สนทนาธรรมกับหมอหู คอ จมูก
ผู้ฟัง ผมเป็นหมอหู คอ จมูก ก็มีปัญหาในเรื่องของผู้ป่วย ๒-๓ กลุ่ม ผู้ป่วยเหล่านี้เขามาด้วยปัญหาว่าเขาได้ยินเสียงในหู โดยที่เราไม่สามารถตรวจได้เลยว่าเสียงมาจากไหน เพราะเขาได้ยินอยู่คนเดียว คนไข้เหล่านี้เขาไม่มีเสียงจากภายนอกเข้ามา แต่ว่าเขาได้ยินของเขา เราอธิบายได้อย่างไร และก็เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ ถูกต้องไหม ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์หู จมูก คอ ตา หรือว่าใครก็ตามแต่ แต่ทั้งหมดไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าขณะใดก็ตาม เสียงปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่มีเราเลย
ขาก็ไม่ได้ยินเสียง แขนก็ไม่ได้ยินเสียง แต่ขณะนั้นเสียงปรากฏเพราะมีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง และต่อจากนั้นก็คือว่าคิดนึก ทุกครั้งที่มีอะไรปรากฏทางตา หู จมูกลิ้น กาย หรืออย่างไรก็ตามแต่ จะต้องมีคิดถึงสิ่งที่ปรากฏสืบต่อทันทีเร็วมาก เพราะฉะนั้น เขาอาจจะคิดว่าเขาไม่คิดเหมือนกับเราขณะนี้ เราก็คิดว่าเราไม่ได้คิด แต่เห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไร นั่นคือคิด เพราะขณะที่เห็นจะไม่รู้เลย มีแต่สิ่งที่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าหลังจากนั้นเร็วมาก เวลานี้ใครกำลังนั่งอยู่ที่นี่ นั่นคือคิดแล้ว แยกออกไหมเห็นอะไร กับเห็นเทียน เห็นดอกไม้ แยกไม่ออกเลยว่าเห็นเป็นเห็น แล้วก็คิดถึงรูปร่างสัณฐาน จึงสามารถที่จะจำได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะว่าสภาพจำเกิดทุกขณะที่มีสภาพรู้ปรากฏจะต้องมีการจำในสิ่งที่ปรากฏให้รู้ด้วยทุกครั้ง สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพียงรู้ก็คือจิต แต่สภาพที่จำไม่ใช่จิต แต่เมื่อจิตรู้อะไรก็จำสิ่งที่จิตรู้เกิดพร้อมกันเลยไม่แยกกัน เพราะว่าสภาพธรรมที่เป็นจิต และเจตสิกปราศจากกันไม่ได้เลยต้องเกิดพร้อมกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งที่ปรากฏดับไม่ว่าจะเป็นเสียงซึ่งเร็วมากประมาณไม่ได้เลยขณะนี้ เหมือนกับว่าเราได้ยินคำใช่ไหม แต่ความจริงมีเสียง และก็มีการคิด และจำคำนั้นว่าหมายความถึงเหมือน ไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น ทุกขณะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น เสียงจะปรากฏโดยไม่มีได้ยิน เป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน ถูกต้องไหม เพราะว่าธาตุรู้ต่างหากที่กำลังได้ยินเสียง ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ในขณะที่คนไข้ได้ยินเสียง ขณะนั้นตามความเป็นจริงก็คือว่า ไม่มีใครเลยนอกจากได้ยิน ซึ่งกำลังได้ยินเสียง
ขณะที่ได้ยินต้องไม่เห็น แล้วก็ต้องไม่คิดนึกด้วย เพราะฉะนั้น ความจริงสั้นมากเพียง เกิดปรากฏแล้วดับไปเลย แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ไปรู้ตอนที่กำลังคิดซึ่งต่อจากได้ยิน หรือต่อจากเห็น เดี๋ยวนี้เห็นทันที รู้เลยว่าใคร ทั้งๆ ที่ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนๆ กัน แต่ก็ยังสามารถที่จะเห็นความต่างจนรู้ว่าขณะนี้กำลังเห็นคนนี้ ไม่ใช่เห็นคนนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นต้องไม่มีอะไรนอกจากได้ยินกับเสียง จะบอกว่าไม่ได้ยินไม่ได้เพราะเสียงปรากฏ
ผู้ฟัง เป็นไปได้ไหมเป็นมโนทวารของเขาอย่างเดียวโดยที่ไม่ใช่โสตทวาร
ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามแต่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่มีธาตุรู้ และธาตุรู้นี่รู้สารพัด คิดก็ได้ คิดอย่างโน้นก็ได้ คุณหมออาจจะคิดถึงโรคนี้และโรคนั้น แต่ก็ต้องมีคิด ถ้าไม่มีคิด ก็จะไม่มีความจำในเรื่องราวต่างๆ เลย เพราะฉะนั้น เราอาจจะคิดว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม ไม่เป็นอย่างนั้น ขณะนั้นคือคิด ไม่ใช่ขณะที่กำลังได้ยิน
เพราะฉะนั้น รักษาโรคก็ยังมีหนทางที่จะหาย แต่ว่ารักษาใจที่ไม่รู้ความจริง ว่าขณะนั้นไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่คนไข้ ไม่มีแม้แต่หมอ แต่ว่ามีธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็ต้องเป็นธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้อย่างหนึ่ง และธาตุที่กำลังรู้ กำลังเห็น กำลังคิด แม้หลับก็ไม่ใช่ตาย เพราะฉะนั้น ก็ยังมีธาตุรู้เกิดดับระหว่างที่ยังไม่มีอะไรปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะรักษาอย่างไร
ผู้ฟัง รักษาทางใจ
ท่านอาจารย์ ให้เขารู้ความจริง แล้วก็ไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างตามสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเห็นคิดว่าเป็นผีได้ไหม คิดว่าเป็นยักษ์ คิดว่าเป็นงู ตามความคิด แต่ว่าเห็นเป็นเห็น เทวดาเห็นก็คือเห็น แล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าเห็นเทวดา คนที่เคยเห็นเทวดาจะรู้ไหมว่าเป็นเทวดา หรือว่าเป็นผี หรือว่าเป็นยักษ์ หรือว่าเป็นมาร แล้วแต่คิด เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ก็คือคิด หลังจากที่เห็นแล้ว แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร
ผู้ฟัง อย่างนี้คือเป็นวิบากของเขาใช่ไหม
ท่านอาจารย์ คุณหมอถามว่าถือว่าเป็นวิบากใช่ไหม วิบากคืออะไร เห็นไหมเราจะต้องเปลี่ยนจากที่เราเคยจำ เคยคิดมาทั้งหมดว่านั่นคือเรา คือความไม่รู้ แต่ขณะนี้เรากำลังจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทำให้เราเริ่มเข้าใจสิ่งซึ่งเราไม่เคยเข้าใจเลย แต่เราก็พูดถึงตั้งแต่เกิดจนตาย
เพราะฉะนั้น ณ สถานที่นี้ก็คือสถานที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ดับกิเลสหมด ลองคิดดูคำว่าดับกิเลสหมด หมายความว่ากิเลสใดๆ ก็ไม่เกิดอีกเลย ณ สถานที่ๆ ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วก็การที่แต่ละคนมีกิเลสมากๆ เป็นไปด้วยความไม่รู้หมด แม้ว่าจะร่ำเรียนวิชาการใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต้องอาศัยพระมหากรุณาที่เมื่อตรัสรู้แล้วทรงแสดงให้เราได้ยินวาจาสัจจะซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ให้เข้าใจขึ้น เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส มีใครอยากจะเก็บกิเลสไว้มากไหม มากๆ ยิ่งมากยิ่งดีเมื่อวานนี้ก็ยังไม่พอ วันนี้เพิ่มอีกดีกว่า คงจะไม่เป็นอย่างนั้นถ้ารู้ว่ากิเลสมีโทษ
แต่ว่าถ้าตราบใดที่ยังไม่เห็นโทษของกิเลส ไม่เห็นเดือดร้อนเลย เมื่อวานนี้ก็แสนสนุก สบาย สะดวก ทุกอย่าง วันนี้ก็มีอีกแล้ว และอาหารก็อร่อย หลับนอนสบายดี เดี๋ยวก็ได้ไปนมัสการที่ตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนว่าชีวิตรื่นรมย์มาก ไม่มีอะไรเลยที่จะหวั่นไหวหรือที่จะไม่ต้องการ มีแต่สิ่งที่จะนำมาซึ่งความปลาบปลื้มยินดีพอใจ แต่ว่ากิเลสยังมี เพราะฉะนั้น กิเลสที่มีต่างหากที่ทำให้เราเดือดร้อน เดือดร้อนตั้งแต่ความหวั่นไหวเมื่อมีการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่รู้ถึงความหวั่นไหวนั้นเลยว่าแท้ที่จริงหวั่นไหวไปด้วยความติดข้องต้องการ พอใจอยากจะได้
