แยกองค์ประกอบได้อีกคือสมมติ
สิ่งใดยังสามารถแยกเป็นองค์ประกอบย่อยได้อีก สิ่งนั้นคือสมมติ (ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งลวง) แต่สิ่งใดที่ไม่สามารถแยกย่อยเป็นอย่างอื่นได้แล้วเป็นแต่ละหนึ่งแล้ว สิ่งนั้นคือ ธรรมะ (สิ่งที่มีจริง) ..เข้าใจผิดถูกอย่างไรโปรดชี้แนะ.จักเป็นพระคุณอย่างสูง.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรที่จะได้เข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า สมมติ ไม่มีสภาวะ ไม่มีลักษณะ เป็นเพียงเรื่องต่างๆ ที่จิตคิดนึกถึง ซึ่งเพราะมีปรมัตถธรรม จึงมีชื่อ มีคำ มีเรื่องราวต่างๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงๆ ที่ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสิ่งที่มีจริงนั้นไม่ได้ มีอยู่ ๔ อย่าง ที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม ๔ ได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ไม่ใช่สมมติ สมมติไม่ใช่ปรมัตถธรรม สมมติไม่มีลักษณะให้รู้ ไม่มีจริง เพราะไม่มีลักษณะ แต่เพราะมีปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง นี้เองจึงมีสมมติ ยกตัวอย่างเช่น เพราะมีขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย อันได้แก่นามธรรม (จิต และเจตสิก) และรูปธรรม จึงมีการสมมติ (รู้ตรงกัน) เรียกว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นคนดี เป็นคนไม่ดี เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็สืบเนื่องมาจากมีสิ่งที่มีจริงที่เป็นปรมัตถธรรมนั่นเอง ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ
... ยินดีในกุศลของคุณ Kuat639 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...