปริยายแห่งเหตุมี ๒ อย่าง (11) คือ

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑

อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑

คําว่าอุปาทินี้เป็นชื่อของขันธ์ ๕ คือ จิต เจตสิก รูป สอุปาทิเสสนิพพาน คือ ความสิ้นไปของกิเลสทั้งหมด แต่ยังมีขันธ์เกิดดับสืบต่ออยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ การดับขันธ์ทั้งหมด เป็นการปรินิพพานของพระอรหันต์

คําว่าโดยปริยายแห่งเหตุ คือ การอ้างถึงมีขันธ์เหลือและไม่มีขันธ์เหลือ ซึ่งเป็นเหตุในการบัญญัตินิพพาน ๒

เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ พระองค์ทรงบรรลุสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ กิเลสและธรรม (ซึ่งได้แก่จิตและเจตสิกอื่นๆ) ที่เกิดร่วมกับกิเลสนั้นดับหมดสิ้นและไม่เกิดอีกเลย แต่ยังมีขันธ์ คือ จิต เจตสิก (ที่ปราศจากกิเลส) และรูปเกิดดับสืบต่ออยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ ทํากิจที่ควรทําเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติ ไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (12)

อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ไม่มีขันธ์เหลือ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพานระหว่างไม้สาละคู่ เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน (13) ดับขันธ์หมดสิ้นโดยรอบ ดับสนิทซึ่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง ดับจิต เจตสิก รูป ทั้งหมด ไม่มีการเกิดอีกเลย

พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เป็นพระเสกขบุคคล เพราะยังต้องศึกษาเจริญธรรมยิ่งๆ ขึ้นเพื่อดับกิเลสที่เหลือ อยู่ให้หมดไป ส่วนพระอรหันต์เป็นพระอเสกขบุคคล เพราะดับกิเลสทั้งหมดเป็นสมุจเฉทได้แล้ว ไม่ต้องศึกษาเพื่อดับกิเลสอีก (14)

นิพพานปรมัตถ์ ว่าโดยความแตกต่างแห่งอาการ มี ๓ อย่างคือ

สุญญตะ ๑

อนิมิตตะ ๑

อัปปณิหิตะ ๑

พระนิพพาน ชื่อว่า สุญญตะ เพราะเป็นสภาพสูญจากสังขารทั้งปวง ชื่อว่า อนิมิตตะ เพราะไม่มีนิมิต คือสังขารทั้งปวง ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะไม่มีที่ตั้ง คือ สังขารทั้งปวง

เมื่อบุคคลมนสิการสภาพธรรมโดยเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมหลุดพ้นไป (คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ด้วยอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยสภาพเป็นทุกข์ ย่อมหลุดพ้นไปด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยสภาพเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยสุญญตวิโมกข์

วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ ๔ (15) คือ

๑. ด้วยความเป็นใหญ่ บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็น สภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สุญญตวิโมกข์ย่อมเป็นใหญ่

๒. ด้วยความตั้งมั่น บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์

๓. ด้วยความน้อมจิตไป บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์

๔. ด้วยความนําออกไป บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมนําจิตออกไปสู่นิพพาน อันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมนําจิตออกไปสู่นิพพาน อันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมนําจิตออกไปสู่นิพพาน อันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์

สงเคราะห์ปรมัตถธรรม ๔

จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่รู้ว่าจิต เจตสิก รูป เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเพราะ จิต เจตสิก รูป เกิดดับสืบต่อกัน จึงปรากฏให้รู้ได้ เช่น ขณะที่เห็นรูป ได้ยินเสียง และคิดนึก เป็นต้น จิตเกิดดับสืบต่อกันทํากิจการงานต่างๆ เช่น จิตบางดวงเห็นสี บางดวงได้ยินเสียง บางดวงคิดนึก เป็นต้น ทั้งนี้ตามประเภทของจิตและเหตุปัจจัยที่ทําให้เกิดจิตนั้นๆ การเกิดดับสืบต่อกันของจิต เจตสิก รูปนั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วมากจนทําให้ไม่เห็นการเกิดดับ ทําให้เข้าใจว่ารูปค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป และทําให้เข้าใจว่าจิตนั้นเกิดเมื่อคนหรือสัตว์เกิด จิตนั้นดับเมื่อคนหรือสัตว์ตาย ถ้าไม่ศึกษา ไม่พิจารณา และไม่อบรมเจริญสติและปัญญาให้รู้ลักษณะของ จิต เจตสิก รูป ที่กําลังปรากฏ ก็จะไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา

สภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นต้องมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เมื่อไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด ท่านพระสารีบุตรเกิดความเลื่อมใสในคําสอนของพระผู้มีพระภาค ก็เพราะได้เห็นท่านพระอัสสชิ ซึ่งเป็นภิกษุรูปหนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์ ท่านพระสารีบุตรเห็นท่านพระอัสสชิมีความน่าเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงได้ตามท่านพระอัสสชิไป และถามท่านพระอัสสชิว่า ใครเป็นศาสดา และศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร ท่านพระอัสสชิตอบว่า

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา

เตสํ เหตุ ตถาคโต (อาห)

เตสญฺจ โย นิโรโธ

เอวํวาที มหาสมโณติฯ (16)

ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้

ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้พร้อมทั้งเหตุปัจจัยของธรรมนั้นๆ ก็จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าธรรมใดเกิดจากเหตุปัจจัยใด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ แต่ละประเภทนั้นเกิดขึ้นเพราะมีธรรมใดเป็นปัจจัย พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวง พระองค์จึงได้ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดจึงเกิดขึ้น และทรงแสดงเหตุปัจจัยที่ทําให้เกิดธรรมนั้นๆ ธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัยไม่ได้

ที่กล่าวว่า คนเกิด สัตว์เกิด เทวดาเกิด เป็นต้นนั้น คือ จิต เจตสิก รูป เกิดนั่นเอง เมื่อจิต เจตสิก ประเภทหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับรูปของคน ก็บัญญัติว่าคนเกิด เมื่อจิต เจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกับรูปของเทวดา ก็บัญญัติว่าเทวดาเกิด เป็นต้น การเกิดของคน สัตว์ เทวดา เป็นต้นนั้น ต่างกันเพราะเหตุปัจจัยที่ทําให้เกิดนั้นต่างกัน เหตุปัจจัยที่ทําให้เกิดนั้นมีมาก และสลับซับซ้อนมาก แต่ด้วยพระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาคผู้ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวง พร้อมทั้งเหตุปัจจัยของธรรมทั้งปวงนั้น พระองค์จึงได้ทรงแสดงธรรมตามสภาพความจริงของธรรมแต่ละประเภทว่า ธรรมใดเกิดขึ้น ธรรมนั้นมีปัจจัยทําให้เกิดขึ้น ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม

ที่รู้ได้ว่ามีจิต เจตสิก รูป ก็เพราะจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น และ ที่จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นนั้นก็เพราะมีปัจจัย จิต เจตสิก และรูปเป็น สังขารธรรม

พระธรรมคําสอนของพระผู้มีพระภาคนั้น สมบูรณ์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ ธรรมข้อใดที่อาจจะมีผู้เข้าใจผิดได้ พระองค์ก็ทรงบัญญัติคํากํากับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้ใดเข้าใจความหมายของธรรมข้อนั้นผิด เมื่อพระองค์ทรงบัญญัติว่าธรรมที่เกิดขึ้นมีปัจจัยทําให้เกิดขึ้นเป็น สังขารธรรม เพื่อไม่ให้ผู้ใดเข้าใจผิดว่าธรรมที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ตั้งอยู่ตลอดไปเรื่อยๆ พระองค์จึงทรงบัญญัติว่าธรรมที่เป็นสังขารธรรม (ธรรมที่มีสภาพปรุงแต่ง) นั้นเป็นสังขตธรรม (ธรรมที่ปรุงแต่งแล้ว) สังขตธรรม คือ ธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป (17) พระองค์ทรงบัญญัติคําว่า สังขตธรรม กับคําว่า สังขารธรรม เพื่อให้รู้ว่าธรรมใดที่เกิดขึ้น ธรรมนั้นมีปัจจัยทําให้เกิดขึ้น เมื่อปัจจัยดับ ธรรมที่เกิดขึ้น เพราะปัจจัยนั้นก็ต้องดับไป สังขตธรรม คือ ธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ฉะนั้นสังขารธรรม คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นจึงเป็นสังขตธรรม (18) จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์รูปปรมัตถ์ เป็นสังขารธรรมเป็นสังขตธรรม

