คำถามเรื่องรูปนามเกิดดับ

 
tawich109
วันที่  19 ม.ค. 2568
หมายเลข  49383
อ่าน  75

ขออนุญาตเรียนถามครับ

1. คำว่า จักขุกับรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมของธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ คำถาม คือ จักขุวิญญาณเกิดไม่สงสัย แต่สงสัยว่าจะถือ ตากับสี ก็เกิดขึ้นขณะนั้นด้วยใช่ไหม และพอเราเปลี่ยนไปมนสิการถึงเสียง ถือว่า ตากับสีดับไปพร้อมกับจักขุวิญญาณด้วยใช่ไหม โปรดให้ความกระจ่างด้วยครับ

2. รูปที่เกิดจากกรรมทุก "กลาป" ต้องมีจิต (ชีวิตินทรีย์) คอยรักษาเพราะยังมีชีวิต จิตที่รักษานี้เรียกว่า ภวังคจิต ใช่ไหม เพราะจิตต้องเกิดทีละดวง จิตต้องทำงานแบบอนุกรมเรียงกันไป เพราะฉะนั้น ในการดูแลรักษากลาปทั้งหลายให้ไม่ตายก็ต้องเป็นแบบอนุกรมด้วยใช่ไหม คือ รักษาแต่ละกลาปโดยการเกิด-ดับของจิตที่เกิดได้ทีละดวงเรียงกันไปตลอดเวลาใช่ไหม

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 22 ม.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. คำว่า จักขุกับรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมของธรรม 3 ประการเป็นผัสสะ คำถาม คือ จักขุวิญญาณเกิดไม่สงสัย แต่สงสัยว่าจะถือ ตากับสี ก็เกิดขึ้นขณะนั้นด้วยใช่ไหม และพอเราเปลี่ยนไปมนสิการถึงเสียง ถือว่า ตากับสีดับไปพร้อมกับจักขุวิญญาณด้วยใช่ไหม โปรดให้ความกระจ่างด้วยครับ

๑. เมื่อกล่าวถึงขณะที่เห็น (จักขุวิญญาณ) เกิดขึ้น ขณะนั้น สียังไม่ดับ แสดงว่าต้องมีตาเกิดก่อนแล้ว และต้องมีสี เกิดก่อนแล้วด้วย สำหรับตาหรือจักขุปสาทะ เมื่อเกิดแล้วก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ และ สีหรือรูปารมณ์ ก็โดยนัยเดียวกัน เมื่อเกิดแล้วก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ


2. รูปที่เกิดจากกรรมทุก "กลาป" ต้องมีจิต (ชีวิตินทรีย์) คอยรักษาเพราะยังมีชีวิต จิตที่รักษานี้เรียกว่า ภวังคจิต ใช่ไหม เพราะจิตต้องเกิดทีละดวง จิตต้องทำงานแบบอนุกรมเรียงกันไป เพราะฉะนั้น ในการดูแลรักษากลาปทั้งหลายให้ไม่ตายก็ต้องเป็นแบบอนุกรมด้วยใช่ไหม คือ รักษาแต่ละกลาปโดยการเกิด-ดับของจิตที่เกิดได้ทีละดวงเรียงกันไปตลอดเวลาใช่ไหม

๒. ต้องแยกระหว่างรูป กับ จิต ไม่ปะปน สำหรับรูปที่เกิดจากกรรมทุกกลุ่ม แน่นอนต้องมีชีวิตินทริยรูปเกิดร่วมด้วย ชีวิตินทริยรูป เป็นรูปที่ทรงชีวิต มีลักษณะรักษารูปที่เกิดขึ้นพร้อมกันให้มีชีวิตดำรงอยู่ได้ ทำให้รูปของสัตว์ที่มีชีวิตแตกต่างไปจากรูปของสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือรูปของสัตว์ที่ตายแล้ว ส่วนจิต ไม่ใช่รูป จิตเกิดับสืบต่อกันทีละขณะๆ เป็นลำดับด้วยดี ไม่สับลำดับกัน และทุกขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็ย่อมมีชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยซึ่งเป็นเจตสิกที่รักษาธรรมที่เกิดร่วมกันในขณะนั้นให้ดำรงอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะดับไป นี้คือ ความเป็นจริงของธรรม ที่เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ครับ


