สนทนาปัญหาสารพัน : รู้ความจริง ทิ้งสิ่งที่ผิด

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  3 ธ.ค. 2562
หมายเลข  31344
อ่าน  2,947

สนทนาปัญหาสารพัน : รู้ความจริง ทิ้งสิ่งที่ผิด

คุณพัชรีรัศม์ โชคประจักษ์ชัด และ คุณชัยธัช อภิมุขหิรัญ แขกรับเชิญผู้ร่วมสนทนาในรายการสนทนาปัญหาสารพัน กับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในครั้งนี้ ท่านหนึ่งมีประสบการณ์จากการเคยไปบวชธรรมทายาท นั่งเพ่งลูกแก้ว อีกท่านหนึ่งเคยไปเรียนครูสมาธิ จากประสบการณ์ของทั้งสองท่าน แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมชาวพุทธเราในปัจจุบัน ทั้งสองท่านสารภาพว่า ทั้งๆ ที่มีความสนใจในพระพุทธศาสนา แต่กลับไปเสียเวลาทำในสิ่งที่ผิดๆ ที่มีสาเหตุมาจากความไม่รู้ ไม่ได้ศึกษาเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เหมือนคนทั่วๆ ไปที่อยากได้บุญ แสวงหาบุญ อยากปฏิบัติธรรม แต่ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร ธรรมะคืออะไร ทั้งสองท่านได้มาบอกเล่าประสบการณ์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้ผู้ชมผู้ฟัง เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมคำสอน สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตุว่า ทุกท่านที่แสวงหาจนได้พบพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนี้ จะเป็นผู้ที่มีข้อสงสัยในชีวิตเหมือนๆ กัน ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ซึ่งท่านแสดงว่าเป็นคำถามของโพธิสัตว์ สัตว์ที่จะตรัสรู้ในภายภาคหน้า (คลิกอ่าน...โพธิสัตว์) และแม้ว่าบุคคลจะมีความสงสัยดังกล่าว แต่หากมิได้เคยสะสมความเข้าใจ มิได้เคยเป็นผู้ที่สะสมบุญมาแต่ปางก่อน (คลิกอ่าน...ปุพเพกตปุญญตา) ย่อมเป็นการยาก ที่บุคคลจะสามารถแสวงหาหนทางที่ถูกต้องนี้จนพบ นี่จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้บุคคลเห็นถึงความสำคัญและความมีค่ายิ่งของความเข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง ว่าปัญญา ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงเท่านั้น ที่มีค่ายิ่ง เหนือทรัพย์และรัตนะใดๆ ในสากลจักรวาล หากมิได้พบหนทางที่ถูกต้อง สังสารวัฏฏ์ของตนย่อมจะเป็นไปกับความเห็นผิดที่จะสะสมต่อๆ ไป และเมื่อไม่รู้ความจริง ก็ไม่สามารถทิ้งสิ่งที่ผิด ไปหาสิ่งที่ถูกได้ เป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่สังสารวัฏฏ์ของตนนั้นเองที่จะต้องจมอยู่กับความทุกข์ ความเดือดร้อนประการต่างๆ ต่อๆ ไปอย่างยาวนาน ไม่มีวันพ้นจากทุกข์ได้เลย การที่ทั้งสองท่านได้พบและมีความเข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมคำสอน จึงเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา ชื่นชมยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรู้ ด้วยประการดังนี้ ขอเชิญคลิกชมการสนทนาในรายการ สนทนาปัญหาสารพัน ตอน รู้ความจริง ทิ้งสิ่งที่ผิด ดังกล่าว ได้ที่ลิงค์ด้านล่าง...

ข้อความบางตอนจากการสนทนา...

คุณพัชรีรัศม์ ปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัว เด็กๆ เป็นคนที่สนใจเรื่องธรรมะอยู่แล้ว จะเป็นคนที่อยากหาธรรมะเข้ามาในชีวิต มีความสงสัยว่า ชีวิตเราเกิดมาทำไม? ทำไมเรามาอยู่ตรงนี้? แล้วเรามาจากไหน? อะไรอย่างนี้ มันเป็นคำถามที่มีอยู่ในใจ ก็จะไปตามที่ต่างๆ เช่น ที่วัด เพื่อนจะชวนไปปฏิบัติธรรม ก็ไปทุกที่ที่เขาชวน น้อง พี่ ชวนไปก็จะไป เช่น สุดท้าย ได้ไปปฏิบัติธรรม เขาบอกว่าไปปฏิบัติธรรมถึงจะรู้เรื่องความจริง ไปปฏิบัติธรรมที่ทางใต้ ไปอีสาน ไปมาหมดเลย แล้วก็ท้ายที่สุดก็ได้ไปใกล้ๆ บ้าน เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปแต่ละที่ก็ได้ปฏิบัติธรรมแบบที่ นั่งสมาธิ แล้วก็ไปเดินจงกรม ตอนท้าย เพื่อนมาชวนไปที่สำนักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเป็นหลักสูตรสอนเกี่ยวกับสมาธิ ก็สนใจ ก็เลยไปเรียน มีหลักสูตร นานพอสมควร
ผศ.อรรณพ คงจะรู้ว่าเป็นหลักสูตรทางสมาธิโดยตรง เป็นเรื่องเป็นราวดี
คุณพัชรีรัศม์ ใช่ค่ะ ก็ไปเรียน สุดท้าย ไปเรียนกลับมาแล้วก็มาปฏิบัติ โดยที่ ก็รู้สึกว่าไม่ได้รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจ
ผศ.อรรณพ ตอนนั้น ก็คิดเหมือนกันใช่ไหมว่า ก็ไม่ได้รู้อะไร
คุณพัชรีรัศม์ช่ค่ะ ก็เหมือนกับว่า เราก็ไม่เห็นรู้อะไรเลย เขาบอกให้เดิน เราก็เดิน ไปแต่ละที่ ก็เดินไม่เหมือนกัน เขาบอกให้นั่งสมาธิก็นั่ง เขาบอกให้จิตนิ่ง ก็ตามกระแสเขาไป แล้วก็มีวันหนึ่ง ก็มีไลน์ในกลุ่ม (เพื่อน) เด้งขึ้นมา เป็นไลน์ของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์สุจินต์ ก็เลยเปิดฟัง...ตกใจว่า เอ๊ะ! ทำไมเราไม่เคยได้ยิน "คำเหล่านี้" เช่น คำว่า "ธรรมะคืออะไร" ธรรมะ คือ "สิ่งที่มีจริง" หรือ ธรรมะ คือ "เดี๋ยวนี้" ปัจจุบันนี้!! ก็แปลกใจมากเลย ก็เลยเปิดดูในยูทูปต่อ

