เดี๋ยวนี้ อะไรเป็นความจริงที่เกิด?

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 96
๒. เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.
เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความ หน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.
เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.
ชาวเขมร: มีความสงสัย ๒ หัวข้อ หัวข้อแรก คืออนัตตา ความหมายของอนัตตา ก็คือว่า ไม่มีเรา หรือว่าไม่ใช่เราครับ
ท่านอาจารย์: เหมือนกันค่ะ ไม่ใช่เรา แล้วจะมีเราได้อย่างไร
สิ่งที่มีจริงมีไหม?
ชาวเขมร: มีครับ
ท่านอาจารย์: สิ่งนั้นเป็นเรา หรือไม่ใช่เรา?
ชาวเขมร: ตามที่กระผมเข้าใจ ไม่มีเราครับ
ท่านอาจารย์: แล้วมีอะไร?
ชาวเขมร: มีแต่ความจริงที่กำลังเกิดดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้อะไรเป็นความจริงที่เกิด ธรรมพิสูจน์ได้ทุกขณะ?
ชาวเขมร: ถ้าพูดไม่ใช่เรานี่ ต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นเรา ที่เราพูดว่า ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์: เพราะเป็นธรรม
ชาวเขมร: ที่เราพูดว่า อนัตตา ความจริง ก็คือไม่มีเรา แต่ตอนไหนๆ ก็ไม่มีเรา เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเรา ต่อไปก็ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์: แล้วเดี๋ยวนี้มีอะไร?
ชาวเขมร: เดี๋ยวนี้มีแต่ สภาพธรรม กำลังเกิดจริงๆ คือไม่มีเราครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ เห็น ไหม?
ชาวเขมร: มีครับ
ท่านอาจารย์: เป็นธรรม หรือเป็นเรา?
ชาวเขมร: ตามความเป็นจริงที่พระองค์ทรงแสดง ก็เป็น ธรรม แต่สำหรับตนเอง ก็คือยังไม่เห็นว่าเป็นธรรม ยังคิดว่า ธรรมเป็นเรา ที่ไม่มีเราในขณะนั้นเองครับ
ท่านอาจารย์: ด้วยเหตุนี้ จึงฟัง มิเช่นนั้น ไม่ต้องฟัง แต่ฟังเพราะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม แต่หมายความว่า ทุกสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
คำของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ชาวเขมร: สรุปว่า ความอนัตตา ไม่ใช่เรา หรือว่าไม่มีเรา
ท่านอาจารย์: สิ่งที่มีทั้งหมดเป็นธรรม
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม [คาถาธรรมบท]
ขอเชิญฟังได้ที่..

ชาวเขมร: คำถามที่ ๒ ครับ ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่อง สัจจบารมี ครับ เท่าที่ผมได้ศึกษามา คำว่า บารมี ก็ดูเหมือนว่า จะใช้แค่เฉพาะมหาบุรุษ สำหรับสมัยนี้พวกนี้สามารถที่จะใช้ หรือพูดเรื่องบารมีได้ไหมครับ
ท่านอาจารย์: สาวก ผู้ฟังธรรมในครั้งนั้น มีบารมี สาวกบารมีหรือเปล่า?
ชาวเขมร: คือสาวกในสมัยนั้นก็ต้องสะสมบารมีครับ แต่บางสาวกดูเหมือนไม่มีสะสมบารมีเลยครับ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของสาวกหรือเปล่า?
ชาวเขมร: มีครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น บารมีคืออะไร?
ชาวเขมร: เท่าที่กระผมได้เข้าใจ ก็คือบารมี บารมีหมายความว่า การที่สะสมบุญกุศลครับ และก็สะสมบุญกุศลจนกว่าพร้อมที่จะได้เกิดได้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้พยากรณ์ว่า ผู้นี้มีบารมีเพียงพอจนที่จะรู้อริยสัจจธรรมหรือยัง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อีกครั้งหนึ่ง บารมีคืออะไร?
ชาวเขมร: คือเป็นเตชะ เป็นบุญที่ทุกคนต้องสะสมเพื่อที่จะเพียงพอที่จะรู้ความจริงครับ
ท่านอาจารย์: กำลังฟังธรรม เป็นการสะสมปัญญา เป็นบารมีหรือเปล่า?
ชาวเขมร: เข้าใจว่า ขณะที่เรากำลังฟังธรรมอย่างนี้ ก็เป็นการสะสม อย่างเช่นว่า ปัญญามี ปัญญาก็คือบุญ แต่ยังไม่ใช่เป็นบารมีเท่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พยากรณ์ครับ
ท่านอาจารย์: บารมีกี่ขณะ?
ชาวเขมร: บารมี คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงกับสาวกอย่างเช่น ๑ อสงไขยแสนกัปป์ เป็นต้น ครับ
ท่านอาจารย์: ทีละหนึ่งขณะหรือเปล่า?
ชาวเขมร: แต่ละขณะๆ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นเป็นบารมี
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ขอเชิญฟังได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