... ยินดีในกุศลของคุณ tawich109 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tawich109
วันที่ 22 ม.ค. 2568

คือขอนุญาตถามต่อนะครับ อาจารย์
1) คือ ปกติแล้ว ลูกตาทั้งลูกนี้ คงเกิดและดับครั้งเดียวสำหรับบุคคลหนึ่งในชีวิตหนึ่ง แต่ผมใคร่จะทราบว่า "จักขุทสกกลาป" ตอนที่ตายังไม่กระทบกับสี เราจะถือว่า จักขุปสาทนั้นดับอยู่ (ไม่เกิดขึ้น) ใช่หรือไม่ ผมเข้าใจถูกไหมครับ ขณะที่จักขุปสาทไม่เกิดนั้น ยังมีแค่ "ภวังคจิต" คอยรักษาไว้ ไม่ให้เสียหายหรือบอดไปก่อน ผมเข้าใจถูกไหมครับ?

2) ผมเข้าใจครับว่า รูปจะดับไปพร้อมกับจิตขณะที่ 17 แต่ถามว่า ขณะที่จิตไปรู้ "เสียง" ตอนนั้น จักขุปสาทต้องไม่เกิด คือ "ดับไป" ใช่ไหมครับ กว่าจักขุปสาทจะเกิดอีกที ก็ต้องรอจนกว่า จะมีอารมณ์คือ "สี" มากระทบใช่ไหมครับ คือ ตอนที่จักขุปสาทไม่เกิดนั้น แสดงว่า ตอนนั้นเขา "ดับอยู่" ใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณมากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 22 ม.ค. 2568

เรียนความคิดเห็นที่ ๒ ครับ
1) คือ ปกติแล้ว ลูกตาทั้งลูกนี้ คงเกิดและดับครั้งเดียวสำหรับบุคคลหนึ่งในชีวิตหนึ่ง แต่ผมใคร่จะทราบว่า "จักขุทสกกลาป" ตอนที่ตายังไม่กระทบกับสี เราจะถือว่า จักขุปสาทนั้นดับอยู่ (ไม่เกิดขึ้น) ใช่หรือไม่ ผมเข้าใจถูกไหมครับ ขณะที่จักขุปสาทไม่เกิดนั้น ยังมีแค่ "ภวังคจิต" คอยรักษาไว้ ไม่ให้เสียหายหรือบอดไปก่อน ผมเข้าใจถูกไหมครับ?

ความจริงแล้ว รูปที่เกิดจากกรรม รวมถึงกลุ่มของจักขุปสาทรูปด้วย เกิดทุกอนุขณะของจิต ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ ไม่มีคงที่อยู่ เป็นกลุ่มของรูปใหม่อยูตลอด แม้ว่าจักขุปสาทะ ไม่ได้กระทบสี จักขุปสาทะ ก็ต้องเกิดอย่างแน่นอนเกิดเพราะกรรม ซึ่งเป็นคนละส่วนกันกับภวังคจิต เพราะภวังคจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นดำรงรักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้ ขณะที่เป็นภวังคจิต ที่ชัดที่สุดคือขณะที่หลับสนิท


2) ผมเข้าใจครับว่า รูปจะดับไปพร้อมกับจิตขณะที่ 17 แต่ถามว่า ขณะที่จิตไปรู้ "เสียง" ตอนนั้น จักขุปสาทต้องไม่เกิด คือ "ดับไป" ใช่ไหมครับ กว่าจักขุปสาทจะเกิดอีกที ก็ต้องรอจนกว่า จะมีอารมณ์คือ "สี" มากระทบใช่ไหมครับ คือ ตอนที่จักขุปสาทไม่เกิดนั้น แสดงว่า ตอนนั้นเขา "ดับอยู่" ใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณมากครับ

ขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้เสียง ถ้าเป็นคนที่ตาไม่บอด ก็ต้องมีจักขุปสาทะเกิดดับแน่นอน แต่จักขุปสาทะ ไม่ได้กระทบสี เพราะเหตุว่าขณะนั้นโสตปสาทะกระทบเสียงจึงเป็นเหตุให้มีจิตเกิดขึ้นรู้เสียงทางโสตทวาร ครับ


ก็ขอให้ได้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาต่อไป และสามารถอ่านทบทวนเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นจากหนังสือ "ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขป และภาคผนวก" ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ

ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขป และภาคผนวก

... ยินดีในกุศลของคุณ tawich109 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tawich109
วันที่ 22 ม.ค. 2568

ขออนุญาตอีกคำถามหนึ่งครับ

จิตเกิด-ดับนั้น จิตเกิดดับแบบ "อนุกรม" คือ เกิดได้แค่ขณะละดวงเดียว ถ้าดวงก่อนไม่ดับไปก่อนดวงหลังจะเกิดไม่ได้ แล้วทีนี้ ถ้ากล่าวถึง "รูปธรรม" รูปนี่เขาจะเกิดดับแบบอนุกรมที่ละดวงๆ เหมือนจิตไหมครับ เพราะรูปกลาปทั้งตัวนี่ไม่รู้ว่า กี่ล้านล้าน กี่โกฏิโกฏิ ก็ไม่ทราบ เขาจะเกิดดับแบบอนุกรมเหมือนจิตหรือไม่ หรือเป็นแบบขนานได้บ้างไหม คือ ไม่ใช่ทีละดวงต่อๆ กันเหมือนจิตครับ

กราบขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tawich109
วันที่ 22 ม.ค. 2568

อ๋อ..ผมเข้าใจแล้ว ที่ตั้งคำถามไป เพราะผมคิดแบบทางโลกๆ ที่ว่า ในร่างกายมีเซลเล็กๆ นับล้านๆ เซล ถ้าทุกเซลมีชีวิตแสดงว่า จะต้องมีจิตไปหล่อเลี้ยงเซลตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่า "ชีวิตินทรีย์" ที่รักษารูปนั้นเป็น "รูปธรรม" เหมือนกัน ผมเห็น มีคำว่า "ชีวิต" อยู่ใน "ชีวิตินทรีย์" ก็เลยนึกไปว่า ทุกกลาปต้องมี "ภวังคจิต" คอยรักษาอยู่ คือ เอานามธรรมมาปนกันรูปธรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันจะปนกันไม่ได้ ความจริง "ชีวิตินทรีย์" เป็น "รูปธรรม" ที่คอยรักษารูปอยู่ ไม่ใช่นามธรรมที่คอยรักษารูป ผมเข้าใจอย่างนี้ ถูกไหมครับ

ขอบพระคุณมากครับ .. ถ้าไม่งั้นผมก็คงเข้าใจผิดไปอีกนาน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 23 ม.ค. 2568

เรียนความคิดเห็นที่ ๔ ครับ
รูป กับ นามธรรม (จิต เจตสิก) ไม่ปะปนกัน จิต (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) เกิดดับสืบต่อกันทีละขณะๆ ไม่มีจิตเกิดพร้อมๆ กัน ๒ - ๓ ขณะ ส่วนรูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นและดับไป ซึ่งรูปธรรมนั้นไม่ว่ารูปใด ก็เกิดขึ้นและดับไปเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จะปรากฏ หรือ ไม่ปรากฏก็ตาม รูปธรรม เกิดขึ้นตามสมุฏฐานของตนๆ แล้วก็ดับไปไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน รูปมีมากมายมีทั้งรูปที่เป็นภายในและภายนอก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ รูปแต่ละกลุ่มจะไม่ปะปนกัน กล่าวคือ รูปที่เกิดจากกรรม ไม่ใช่รูปกลุ่มเดียวกันกับรูปที่เกิดจากจิต เป็นต้น และที่สำคัญ รูปจะไม่ปะปนกันกับนามธรรมอย่างเด็ดขาด ครับ


... ยินดีในกุศลของคุณ tawich109 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ม.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