ผู้รู้สามารถที่จะรู้ได้


        สุ. ลักษณะของรูปทุกประเภทไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ที่กำลังปรากฏมี แต่ก่อนเคยเป็นเรา แต่พอฟังพระธรรมก็รู้ลักษณะนี้ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงรู้ว่าเป็นสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ นี่คือความต่างกันของปัญญาของผู้ไม่รู้กับผู้รู้ ความจริงก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้หรือผู้ไม่รู้ แต่ผู้ไม่รู้ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูก สภาพธรรมปรากฏกับผู้รู้ก็เหมือนกัน เห็นก็เห็นเหมือนกัน ได้ยินก็ได้ยินเหมือนกัน แต่ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ส่วนผู้รู้สามารถที่จะรู้ได้ ก่อนเห็นต้องไม่มีเห็น ก่อนได้ยินต้องไม่มีได้ยิน ก่อนคิดนึกต้องไม่มีคิดนึก แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดมีได้อย่างไร อย่างเสียง ก่อนเสียงปรากฏ มีเสียงไหม ไม่มี แต่เสียงปรากฏ ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป แต่ผู้รู้สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกว่า เสียงปรากฏได้อย่างไร ทำไมจึงมีเสียงปรากฏได้ ใครไปบังคับให้เสียงเกิดขึ้น ใครไปทำให้เสียงเกิด มีใครทำให้เสียงเกิดหรือเปล่า

        ผู้ถาม ไม่มี

        สุ. มีใครทำให้ได้ยินเกิดหรือเปล่า เมื่อกี้ไม่ได้ยิน นี่คือความอัศจรรย์ของสิ่งซึ่งเป็นธรรมดา เป็นปกติ แต่ผู้ที่มีอวิชชาก็ยังคงมีความไม่รู้ และความติดข้องในสภาพธรรมไปเรื่อยๆ แต่ผู้รู้จะรู้ได้เลยว่าจากไม่มีกลายเป็นมีหรือเกิดมีขึ้นชั่วขณะที่ต่างกัน เป็นสภาพธรรมที่ต่างขณะ และขณะที่เห็นก็ไม่ใช่ขณะที่เสียงปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่กลิ่นปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ แต่ละลักษณะซึ่งเกิดจึงได้ปรากฏ แต่ถ้าไม่กระทบกับปสาทก็ปรากฏไม่ได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 232


    หมายเลข 11502
    23 ม.ค. 2567