ผศ.อรรณพ ณ ตอนนั้นคุณพัชรีรัศม์รู้สึก เอ๊ะ! ไม่เคยได้ยินเลย แตกต่าง ไม่เหมือนที่อื่นที่เคยหามา
คุณพัชรีรัศม์ ไม่เคยได้ยินเลย ทำไมไม่เหมือนที่อื่น ก็เลยค้นหาว่า อาจารย์คือใคร? ก็เปิดในกูเกิ้ล แล้วพบว่า อาจารย์อายุตั้งเก้าสิบกว่าแล้ว แล้วเราไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเราไม่เคยได้ยินเลย อะไรอย่างนี้ พอได้ไลน์มาก็ส่งให้คนที่รู้จัก ส่งให้คนที่เรารักใคร่ พวกน้อง
ผศ.อรรณพ นานไหมครับกว่าที่จะส่ง คือฟังอยู่นานไหม? ตอนนั้นส่งต่อเลยหรือ?
คุณพัชรีรัศม์ ส่งต่อเลยค่ะ ส่งคนแรกก็คนนี้ (หมายถึงคุณชัยธัช) แล้วก็ส่งให้น้องชาย น้องสาว ส่งให้เพื่อนที่เรียนสมาธิด้วยกัน ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยฟัง ก็เลยตาม ทุกคนที่ได้ส่งไปก็จะไม่ค่อยได้ฟัง ก็ตามว่า ฟังหรือยัง? ฟังดูสิ อะไรอย่างนี้ น้อง (ชัยธัช) เหมือนกัน ก็บอกว่าฟังดูสิ นี่อาจารย์สุจินต์ เป็นผู้หญิงนะ ที่ประทับใจมากที่สุดคือ หนึ่ง เป็นผู้หญิง ข้อสอง เสียงไพเราะมาก แล้วก็สาม สิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง
ผศ.อรรณพ อันนี้สำคัญสุด
คุณพัชรีรัศม์ ใช่ค่ะ แล้วก็เลยติดตามอาจารย์ เลยคุยกับน้องว่า ตอนหลังเขาฟัง ก็บอกว่า อาจารย์อายุมากแล้ว ทำไมเราไม่ไปหาอาจารย์ ก็เลยได้มาที่นี่ แล้วก็ได้เปิดเวปไซต์และสมัครเป็นสมาชิก
ผศ.อรรณพ อันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
คุณพัชรีรัศม์ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (๒๕๖๑) เดือนกันยาฯ
ผศ.อรรณพ จำเดือนได้ด้วย
คุณพัชรีรัศม์ ค่ะ วันที่ ๑๙ กันยาฯ ก็สมัครเป็นสมาชิก (เวปไซต์) จากนั้นก็มาที่นี่ เท่าที่มีโอกาส แล้ววันหนึ่งก็มีใจ ก็คุยกับเขา ว่า ถ้ามีโอกาส อยากไปอินเดีย ก็พอดีได้ยินเสียงเขาคุยกันว่า ขาดอีก ๓ ที่ ก็จะเต็ม ก็เลยสมัคร ได้ไปอินเดียกับท่านอาจารย์ด้วย ไปที่เมืองคยา พุทธคยา ไปสี่ห้าวัน
ผศ.อรรณพ เป็นโอกาสดีมากเลย แล้วคุณชัยธัชล่ะครับ เมื่อได้รับไลน์มาแล้ว จริงๆ ติดกันเลยนะครับ ไม่คิดว่าจะต้องฟังอยู่จนเข้าใจแล้วค่อยส่ง แต่คือ เปิดแล้วรู้สึกดีก็ส่งเลย แล้วทำไมตอนนั้นไม่ฟัง

