สนทนาธรรมที่เมืองพาราณสี (1)


    จิตสั่งสมสันดาน

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ช่วยขยายความ จิตสั่งสมสันดาน

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ คุณสุมิตรามีความรู้สึกอะไรบ้าง แล้วมีความเข้าใจธรรมหรือเปล่า ความเข้าใจเมื่อวานนั้นยังมีถึงวันนี้ หรือว่าหายไปหมดแล้ว

    ผู้ฟัง ยังมีอยู่

    ท่านอาจารย์ นี่คือการสะสม เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ใครจะไปทำให้จิตเกิดมากกว่านั้นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นธาตุ เมื่อเป็นธาตุแล้วคือเหมือนไฟ หรือเหมือนอะไรที่ใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จิตของแต่ละคน หรือสัตว์ บุคคลใดๆ ก็ตาม เมื่อจิตเกิดขึ้น เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะเท่านั้น แล้วตามเหตุตามปัจจัยด้วย จะไม่ให้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่ได้

    ลักษณะของจิตคือเกิดแล้วดับ เกิดเพื่อทำกิจเฉพาะกิจนั้นๆ ทำกิจอย่างอื่นไม่ได้เลย จิตเกิดขึ้นเป็นอะไร ทำกิจอะไร ก็เกิดขึ้นทำกิจเสร็จแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงขณะนี้เองจิตกำลังเกิดดับนับไม่ถ้วน

    เราไม่เคยฟังเรื่องของจิต แม้ว่าเราจะได้ยินเรื่องของจิต แต่ไม่รู้ความละเอียดว่าจิตไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่มีเรา เป็นธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การสืบต่อของจิตทำให้ปรากฏรู้ได้ว่าขณะนี้มีจิต ถ้าจิตขณะก่อนเกิดและดับไป ใครจะรู้เพราะหมดแล้วใช่ไหม แต่ว่าเมื่อจิตหนึ่งขณะเกิดและดับไปเป็นปัจจัย

    จิตแต่ละขณะเป็นปัจจัยให้ทันทีที่จิตนั้นดับ จิตอื่นเกิดสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย บังคับให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าเมื่อวานนี้เห็นอะไร ได้ยินอะไรก็ตาม รู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ จิตขณะหนึ่งซึ่งเกิดและดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น

    จิตขณะต่อไปที่เกิดขึ้น ก็ต้องสะสมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีอยู่ในจิตดวงก่อน ไม่ใช่จิตใหม่ที่เกิดมาได้ลอยๆ แต่เพราะเหตุว่าสืบต่อจากจิตขณะก่อน ก็สะสมเก็บทุกอย่างไว้ในจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน

    ด้วยเหตุนี้เราถึงได้รู้ว่า เราเกิดมา เราจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทำอะไรบ้าง สนุกสนานหรือว่าเป็นทุกข์อย่างไร หรือขณะนี้ วันนี้ก็กำลังจะหมดไป ถึงวันพรุ่งนี้ จิตเดี๋ยวนี้ขณะนี้ที่เกิดดับก็จะสะสมสืบต่อจนถึงวันพรุ่งนี้ โดยที่เราไม่ได้สังเกตและไม่ได้รู้เลยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แต่จำได้หมดว่าเมื่อวานนี้ทำอะไร จากขณะนี้ เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็จำได้อีก เพราะขณะนี้คือจะเป็นเมื่อวานของพรุ่งนี้ เรากำลังอยู่ตรงนี้เอง เพราะฉะนั้น จิตก็เกิดดับสืบต่อ ไม่กลับมาอีก

    ข้อสำคัญที่สุด ถ้าคิดว่าจิตเป็นเรา จิตหนึ่งขณะเกิดและดับ ไม่กลับมาอีกเลย แล้วเราจะอยู่ที่ไหน เพราะว่าหนึ่งขณะที่เป็นจิตเกิดและดับไป เข้าใจว่าเป็นเราก็หมดแล้ว ขณะต่อไปยึดว่าเป็นเราอีก ก็หมดแล้วอีก จึงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าโดยแท้จริง

    ฟังพระธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา

    การฟังพระธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาที่จะรู้ความจริง ซึ่งหลายคนไม่ชอบความจริงอย่างนี้ ชอบให้ทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง แล้วเป็นของเรา แล้วก็ยั่งยืน แต่เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แต่ละชีวิตที่เกิดมา เราก็เห็นความต่างหลากหลายมากของแต่ละชีวิต ไม่มีใครไปทำให้เลย เป็นธรรมซึ่งเกิดสืบต่อนานแสนนานมาแล้วมีทั้งกรรมดีกรรมชั่ว แล้วแต่ว่ากรรมดีจะให้ผลมากน้อยแค่ไหน หรือว่าถึงกาลเวลาที่กรรมชั่วหรือบาปอกุศลจะให้ผล ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถึงแม้จะเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ยังเข้าใจว่าเป็นคนนั้นเกิดแล้วก็ทำกรรมอย่างนั้น ถึงได้เป็นผลอย่างนั้น

