สิ่งทั้งปวงถูกกำหนดไว้ด้วยเหตุ นี้คือเข้าใจถูกต้องหรือไม่

 
teezaboo
วันที่  18 ม.ค. 2568
หมายเลข  49379
อ่าน  131

ผมเข้าใจว่า สิ่งทั้งปวงถูกกำหนดไว้ด้วยเหตุโดยสมบูรณ์การกระทำทั้งปวงของเราถูกกำหนดไว้ด้วยเหตุ มีเพียงธรรมชาติที่เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันเท่านั้น ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาใดๆ เลย

เมื่อคิดอย่างนี้แล้วย่อมอนุมานได้ว่า อนาคตก็ย่อมถูกกำหนด อดีตก็ย่อมถูกกำหนด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แม้จะทำนายอนาคตได้แต่การทำนายก็ย่อมไม่พ้นจากเหตุเช่นกัน การเห็นอนาคตก็ย่อมไม่พ้นจากเหตุเช่นกัน ถ้าการกระทำที่เปลี่ยนอนาคตซึ่งมาจากการเห็นอนาคต นั้นก็ย่อมเป็นอนาคตเช่นกัน

ผมจึงสรุปได้ว่า "สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามกรรม"

อันนี้เข้าใจถูกตามหลักของพุทธไหมครับ อยากขอความชี้แนะ กังวลว่าจะเข้าใจผิด


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 18 ม.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ จิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว ซึ่งไม่มีใครกำหนดหรือลิขิตเลย ว่า จะต้องเกิดเป็นใคร ในภพไหน เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว เท่านั้นที่จะเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเพราะผลของกุศลกรรม เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้นเป็นไป ... จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ คือ จุติจิต จิตแต่ละขณะย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย (ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุ) เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืน

ตามความเป็นจริง ชีวิตของคนเรา มีอยู่ ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่เป็นการได้รับผลของกรรม เช่น ขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย รวมไปถึง ขณะที่หลับสนิทด้วย ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัย วิบากจิต ซึ่งเป็นการได้รับผลของกรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี้ก็แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลของสภาพธรรม และ อีกส่วนหนึ่ง เป็นส่วนของการสะสมเหตุ คือ เป็นกุศล กับ เป็นอกุศล นี้ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมมาของแต่ละบุคคล ไม่มีใครกำหนด ไม่มีใครบังคับบัญชา แต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าสะสมอกุศลมามาก ก็เป็นเครื่องปรุงแต่งให้จิตเกิดขึ้นเป็นไปในทางที่เป็น อกุศล มาก ถ้าได้สะสมกุศลธรรมมามาก ก็เป็นเหตุให้จิตน้อมไปในทางที่เป็นกุศล ได้มาก ซึ่งก็พอจะสังเกตเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ว่า แต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย ทั้งการกระทำ และคำพูด รวมถึงความคิด เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ ซึ่งทั้งหมดนั้น ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม นั่นเอง

บุคคลผู้ที่เป็นชาวพุทธ ต้องมีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แม้แต่ในขณะต่อไป ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม สะสมความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม เมื่อมีความเข้าใจธรรม มากขึ้น ความสงสัยก็จะลดน้อยลง มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป การที่ปัญญาจะมีได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ครับ

... ยินดีในกุศลของคุณ teezaboo และทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ม.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
teezaboo
วันที่ 19 ม.ค. 2568

ขอบพระคุณครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