คุณชัยธัช ไม่ฟัง เพราะว่า เห็นว่าเป็นอาจารย์ผู้หญิง ไม่ใช่พระหรืออะไรอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้สนใจ
ผศ.อรรณพ ผมถามนิดหนึ่ง แล้วผู้หญิงเข้าใจธรรมะไม่ได้หรือ?
คุณชัยธัช ในความคิดของเราตอนนั้น คิดว่า เราก็โดนสอนมาในสิ่งที่เราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่า ผู้หญิงจะไม่ได้บวช จะบวชไม่ได้ แล้วจะเข้าใกล้พระก็ไม่ได้ คือสิ่งที่ผมคิดว่าน่าสงสารผู้หญิงที่ทำบุญแล้วไม่ได้บวชแบบพระ พอเราไม่ได้ฟังช่วงแรก แล้วตอนหลังเราก็มา..
ผศ.อรรณพ ไม่ได้ฟังเพราะคิดว่า เป็นผู้หญิง

คุณชัยธัช แล้วพี่เขาก็ย้ำอีก ผมก็รู้สึกว่า ถ้าพี่เขาฟังแล้วดี มันน่าจะมีข้อความอะไร เราน่าจะฟังดูไหม อะไรอย่างนี้ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ก็ฟังดู ก็ไม่เข้าใจ (หัวเราะ) แต่ว่าฟังต่อเลย เพราะว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า เห็นในสิ่งที่ปรากฏคืออะไร ทำไมเราไม่เคยได้ยินเลย อันนี้ คำของใคร?
ผศ.อรรณพ คุณชัยธัชครับ ที่คิดว่า ธรรมะไม่น่าจะมาจากผู้หญิง น่าจะมาจากคนที่บวช เป็นพระ อะไรอย่างนี้ แต่เมื่อพี่เขาแนะนำ ควรจะมีอะไรดีๆ ก็ฟัง ฟังแล้วเป็นอย่างไร?
คุณชัยธัช ฟังแล้วก็รู้สึกว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำแบบนี้มาก่อน ผมเคยเข้าใจว่า การที่เราจะได้บุญ ต้องไปวัดเท่านั้น ต้องไปทำบุญเท่านั้น ทำสังฆทาน เท่านั้น แล้วถ้าอยู่นอกวัด เราก็ไม่มีโอกาสได้บุญ
ผศ.อรรณพ เพราะฉะนั้น บุญต้องผูกโยงกับวัด?
คุณชัยธัช​​ ใช่ครับ เพราะในส่วนตัวของผมเอง ก็มีโอกาสได้บวชเรียน ในวัดใหญ่แห่งหนึ่ง แถวๆ ปทุมธานี
ผศ.อรรณพ ไปบวชอยู่ ก่อนไปบวช ทำไมถึงตัดสินใจไปบวชที่วัดนั้น?
คุณชัยธัช ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเป็นนักศึกษา ก็มีชมรมฯ ที่มหาวิทยาลัย ก็ได้มีโอกาสเข้าไปซึมซับเข้ามา ก็รู้สึกว่า
ผศ.อรรณพ แสดงว่าก็ต้องสนใจพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กๆ
คุณชัยธัช ใช่ครับ ตั้งแต่เด็กๆ เคยเป็นเด็กวัดมาก่อน ก็อยู่กับพระตลอด เราก็เห็นพฤติกรรมอะไรหลายๆ อย่าง แล้วเราก็รู้สึกตอนเด็กๆ ก็สงสัยหลายๆ เรื่อง ว่าจะ ใช่ไหม แต่เราไม่เคยถาม เพราะเราเป็นเด็ก
ผศ.อรรณพ แล้วทำไมถึงคิดบวช? การชักนำของชมรมพุทธฯ ที่มหาวิทยาลัย? เป็นโครงการหรือเป็นอะไร?
คุณชัยธัช จริงๆ ก็ เป็นโครงการ เรียกว่า "ธรรมทายาท"
ผศ.อรรณพ อ๋อ..บวชธรรมทายาท ที่รู้จักกัน