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ฯ

สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา ฯ

สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ฯ

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา (19)

สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

สังขารธรรมทั้งหมดไม่เที่ยง ความเสื่อม ความไม่เที่ยงของรูปธรรมนั้นพอจะปรากฏให้เห็นได้ แต่ความไม่เที่ยงของนามธรรมนั้นรู้ยาก ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนผู้มิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและในกลางวัน ฯ (20)

แม้ว่าจิต เจตสิก รูป จะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ยากที่จะรู้และเบื่อหน่าย ละความยินดีคลายความยึดถือในนามรูปได้ การที่จะเบื่อหน่าย ละความยินดี ความยึดถือในนามรูปนั้นต้องพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ดังที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ

ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ

อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข

เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ

สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ

ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ

อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข

เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ

ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ

อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข

เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ (21)

เมื่อใด บุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

เมื่อใด บุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

เมื่อใด บุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

ผู้ใดที่ไม่เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมจนละคลาย ผู้นั้นจะบรรลุอริยสัจจ์ ๔ เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ พระอริยบุคคลเห็นความเป็น “พุทธะ” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเห็นธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงเทศนาเท่านั้น พระอริยบุคคลหมดความสงสัยในพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะพระอริยบุคคลได้บรรลุธรรมนั้น (22) และได้ประจักษ์ในความเป็น “พุทธะ” ว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่ใช่โดยคาดคะเน แต่โดยตรัสรู้ธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต (23) ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติ เพื่อให้รู้แจ้งธรรม ผู้นั้นย่อมสามารถรู้แจ้งธรรมและดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลตามลําดับ คือ ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จนถึงพระอรหันต์ (24)

สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

สังขารธรรมทั้งปวงเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทดี หรือจิตประเภทไม่ดี รูปงามหรือไม่งาม เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเหมือนกันหมด การเกิดดับไม่เที่ยงนี้แหละเป็นทุกข์ เพราะไม่ดํารงอยู่ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์นั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะทุกข์กายที่เจ็บปวด ป่วยไข้ หรือทุกข์ที่ต้องลําบากเดือดร้อน ทุกข์ที่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือทุกข์ที่ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเท่านั้น สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เพราะสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงไม่ควรยึดถือว่าเป็นสุข บางท่านอาจสงสัยว่าจิตที่เพลิดเพลินยินดีเป็นสุขก็มี เหตุใดจึงว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ที่ว่าเป็นทุกข์นั้นเพราะจิตที่เพลิดเพลิน ยินดี เป็นสุขนั้นก็ไม่เที่ยง ฉะนั้น สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ทั้งหมดเป็นทุกข์ เพราะจิต เจตสิก รูป ทั้งหมดไม่เที่ยง

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

ธรรมทั้งปวง ได้แก่ ปรมัตถธรรมทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอํานาจบังคับบัญชาของบุคคลใด

นิพพานเป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีจริง นิพพานไม่ใช่ สังขารธรรม เป็นวิสังขารธรรม คือ เป็นธรรมที่ไม่เกิด (25) ตรงกันข้ามกับสังขารธรรม สังขารธรรม คือ ธรรมที่เกิดขึ้น มีปัจจัยปรุงแต่ง วิสังขารธรรม คือ ธรรมที่ไม่เกิดขึ้น ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง

นิพพานเป็นอสังขตธรรม ไม่ใช่สังขตธรรม (26) สังขตธรรม คือ ธรรมที่เกิดดับ อสังขตธรรม คือ ธรรมที่ไม่เกิดดับ นิพพานไม่มีปัจจัยปรุงแต่งจึงไม่เกิดดับ

จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม เป็นโลกียะ คําว่าโลกียะ หมายถึง แตกดับ ทําลาย ส่วนนิพพานเป็นวิสังขารธรรม เป็นโลกุตตระ คําว่า โลกุตตระ หมายถึง พ้นจากโลก

จิตปรมัตถ์ ๘๙ หรือ ๑๒๑ เป็นนามธรรม (รู้อารมณ์)

เป็นสังขารธรรม, สังขตธรรม

เจตสิกปรมัตถ์ ๕๒ เป็นนามธรรม (รู้อารมณ์)

เป็นสังขารธรรม, สังขตธรรม

รูปปรมัตถ์ ๒๘ เป็นรูปธรรม

เป็นสังขารธรรม, สังขตธรรม

นิพพานปรมัตถ์ เป็นนามธรรม (ไม่รู้อารมณ์)

เป็นวิสังขารธรรม,อสังขตธรรม (27)

ขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ (28)

ปรมัตถธรรม ๔ โดยขันธ์ คือ

จิต เป็นวิญญาณขันธ์

เจตสิก เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

รูป เป็นรูปขันธ์

นิพพาน ไม่ใช่ขันธ์ นิพพานเป็นขันธวิมุตติ คือ พ้นจากขันธ์

คําว่า ขันธ์ หมายถึง สภาพธรรมที่จําแนกเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด ทราม ประณีต ไกล ใกล้ (29) ฉะนั้นขันธ์ จึงได้แก่ สังขตธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดดับ จึงเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นต้น ส่วนอสังขตธรรม คือ นิพพานนั้น เป็นธรรมที่ไม่เกิด ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง จะกล่าวว่าเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ ว่าเป็นธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ ว่าเป็นธรรมจักเกิดขึ้นก็ไม่ได้ (30) จะกล่าวว่าเป็นอดีตก็ไม่ได้ ว่าเป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่าเป็นปัจจุบันก็ไม่ได้ (31) เพราะฉะนั้น วิสังขารธรรม คือ นิพพาน จึงไม่ใช่ขันธ์ เป็นขันธวิมุตติ คือ พ้นจากขันธ์

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ ดังนี้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ เธอทั้งหลายจงฟัง ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ขันธ์ ๕ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ นี้เรียกว่ารูปขันธ์ เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ฯลฯ วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าขันธ์ ๕

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน ดูกร ภิกษุ ทั้งหลายรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ เป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นปัจจัยแก่อุปาทานนี้เรียกว่ารูปูปาทานขันธ์ เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ฯลฯ วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน... อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ เป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นปัจจัยแก่อุปาทานนี้เรียกว่า วิญญาณูปาทานขันธ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าอุปาทานขันธ์ ๕ (32)

ปรมัตถธรรม ๓ เป็นขันธ์ ๕

จิตปรมัตถ์ ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท

ทุกประเภทเป็นวิญญาณขันธ์

เจตสิกปรมัตถ์ ๕๒ ประเภท

เวทนาเจตสิก ๑ เป็นเวทนาขันธ์

สัญญาเจตสิก ๑ เป็น สัญญาขันธ์

เจตสิก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์

รูปปรมัตถ์ ๒๘ ประเภท

ทุกประเภทเป็นรูปขันธ์

ขันธ์ ๕ เป็นปรมัตถธรรม ๓

รูปขันธ์ ได้แก่ รูปปรมัตถ์ ๒๘

เวทนาขันธ์ ได้แก่ เวทนาเจตสิก ๑ ดวง

สัญญาขันธ์ ได้แก่ สัญญาเจตสิก ๑ ดวง

สังขารขันธ์ ได้แก่ เจตสิก ๕๐ ดวง

(รวมเวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ คือ เจตสิกปรมัตถ์ ๕๒)