    บางคนก็ถึงกับว่าไปขโมยเขา ถูกจับเพราะไปขโมยเขามา ก็คิดสั้นๆ แต่ความจริงขณะนั้นเป็นเรื่อง และจริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ความจริงว่า ขณะที่เป็นเรื่องราวต่างๆ ยาวมากนั้น ทั้งชีวิตหรือทั้งวันแตกย่อยออกเป็นขณะสั้นๆ แตกออกไปอีกให้สั้นที่สุด ให้สั้นที่สุดก็เหลือเพียงหนึ่งขณะจิต

    จิตหลากหลาย มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ธรรมตรงมาก ทรงแสดงเรื่องของจิตหลากหลายโดยประการทั้งปวง เพราะอะไร ขณะนี้เป็นจิต แต่ไม่รู้ ความรู้สึกต่างๆ ก็มีซึ่งไม่ใช่เรา แล้วความรู้สึกก็ไม่ใช่จิต แสดงว่าทันทีที่จิตเกิด เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม จะมีสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดกับจิต ทำให้จิตหลากหลายตามสภาพของนามธรรมนั้นๆ

    พระพุทธเจ้าทรงใช้คำบัญญัติเรียกธรรมซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดกับจิตว่า เจตสิกะ ภาษาบาลี แต่คนไทยก็ชอบตัดพยางค์สุดท้ายก็เป็น เจตสิก มีจิตเกิดเมื่อไหร่ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกขณะ จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย แล้วเราก็ไม่เคยรู้ว่าลักษณะของจิตกับเจตสิกไม่ใช่อย่างเดียวกัน บางขณะเราโกรธ ซึ่งก่อนโกรธก็ไม่ได้โกรธ เพราะอะไร จิตเป็นสภาพรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ทำหน้าที่อื่นใดจากนี้เลย เพียงแต่เกิดเมื่อไหร่ก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จิตกำลังรู้ ฟังยากใช่ไหม เพราะว่าเป็นเราเห็น แต่ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น สิ่งนี้จะปรากฏไม่ได้เลย

    ภาษาชาวบ้านเราก็บอกว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ปรากฏเพราะเราเห็น ขณะไหนที่ไม่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ แต่ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีสภาพซึ่งสามารถจะเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ นี่คือโลก เกิดมาก็เห็น แต่ไม่รู้ความจริงของเห็น

    มีจิตแต่ไม่รู้จักจิต

    เวลาที่เสียงปรากฏน่าอัศจรรย์ไหม เมื่อครู่นี้ไม่มีเสียงเลยแล้วเสียงปรากฏได้อย่างไร แม้ว่าข้างนอกจะมีเสียงรถ เสียงอะไรก็ตาม แต่เมื่อไม่ได้ยิน เสียงนั้นๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เสียงปรากฏเมื่อมีจิตได้ยินเกิดขึ้น แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นจิต เป็นเราได้ยิน

    ดังนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกคนพูดว่ามีจิตแต่ไม่รู้จักจิต เพราะยึดถือจิตเป็นเรา เมื่อได้ฟังพระธรรม จากการที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมโดยประการทั้งปวง ไม่เหลือเลย ก็จะรู้ได้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวเรื่องจิตได้ชัดเจน ถูกต้องตามความเป็นจริงของจิตแม้หนึ่งขณะซึ่งเกิดขึ้น

    ขณะนี้ทุกคนทราบว่ามีจิตทีละหนึ่งขณะ แต่รู้ไหมว่าจิตขณะนี้เกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสภาพของนามธรรมหรือรูปธรรม

    เสียงมีจริงหรือเปล่า เป็นรูปได้ไหม

    นามธรรมคือธาตุที่สามารถที่จะรู้ รูปธรรมหมายความถึงสิ่งนั้นมีจริง เป็นธาตุชนิดหนึ่งแต่ไม่รู้อะไรเลย ตลอดจักรวาลกี่ภพ กี่ชาติ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว หรือขณะนี้ หรือต่อไป สภาพธรรมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง ก็มี ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม อีกอย่างหนึ่งเป็นนามธรรม

    ตอนนี้ก็มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม แต่แม้ว่าได้ฟังเพียงเล็กน้อย การที่ไม่เคยได้สะสมความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม บางทีเราจะตอบคำถามไม่ถูก เช่น ถามว่า เสียง มีจริงหรือเปล่า ตอบว่ามีจริง นามธรรมเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ และรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นี่คือคำจำกัดความที่ตายตัวไม่เปลี่ยน สภาพธรรมที่เกิด มีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย สภาพธรรมนั้นเป็นรูปธรรม เช่น เสียงก็มีลักษณะของเสียง จะเป็นกลิ่น จะเป็นรสไม่ได้ กลิ่นก็ไม่ใช่เสียง และก็ไม่ใช่รส