คุณชัยธัช ก็บวชไม่มีค่าใช้จ่าย บวชแล้วก็ได้ทดแทนคุณ คือเขาก็จะมีอะไรอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่า ผู้ชายไทยทุกคนก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ในตอนนั้น
ผศ.อรรณพ ที่บวชนี่หลายสาเหตุ เท่าที่ตอบมาก็คือว่า หนึ่ง ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอง เป็นผู้ชายไทย ก็เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องบวช แล้วก็เลยคิดที่จะบวช
คุณชัยธัช แล้วตอนนั้น เราก็เปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเคยเจอมาที่วัด เราก็รู้สึกว่าดี
ผศ.อรรณพ ดีอย่างไร?
คุณชัยธัช ดีหมายความว่า เขามีระเบียบเรียบร้อยดี แล้วก็มีการจัดการที่มันเป็นเหมือนกับเมืองที่เป็นหน่วยงานต่างๆ คอยจัดการ จัดแจงอย่างเป็นระบบ
ผศ.อรรณพ เห็นความเป็นระบบ ความระเบียบ ความเรียบร้อย ก็เลยนึกว่าดี
คุณชัยธัช ใช่ครับ ดูจากภาพอย่างเดียวว่า น่านับถือ
ผศ.อรรณพ ซึ่งคนจะคิดอย่างนี้เยอะ
คุณพัชรีรัศม์ จริงๆ ดิฉันก็เคยไปมาเป็นปี
ผศ.อรรณพ รู้สึกอย่างเดียวกันไหม?
คุณพัชรีรัศม์ รู้สึกว่ามันแตกต่างจากวัดที่อื่น ในเรื่องความมีแบบแผน ความสะอาด ความเรียบร้อย มันเป๊ะ.....รู้สึกว่ามันสวยงาม เข้าไปแล้วก็รู้สึกว่ามีความสุข ในรูปแบบแบบแผน แต่พอไปนั่งฟัง ปฏิบัติธรรม เหมือนกัน ก็มีนั่งสมาธิเหมือนกัน พอฟังไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว
ผศ.อรรณพ อะไรที่ทำให้คิดว่าไม่ใช่
คุณพัชรีรัศม์ คือเหมือน เราไปทั้งปี แต่เราไม่ได้มีความรู้อะไรมากขึ้นเลย เราไม่รู้ว่า ธรรมะคืออะไร? (เขาสอนให้) เรารู้ว่า เราต้องสะสมบุญ เราต้องทำบุญเยอะๆ ที่เรามีชีวิตอยู่เป็นแบบนี้เพราะว่าชาติที่แล้วเราทำมาแค่นี้ ถ้าเราอยากจะมีชาติต่อไปที่ดีกว่านี้ เราต้องสะสมบุญ
ผศ.อรรณพ แล้วตอนนั้นเข้าใจว่าบุญคืออะไรกันครับ
คุณพัชรีรัศม์ ไม่เข้าใจเลย

คุณชัยธัช ไม่เข้าใจ เพราะคิดว่า ถ้าเราได้บวช ได้อะไร เราก็จะมีบุญมาก เป็นคนที่สะสมบุญไว้เป็นเสบียง
ผศ.อรรณพ ตอนนี้ นิดหนึ่งครับ ตอนที่คุณชัยธัชบวช ก็คือ "โครงการบวชธรรมทายาท" รู้สึกอย่างไรกับคำว่า "ธรรมทายาท"
คุณชัยธัช ผมไม่เข้าใจหรอกครับ เอาตรงๆ เลย ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นการบวชทั่วไป
ผศ.อรรณพ สืบต่อ เพราะคำว่า "ทายาท" ทุกคนคงแปลว่าสืบต่อ หรือว่าการบวชสืบต่อธรรมะ
คุณชัยธัช เนื่องจากตอนนั้นเป็นนักศึกษาด้วย เราก็เห็นว่ามีรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็ตามกันไป ก็อยู่ประมาณ ๓ เดือน เต็มพรรษาเลย
ผศ.อรรณพ แล้วทางญาติๆ คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุน
คุณชัยธัช ก็ไม่ได้คัดค้าน เขาก็ตามใจเรา
ผศ.อรรณพ สรุปว่า ที่ไปบวช ไม่ใช่ทางบ้านอยากให้บวช แต่ว่าเป็นความที่เราอยากบวชตามๆ ที่มหาวิทยาลัยเขา..
คุณชัยธัช ทางบ้านก็อยากให้บวช แต่ว่าแล้วแต่เราว่าจะบวชที่ไหน แต่เราก็เห็นว่า อย่างข้างนอก พอบวชก็มีการรื่นเริงบันเทิง คือ เราไม่ชอบแบบนั้น เรารู้สึกว่าถ้างานบวชมีการมาดื่มเหล้า มีการมาอะไรกันอย่างนี้ เราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ในความคิดของเราตอนนั้น เราก็เลยคิดว่าที่นี่โอเคแล้ว สำหรับเรา แล้วก็อยากจะศึกษาธรรมะดู
ผศ.อรรณพ ตอนนั้นไม่เข้าใจว่า "ธรรมทายาท" คืออะไร มีความลึกซึ้งอย่างไรจริงๆ
คุณชัยธัช คือ ไม่ได้เข้าใจด้วย แล้วก็ไม่มีการอธิบายด้วย ว่าคืออะไร แต่ว่ารู้ว่ามันแปลตรงตัวเท่านั้นเอง
ผศ.อรรณพ ไม่ได้สืบต่อพระธรรม ท่านอาจารย์ครับ บวชธรรมทายาท ใช้คำนี้ได้ไหม? ไปบวชเป็นภิกษุแล้วเป็นบวชธรรมทายาท
ท่านอาจารย์ ใช้อะไรก็คงจะใช้ได้ แต่ไม่เข้าใจ อยากจะใช้คำไหนก็ใช้กัน แต่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าใช้ได้หรือไม่ได้ เขาจะใช้ ใครจะใช้ เขาก็ใช้ แต่เขาไม่เข้าใจ