อาหารบนโต๊ะเมื่อครู่นี้ กลางวันนี้ก็ได้ข่าวว่าก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอร่อยมาก มีคนบอกว่าเมื่อวานนี้ไม่น่ารับประทานเลย หน้าตาก็ดูซีดๆ แต่ทุกคนที่รับประทานแล้วบอกอร่อยมาก วันนี้ก็เลยบอกเขาว่า ได้ข่าวมาว่าอย่างนี้ กลางวันจะมีไหม เขาก็คงจะทำให้เราได้รับประทานอีกครั้งหนึ่ง หวั่นไหวไปหมดเลย แล้วก็เมื่อไรกิเลสทั้งหลายจะดับ ไม่เกิดอีกเลยได้ ซึ่งเป็นการสงบจริงๆ ที่ว่าไม่ใช่เพียงแค่เห็นแล้วไม่หวั่นไหว แต่รู้ว่าเห็นแล้วยังมีกิเลสก็หวั่นไหว
เพราะฉะนั้นจะดับกิเลสก็คือว่าสนิทจริงๆ ไม่มีการเดือดร้อนใดๆ เลยก็เมื่อไม่เห็นไม่ได้ยิน รวมความว่าคือไม่ต้องเกิดอีก เพราะเหตุว่าเกิดแล้วต้องเห็นอีก ต้องได้ยินอีก แต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะได้ตรัสรู้ก็ได้บำเพ็ญบารมีนานแสนนาน
เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ใครสามารถที่จะเอาสิ่งที่สะสมมานานแสนนานออกไปได้หมดอย่างรวดเร็ว แม้แต่เพียงเมื่อวานนี้ก็ยังไม่ได้เอาออกไปในขณะอื่น แต่ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นความเห็นที่ถูกต้องที่ค่อยๆ สะสม มิเช่นนั้นแล้วจะมีแต่ความไม่รู้ ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจะไม่มีเลย แต่ว่าเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ไกลแค่ไหน เรียกว่าไม่ต้องไปเอื้อมดีกว่า แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ประมาทความเข้าใจเลยว่าความเข้าใจเช่นนี้ที่จะนำมาซึ่งความไม่เดือดร้อนทั้งปวงจากการที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในกองไฟ เพราะเหตุว่าโมหะก็เป็นไฟ โลภะก็เป็นไฟ โทสะก็เป็นไฟ กุศลทั้งหลายก็เป็นไฟ ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ปัญญาก็สามารถที่จะเห็นความจริงทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้น เป็นการละความหวัง ไม่ใช่เป็นการหวังว่าเมื่อไหร่เราจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ถ้ายังไม่รู้อยู่ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีทางเลยที่จะพูดถึงคำว่าอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่าขณะนี้ อย่างที่มีคนบอกว่าขอให้พูดถึงอริยสัจธรรม ถ้าไม่มีขณะนี้ จะมีอริยสัจธรรมไหม เพราะฉะนั้น อริยสัจธรรมก็คือสิ่งที่มีในขณะนี้ เป็นธรรมก็ยังไม่รู้ เป็นสัจธรรมความจริงที่สุดก็ยังไม่รู้ แล้วจะถึงความเป็นอริยะโดยการรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น โอกาสที่หาไม่ได้อีกก็คือได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจในแต่ละขณะในแต่ละขณะ เป็นขณะที่หาได้ยากยิ่งและก็สะสมไปด้วยความเบิกบาน ไม่ได้เดือดร้อนเลยว่าเมื่อไร เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจขึ้นไม่มีทางที่กิเลสทั้งหลายจะหมดไปได้