วิญญาณขันธ์ ได้แก่ จิตปรมัตถ์ ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง

คําถามทบทวน

๑. ปรมัตถธรรมอะไรบ้าง เป็นสังขารธรรม

๒. สังขารธรรม เป็นสังขารขันธ์ ใช่ไหม

๓. วิสังขารธรรม เป็นสังขตธรรม ใช่ไหม

๔. อสังขตธรรม เป็นขันธ์อะไร

๕. อสังขตธรรม เป็นโลกียะ หรือโลกุตตระ

๖. จิต เป็นสังขารขันธ์ ใช่ไหม

๗. เจตสิก เป็นสังขารขันธ์ ใช่ไหม

๘. เวทนาขันธ์ เป็นปรมัตถธรรมอะไร

๙. ขันธ์อะไร ไม่ใช่ปรมัตถธรรม

๑๐. ปรมัตถธรรมอะไร ไม่ใช่ขันธ์


(1) ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ข้อ ๑๔๑

(2) ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สังฆาฏิสูตร ข้อ ๒๗๒

(3) อภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา

(4) ปุคคลบัญญัติปกรณ์ เอกนิทเทส ข้อ ๓๘ นวกนิทเทส ข้อ ๑๕๑

(5) ปุคคลบัญญัติปกรณ์ เอกนิทเทส ข้อ ๓๙ นวกนิทเทส ข้อ ๑๕๑

(6) ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ข้อ ๑๓๕

(7) อังคุตตรนิกาย อุปปาทสูตร ข้อ ๕๗๖

(8) สังยุตตนิกาย คารวสูตรที่ ๒ ข้อ ๕๖๐

(9) ธรรมสังคณีปกรณ์ รูปกัณฑ์ ข้อ ๕๐๓

(10) อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ธาตุสูตร ข้อ ๒๒๒

(11) ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ธาตุสูตร ข้อ ๒๒๒ และอรรถกถา

(12) ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ธาตุสูตร ข้อ ๒๒๒ และอรรถกถา

(13) ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ปาสาทิกสูตร ข้อ ๑๒๐

(14) ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส อชิตมาณวกปัญหานิทเทส ข้อ ๙๒

(15) ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค วิโมกขกถา ข้อ ๕๐๙

(16) พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ ข้อ ๖๕

(17) อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต จูฬวรรคที่ ๕ สังขตสูตร ข้อ ๔๘๖

(18) ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ จูฬันตรทุกะ ข้อ ๗๐๒

(19) ขุททกนิกาย มหานิทเทส สุทธัฏฐกสุตตนิทเทส ข้อ๑๓๑

(20) สังยุตตนิกาย อัสสุตวตาสูตรที่ ๒ ข้อ ๒๓๕-๖

(21) ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ข้อ ๓๐

(22) สังยุตตนิกาย เสขสูตร ข้อ ๑๐๓๑-๗

(23) สังยุตตนิกาย วักกลิสูตร ข้อ ๒๑๖

(24) ขุททกนิกาย อุทาน อุโปสถสูตร ข้อ ๑๑๘

(25) ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ข้อ ๒๘

(26) อังคุตตรนิกาย อสังขตสูตร ข้อ ๔๘๗

(27) ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ ข้อ ๘๔๔

(28) วิภังคปกรณ์ ขันธวิภังค์ ข้อ ๑

(29) วิภังคปกรณ์ ขันธวิภังค์ ข้อ ๑-๓๑

(30) ธรรมสังคณีปกรณ์ อัตถุทธารกัณฑ์ ข้อ ๘๙๔

(31) ธรรมสังคณีปกรณ์ อัตถุทธารกัณฑ์ ข้อ ๘๙๕

(32) สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ปัญจขันธสูตร ข้อ ๙๕-๙๖

เปิด  1,942
ปรับปรุง  27 ก.ค. 2565
สารบัญ