ท่านอาจารย์ มีอะไรบ้างคะ หลังจากที่บวชแล้ว
คุณชัยธัช จริงๆ ก็คล้ายข้างนอก แต่ว่าอาจจะมีแบบแผนที่เป็นระบบระเบียบมากกว่า มีการจัดพิธีกรรมต่างๆ ให้ดู
ผศ.อรรณพ พิธีกรรมอะไรบ้าง
คุณชัยธัช ก่อนจะบวชก็ต้องเป็นนาคก่อน แต่งชุดขาวไปอยู่วัดก่อน ประมาณ หนึ่งเดือน สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น แล้วก็นั่งสมาธิ ทำความสะอาด มีงานอะไรในวัดก็ไปช่วยๆ กันทำ แล้วก็นั่งสมาธิเป็นหลัก หลังจากนั้น ก็จะมีคนที่ไม่ได้บวชก็มี เพราะว่าอาจจะมีปัญหาหรือขัดข้องอะไร ก็ไม่ได้บวช ก็จะเหลือคนที่ได้บวช มีการปลงผม มีการอะไรเหมือนกับข้างนอก แต่จะมีแบบแผนที่เป็นระเบียบ
ผศ.อรรณพ สุดท้ายก็ได้บวช แล้วในพรรษานั้น เป็นอย่างไรบ้าง? มีกิจกรรมอะไรบ้าง
คุณชัยธัช เราก็จะปักกลดอยู่กลางสนาม เป็นกลางสนามแล้วก็ปักกลดเรียงๆ ๆ ๆ กันไป
ผศ.อรรณพ แล้วไม่ได้อยู่กุฏิ?
คุณชัยธัช ไม่ได้อยู่ เพราะว่าต้องเป็นพระที่บวชน่าจะ ๕ ปีขึ้นไปถึงจะอยู่กุฏิที่เป็นคอนโดหรืออะไร ก็สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-วัตรเย็น แล้วก็นั่งสมาธิ อย่างเดียวเลย
ผศ.อรรณพ ชอบไหม? ตอนนั้น
คุณชัยธัช ถามว่าชอบไหม ผมก็ไม่รู้สึกชอบ ไม่ชอบ แค่ทำเป็นหน้าที่ไปเฉยๆ เพราะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็ทำตามเขาไป เขาว่าอย่างไรก็ทำตามเขา ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเองเลย ถ้าพูดถึงตอนนั้น ตามความเป็นจริง เขาว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ไปทำอะไรก็ไปทำ ก็จะมีการไปนั่งสมาธิที่ต่างจังหวัดด้วย ที่เชียงใหม่อะไรอย่างนี้ ก็ไปนั่งนอกสถานที่ด้วย ก็ไปนั่งธรรมะ คือ เขาใช้คำว่า "นั่งธรรมะ" ผมมาฟังตอนหลัง ผมก็ตลกเหมือนกัน นั่งธรรมะ
ผศ.อรรณพ เขาใช้คำว่านั่งธรรมะ นั่งทำอะไร?
คุณชัยธัช นั่งธรรมะก็คือนั่งสมาธินี่แหละ (หัวเราะ)
ผศ.อรรณพ นั่งธรรมะแล้วเข้าใจไหม ว่าธรรมะคืออะไร? ธรรมะตอนนั้น ธรรมะของเขา
คุณชัยธัช ก็เป็นการจดจ้อง เพ่งลูกแก้ว ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีความรู้ เราก็คิดว่าอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่มัน.....
ผศ.อรรณพ มันวิเศษ..
คุณชัยธัช สำหรับตอนนั้นนะครับ คือ คำบางคำที่เขากล่าวอ้างมา ก็กล่าวอ้างว่ามีในพระไตรปิฎกด้วย ซึ่งเราก็ โอ้.. พระไตรปิฎก ยิ่งห่างไกลกับเรามากเลย เราก็ต้องเชื่อไว้ก่อน
ผศ.อรรณพ แล้วลูกแก้วนี่ เขาอ้างในพระไตรปิฎกว่าอย่างไร?
คุณชัยธัช จริงๆ อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ว่าอาจจะมีข้อความบางอันที่อ้างไว้ ก็เป็นข้อความที่ตรงตัวกับสถานที่นั้น (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่า น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกสำหรับเราตอนนั้น ที่ดีสำหรับเราตอนนั้น และเราก็มีหมู่คณะ ก็ตามหมู่คณะไป อย่างนี้ครับ
ผศ.อรรณพ คนเยอะไหม?
คุณชัยธัช โอ้โฮ..รุ่นหนึ่ง น่าจะสามสี่ร้อยนะครับ แต่ละรุ่น
ผศ.อรรณพ สามสี่ร้อยที่ไปปักกลด ที่ปทุมฯ
คุณชัยธัช ใช่ครับ พอหลังจากนั้นก็ลาสิกขา แล้วก็จะมีคนที่อยู่ต่อด้วย
ผศ.อรรณพ แล้วหลังจากที่ลาสิกขามาแล้ว ยังต่อเนื่องอยู่
คุณชัยธัช ยังมีไปต่อเนื่องอยู่
ผศ.อรรณพ ไปต่อเนื่องคือ ไปทำที่เรียกว่าบุญ?
คุณชัยธัช ไปต่อเนื่องอยู่ ใช่ครับ ไปนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ ไปกราบพระ อะไรอย่างนี้ ก็ไป แล้วก็สวดมนต์บนรถเลย (หัวเราะ) ไปเสร็จ สวดมนต์ กลับ
ผศ.อรรณพ เน้นเรื่องการสวดมนต์
คุณชัยธัช ใช่ครับ แต่ไม่เน้นเรื่องความเข้าใจเท่าไหร่
ผศ.อรรณพ ก็เป็นอย่างนี้มา แล้วก็มาเจอที่พี่เขาส่งมา แล้วไม่เหมือนกับที่เราเคยไปซึมซับจนแบบ..
คุณชัยธัช แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างหนึ่งก็คือว่า เราก็ถอยออกมาแล้วด้วย ถอยออกมาแล้ว
ผศ.อรรณพ ถอยออกมาก่อนที่จะได้ฟังจากที่คุณพี่เขาส่งที่มูลนิธิฯไปให้ฟัง แล้วทำไมถึงถอยออกมา
คุณชัยธัช ก็เริ่มมีข่าวที่ไม่ค่อยถูกกฏหมายบ้านเมือง และเราก็รู้สึกว่า เราน่าจะห่างๆ ออกมาดีกว่า ก็มีคนข้างในก็ส่งสัญญานมาเหมือนกัน