เพราะฉะนั้น ชีวิตปกติธรรมดาเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ปัญญาก็ต้องมีปัจจัยที่จะต้องเจริญขึ้นเมื่อมีการฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ เราจะพูดคำที่เราค่อยๆ รู้จัก เพราะฉะนั้น เรายังไม่เริ่มต้นที่วิบาก แต่เริ่มที่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงหลากหลายมากเหลือเกิน เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ความรู้สึกต่างๆ ก็มีมากมาย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่เกิดดับรวดเร็วจนกระทั่งจำได้ไหม เมื่อวานนี้คิดอะไรบ้าง แต่ว่าหมดแล้วไม่ต้องกังวลถึงเลย ไม่กลับมาอีกแน่นอน แต่มีวันนี้ ซึ่งเมื่อวานนี้ไม่ทราบจะเตือนใจใครมากน้อยเท่าไหร่ที่ว่าเป็นคนดี เมื่อวานนี้หมดไปแล้ว เป็นคนดีกี่ขณะ แต่ว่าวันนี้ก็จะมีต่อไปที่จะยังคงเป็นคนดีได้แต่ละขณะ เพียงแต่ว่าจะเริ่มเห็นประโยชน์ของการเป็นคนดีหรือยัง เพียงแค่คนดี ยังไม่ต้องถึงดับกิเลส เพราะเหตุว่าคนดีก็ยาก ยากไหมแค่เป็นคนดี ถ้ายิ่งรู้ก็ยิ่งรู้ว่ายาก เพราะเหตุว่าดีขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่ว่ายังมีความเป็นเราตราบใดที่ยังไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ก็คือฟังธรรม และก็เข้าใจไปเรื่อยๆ เเล้วอะไรจะเกิด ไม่ควรที่จะคิดว่าไม่อยากให้เกิด เกิดทำไม ไม่ดีเลย แต่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ปัญญาจริงๆ คือสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่มีตัวตนคือเราอยากจะไปทำให้อะไรเกิดขึ้น ซึ่งคิดว่าดี เป็นปัญญา เป็นประโยชน์ แต่ว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งนั้นมีจริงๆ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้เลย นี่เป็นจุดที่ทุกคนจะไม่เข้าใจและเข้าใจผิดคิดว่าต้องไปทำ บางคนก็ประมาทคิดว่าไม่ต้องศึกษาพระธรรม ไม่ต้องฟัง ไปปฏิบัติเลย เพราะเห็นว่าถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้
แต่ความจริงพวกที่ต้องการปฏิบัติ ต้องการผล โดยไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็ละแม้ความอยากหรือความต้องการใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น และความอยากก็เกิดจากความไม่รู้ กิเลสอื่นๆ ก็เกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่รู้ต่อไปกิเลสก็มาก ค่อยๆ รู้ทีละเล็กทีละน้อยกิเลสก็ไม่มีในขณะที่กำลังเห็นถูกเข้าใจถูก
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้สนทนากับคุณหมอศุภชัยที่กล่าวถึงเรื่องวิบาก แต่ว่าท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงว่าเริ่มต้นที่ขณะนี้คือสิ่งที่มีจริง และการที่ได้ฟังอย่างนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมที่เป็นวิบากอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินคำไหน ไม่ใช่ไปจำว่าวิบาก แต่วิบากคืออะไร นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะพูดคำที่เราเริ่มรู้จัก และเข้าใจตามลำดับ ถ้าใครใจร้อน ปฏิจสมุปปาท สังขารทั้งหลาย ไปเอามาจากไหน ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทเจ้า คำนั้นอธิบายให้เข้าใจว่าคืออะไร ไม่ใช่ให้ไปจำคำ แต่รู้ว่านั่นคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริง ใครจะประมาณได้ว่ามากสักแค่ไหน เป็นธรรมทั้งหมดเลย แต่ละหนึ่งๆ เมื่อวานนี้แต่ละหนึ่งขณะของการเห็น หนึ่งขณะของได้ยิน หนึ่งขณะของคิดนึก หลากหลายมาก ก็เป็นธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรรมก็จะรู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ให้รู้ความจริง แต่ละคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่พูดคำมากมายเลย แล้วก็ไม่เข้าใจ
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