    สภาพธรรมแต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะตน เสียงเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ตอบได้ว่าเป็นรูป บางคนก็ตอบได้ เพราะจำว่า สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูป ก็มองไม่เห็นเสียงแล้วจะว่าเสียงเป็นรูปได้หรือ คุณสุวิตราว่าเสียงเป็นรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง เสียงไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ ได้แน่นอน เพราะเสียงมี ไม่ใช่เสียงไม่มี ใครจะปฏิเสธว่าเสียงไม่มีไม่ได้ แต่เมื่อมีจริงแล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เสียงจึงเป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม แค่นี้ก็คือชีวิต ซึ่งเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดและดับเร็วมาก เร็วจนลวงให้เห็นเหมือนกับว่ามีสิ่งซึ่งไม่ได้ดับเลยเพราะความรวดเร็วอย่างยิ่ง

    ไม่รู้อะไรเลย มีแต่เราเกิดแล้วก็เราตาย

    ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะถึงความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น มีก็ไม่รู้ กับมีแต่รู้ก็ต่างกัน ใช่ไหม มีและไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ชอบแล้วยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อมี แต่ก็ยังสามารถที่จะรู้ความจริงแท้ๆ ของสิ่งนั้น ก็รู้ดีกว่าใช่ไหม หรือว่าจะเกิดมาแล้วตั้งแต่เกิดจนตาย จะทำ จะพูด จะคิด จะสนุก จะทุกข์ต่างๆ ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม ไม่รู้อะไรเลย มีแต่เราเกิดแล้วก็เราตาย

    ถ้าเป็นเราก็อย่าตาย ก็ดี เพราะเป็นเราก็อยู่ยั่งยืน แต่ธรรมไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย แม้ขณะเกิดก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ขณะตายก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้ตาย หลีกเลี่ยงความตายได้ไหม ผัดผ่อน ขอร้อง วิงวอน ซื้อได้ไหม เงินมหาศาลก็ไม่สามารถที่จะซื้อแม้เพียงหนึ่งขณะจิตที่จะไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น คือไม่ให้เกิดขึ้น แล้วทำกิจที่ทันทีที่ดับก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ โดยจะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย

    เกิดใหม่ก็ลืมหมด ใครจำชาติก่อนได้

    แต่ละคนที่เกิดมาก็มีชีวิตที่ต่างกันตามเหตุตามปัจจัย ไม่นานเลย เมื่อเกิดใหม่ก็ลืมหมด ใครจำว่าชาติก่อนเป็นใคร ชื่ออะไร ทำอะไร อยู่ที่ไหน ได้บ้างหรือเปล่า ไม่มีทาง มาจากไหน คุณพ่อคุณแม่ชาติก่อนอาจจะกำลังร้องไห้คิดถึงเราก็ได้ ใช่ไหม พรรณนาสารพัดแต่ก็ไม่รู้จัก ถ้าผ่านไปได้พบเห็นกันเเต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร

    ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ชั่วคราวจริงๆ ดูเหมือนชั่วคราวเพราะว่าบางคนเกิดมาอายุสั้นมาก บางคนก็เกิดมาอายุยืนมาก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะอายุสั้นหรืออายุยืนก็ลืม เมื่อหมดสิ้นความเป็นบุคคลนั้น

    ความเป็นมาของจิต ถอยกลับไปถึงขณะเกิด

    ในพระไตรปิฎกก็แสดงความเป็นมาของจิต ถอยกลับไปแต่ละขณะจนถึงขณะเกิด สืบต่อจากจุติจิต คือ จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ถอยไปจนถึงปฏิสนธิของชาติก่อน เคยเป็นทุกบุคคล จะยากดีมีจน มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ ชั่วคราวเท่านั้นเอง และจริงๆ แล้วก็คือการที่เราไม่รู้ความจริง กับการรู้ความจริงนั้นต่างกันมาก เพราะว่าถ้าไม่รู้ความจริง ไม่รู้เหตุของการที่เราจะได้ลาภหรือเสื่อมลาภ ได้ยศหรือเสื่อมยศ ได้สุขหรือทุกข์ นินทาหรือสรรเสริญ อาจจะโทษคนอื่น อย่างเช่น ถูกรถชน ก็ว่าคนขับขับไม่ดี เขามาชนเรา แต่อย่าลืมว่าจริงๆ แล้วตลอดทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีกายปสาทซึมซาบ

    ใครจะไม่ให้กายปสาทเกิดก็ไม่ได้ เป็นรูปที่เกิดจากกรรม พิสูจน์ได้เลยเดี๋ยวนี้ กระทบตรงไหนที่มีการรู้ว่าแข็งหรืออ่อน ตรงนั้นมีกายปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่สัมผัสกาย ทำให้มีการรู้ว่าสิ่งที่กระทบนั้น อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ชั่วหนึ่งขณะที่มีการกระทบ แล้วมีจิตเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป

    สนทนาธรรมที่โรงแรมคลาร์ก (Clark Hotel) เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650


    หมายเลข 14418
    15 ธ.ค. 2568