ท่านอาจารย์ แล้วส่งสัญญาน เป็นอย่างไรคะ ส่งสัญญาน
คุณชัยธัช ก็ส่งสัญญานว่า คือ มันเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศเลย ก็คือ เรื่องเจ้าหน้าที่ เรื่องเกี่ยวกับคดีความ คือผมก็ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ส่งสัญญานให้รู้อะไร?
คุณชัยธัช ให้รู้ว่า ไม่น่าจะโอเคแล้ว
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเขาไม่บอก เราจะรู้ไหม?
คุณชัยธัช ไม่ทราบครับ แต่ว่าทราบจากข่าวแล้ว จริงๆ ผมก็รู้สึกว่า ไม่ค่อยดีแล้วตอนนั้น ก็รู้สึกว่า หรือจะไม่ใช่แล้วนะ อะไรอย่างนี้
ผศ.อรรณพ ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมที่ มศพ. ที่พี่เขาส่งไปให้ จากข่าวคราวต่างๆ เหล่านี้ แล้วคนที่รู้จักกันก็ส่งสัญญาน คือว่า ไม่ค่อยดีแล้วนะ อะไรต่างๆ เราก็เลยไม่ไป
คุณชัยธัช แต่ว่า พอหลังจากนั้นก็ทำบุญอะไรปกติแถวบ้านแทน ก็ยังไม่เข้าใจ
ผศ.อรรณพ ก็ยังไม่เข้าใจ ก็ไปหาที่ทำบุญใหม่ เดี๋ยวนะครับ คือ ก็ไปหาที่ที่เราคิดว่า ไปทำ "สิ่งที่เราคิดว่าเป็นบุญ"
คุณชัยธัช ใช่ครับ พอหลังจากนั้นก็มาได้เจอพี่เขา ที่เขาส่งมาครั้งแรกก็ไม่ฟัง พอครั้งที่สองฟัง ก็ ผมฟังไปสักพัก ก็รู้สึกว่า เราผิวเผินกับพระพุทธเจ้ามากเลย เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ทรง..ที่ยังคงเหลืออยู่ในพระไตรปิฎก เราไม่เคยที่จะทำความเข้าใจ เราเพียงแต่ตามๆ พิธีกรรม ในสิ่งที่เขาบอก เขาเล่ามา พอเรามาได้ฟัง แล้วเราก็รู้สึกว่า นี่แหละ มันเป็นชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ ธรรมะต้องอยู่กับเราตลอด เป็นเรื่องที่รู้ได้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ด้วย มันไม่คลุมเครือ มันตรง
ผศ.อรรณพ ตรงอย่างไรครับ
คุณชัยธัช ตรงคือ อย่าง "เห็น" ก็คือ สิ่งที่ปรากฏ ชัดเจนมาก "ได้ยิน" ก็มี "สิ่งที่ได้ยิน" กับ "ได้ยิน" ซึ่งเราก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียงว่าไม่จริง แต่อย่างที่อื่น เรารู้สึกว่ามันมีมายาอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ แล้วก็ถามไม่ได้ด้วย ไม่มีการสนทนากัน ไม่มีการสนทนากัน พูดอย่างไรมาเราก็เชื่อ แล้วก็ฟัง แต่อย่างที่นี่ มีเหตุ มีผล มีคนที่ไม่เข้าใจได้สนทนา แล้วก็เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ตัวเอง "เป็นความรู้ของตัวเอง" ผมคิดว่า อันนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องมาก แล้วก็ยืนยันด้วยพระไตรปิฎก แสดงไว้ชัดเจน ก็เป็นสิ่งที่ผมฟังแล้ว ไม่สามารถจะหยุดฟังได้เลย ทั้งๆ ที่ฟังไม่เข้าใจด้วย ตอนแรกๆ
ผศ.อรรณพ ฟังแล้วไม่เข้าใจแล้วทำไมถึงไม่หยุดที่จะฟัง
คุณชัยธัช ผมเป็นคนที่มีความคิดเรื่อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ท่านตรัสรู้อะไร? แต่ว่า ไม่เคยหาคำตอบเลย พอมาได้ยินได้ฟังอย่างนี้ว่าท่านตรัสรู้ความจริงนี่แหละ ความจริงของปัจจุบันนี้แหละ ที่เราใช้ชีวิตอยู่นี้แหละ อยู่ในโลกนี้แหละ ก็เลยทำให้มีความรู้ความเข้าใจของเราเองด้วย แล้วก็ทำให้รู้ถึงตัวเองว่า ที่ผ่านมาเรามีโลภะมากเหลือเกิน อยากจะได้แต่บุญ แต่ไม่เข้าใจบุญ ไม่เคยรู้เลยว่าบุญคืออะไร แต่ว่าอยากได้มา เพราะว่า ธรรมะจริงๆ เพื่อละ "รู้แล้วก็จะละ"

ท่านอาจารย์ ทีนี้ อดีตก็ผ่านไปหมดแล้ว ใช่ไหม ไม่ว่าจะไปไหน มาอย่างไร แล้วก็เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงต่อไป เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจ ก็มีแต่ผิดๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักปฏิบัติ หรือว่าคำสอนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็มีความเป็นเพื่อนที่ดี อยากจะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง

เพราะฉะนั้น หนทางของแต่ละคนก็คงจะมี คือไม่อยู่เฉยๆ แต่ว่าทุกทางที่จะทำให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ก็ทำเต็มความสามารถ โดยไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น ว่าใครจะรัก ใครจะชัง หรือจะเกิดอันตรายอะไรขึ้น ก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่า เมื่อเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง จะกลัวอะไร ย่อมนำสิ่งที่ดีมาให้ ทั้งแก่ตนเอง และญาติพี่น้อง รวมไปถึงประเทศชาติทั้งหมด เพราะว่าเงินที่สูญเสียจากการที่เราได้มีสำนักปฏิบัติ สร้างอย่างวิจิตรมาก สวยงามมาก ราคาแพงมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังสร้างกันอยู่ งบประมาณเฉพาะแห่งหนึ่งสำหรับที่หนึ่งที่ทราบ สามร้อยล้านบาท แต่ขณะนี้สร้างไปได้หนึ่งร้อยล้าน ยังไม่เสร็จ ถ้าเราเอาเงินเหล่านั้นมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ยังจะรักษาทั้งประเทศชาติ และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องไปใช้อีก แค่นี้เขาไม่หยุด ความเห็นผิดไม่มีวันหยุด เพราะฉะนั้น สำนักปฏิบัติก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไม่รู้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่เข้าใจ ก็คงไม่ท้อถอย อีกนานเท่าไหร่ก็รู้จริงๆ และได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เข้าใจธรรมะ ก็จะมีทางของตนเอง ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องแล้วก็ช่วยกัน การกระทำทุกอย่างให้คนได้เข้าใจถูกต้อง เป็นการช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนา ที่ยากที่จะได้ฟังและยากที่จะได้เข้าใจ เพราะว่าความเห็นผิด มากมายมหาศาล หวังว่าทุกคนก็คงจะร่วมใจกัน ไม่เห็นมีใครหยุด ว่าฉันจะไม่ทำอะไรเลย คนที่เข้าใจแล้วจริงๆ เท่าที่ทราบ ไม่อยู่เฉย อย่างคุณพัชฯ ก็ให้คุณชัยธัชได้เข้าใจถูกต้อง ใช่ไหม ว่าอะไรถูกอะไรผิด และคุณชัยธัชก็คงจะต่อๆ ไปอีก
คุณชัยธัช ใช่ครับ ครอบครัวผมก็มาเริ่มฟัง
ผศ.อรรณพ ก็มีการบอก เผยแพร่
คุณชัยธัช ครอบครัวก็เริ่มมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
ผศ.อรรณพ แสดงว่า ค่อยๆ เข้าใจได้ เหมือนกับเรา ที่แต่ก่อนก็เคยรู้สึกว่า มึนไปหมด
คุณชัยธัช ใช่ครับ ค่อยๆ เข้าใจได้ ผมเคยได้ยินคำว่า "ปัญญาที่เกิดจากการฟัง" (คลิกอ่าน..สุตมยปัญญา) มานานแล้ว แต่ว่าไม่เข้าใจ ก็เพิ่งมาเข้าใจที่นี่ครับ ก็เป็นการตั้งต้น เริ่มที่เราจะทำความเข้าใจ และเข้าใจได้

ผศ.อรรณพ อยากจะเรียนคุณพัชรีรัศม์ นิดหนึ่งว่า ทราบว่าแต่ก่อนไปฝึกสมาธิมา ที่สำนักที่สอนสมาธิ มีคนสนใจที่ตรงนั้นเยอะทีเดียว ใช่ไหมครับ เพราะอะไรคนถึงสนใจในแนวฝึกสมาธิอย่างนี้
คุณพัชรีรัศม์ เยอะมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะความไม่รู้
ผศ.อรรณพ อันนั้น แน่นอน แต่ว่ามีอะไรที่ทำให้คนสนใจมากกว่าสำนักอื่น ที่คนเขาไป เพราะเมื่อสักครู่ที่คุณชัยธัช ไปมา จุดเด่นก็คือในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ แล้วก็รูปแบบ ความมีระบบ ความเรียบร้อย ก็ทำให้คนเชื่อ แต่อีกที่หนึ่ง เขาเน้นเรื่องสมาธิ
คุณพัชรีรัศม์ ก็เช่นกัน ในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ แล้วก็การกระจายจุดต่างๆ ที่จะไปดึงผู้คนเข้ามา คือ เหมือนเรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เรียนสบาย อยู่ในห้องแอร์ แล้วก็ใช้เวลาประมาณหลังเลิกงาน ซึ่งจริงๆ เขาจะใช้คำพูดซึ่งชักจูงเยอะ ก็เคยไปช่วยเขา ที่จะไปดึงผู้คนเข้ามา ตามห้าง ก็ไปตามจุดที่เขาให้ไปยืน เช่น หน้าตลาด ตามห้างต่างๆ แล้วแจกใบปลิว ชวนมาเรียนครูสมาธิ เรียนฟรี อะไรอย่างนี้
ผศ.อรรณพ คิดว่า คำว่า เรียนหลักสูตรครูสมาธิ อันนี้ เป็นการประชาสัมพันธ์ ที่โดนใจคน
คุณพัชรีรัศม์ จูงใจได้
ผศ.อรรณพ จูงใจคน เพราะว่าคน "อยาก" อยากเป็นครูสมาธิ
คุณพัชรีรัศม์ พอเรียนผ่านไป ก็ยังมีคนมาถามว่า ตกลงเธอเป็นครูหรือยัง อะไรอย่างนี้ บอกว่ายัง เพราะว่ามันจะต้องเรียนอีกชั้น เรียนไปอีก ก็ไม่ได้เรียนแล้วตอนนี้ ไม่ไปแล้ว สำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เลิกไปหมดแล้ว
ผศ.อรรณพ เพราะอะไรครับ
คุณพัชรีรัศม์ ก็อย่างที่บอกว่า เราพบว่า ของจริงเราเจอแล้ว เราจะไม่ไปของปลอมแล้ว ของจริงก็คือ เราได้ฟังธรรมของท่านอาจารย์ แล้วเรารู้ว่า นี่ของจริง พูดกับหลายๆ คนเลย ทั้งน้อง ทั้งพี่ ทั้งเพื่อน คือ พยายามดึงเขาออกมา ว่ามาฟังทางนี้ดูสิ วันนี้ก็โทรไปอีกคนหนึ่งว่า จะชวนมานี่นะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะออกรายการ (หัวเราะ) เขาก็บอกว่า เอาไว้อาทิตย์หน้าได้ไหม พอดีนัดเพื่อนกินข้าวไปแล้ว ชวนน้อง น้องคนหนึ่งก็ไปเรียนครูสมาธิอีกแล้ว ก็เลยบอกว่า พี่ไม่ไปแล้ว
ผศ.อรรณพ อันนี้รู้สึกคนจะนิยมเยอะมาก
คุณพัชรีรัศม์ ใช่ค่ะ เขาบอกว่า อ้าว ทำไมไม่ไปล่ะ ก็เลยอธิบายให้เขาฟังว่า นี่ฟังอาจารย์มา รู้ไหมว่านั่งสมาธิ ไม่ใช่พุทธศาสนา มีมาก่อนพุทธศาสนา เขาก็หัวเราะกันใหญ่ น้องสองคนหัวเราะกัน ขำว่า พูดตลก น้องอีกคนเขาก็ว่าบ้าหรือเปล่า ไม่มีนั่งสมาธิในพระพุทธศาสนา
ผศ.อรรณพ แสดงว่า สะท้อนให้เห็นว่า คนคิดว่าพระพุทธศาสนาคือการนั่ง (สมาธิ)
คุณพัชรีรัศม์ สอนให้นั่งสมาธิ แล้วก็ถามว่า ถ้าไม่นั่งสมาธิแล้วจะไปทำอะไร? เราก็จะบอกเขาว่า ต้องมาฟังดูก่อน คือจะพยายามชวนให้มาฟัง แล้วก็ส่งลิงค์ของอาจารย์ไปให้เขาฟัง
ผศ.อรรณพ ทีนี้ สองข้อความนี้คงจะต่างกันว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มานั่งทำสมาธิ แต่ในพระพุทธศาสนาก็มีสมาธิ อันนี้มีความเห็นอย่างไรบ้าง เมื่อได้ศึกษาแล้ว เดี๋ยวจะคิดว่าพระพุทธศาสนาปฏิเสธว่าไม่มีสมาธิ
คุณชัยธัช ไม่ใช่ครับ มีครับ แต่ว่าไม่ใช่นัยนั้น

คุณพัชรีรัศม์ มันเป็นสองเรื่อง มี มิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิ (คลิกอ่าน...ความแตกต่างระหว่างสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ) ก็จะอธิบายให้เขาฟัง คือ ถ้าเราพูดกันเรื่องธรรมะ บางทีก็จะเป็นการโต้แย้งกันเยอะ ก็จะพูดให้น้อยลงหน่อย
คุณชัยธัช เพราะคนคิดว่าสมาธิเป็นเรื่องที่ไม่มีฝั่งตรงข้ามเลย ดีอย่างเดียว แล้วคนก็ไปทางนั้นเยอะด้วย
ผศ.อรรณพ พระพุทธเจ้าถึงทรงแสดงว่ามิจฉาสมาธิ แล้วที่ทำๆ มา ที่ไปดูลูกแก้วมา ตกลงเป็นสัมมาหรือเป็นมิจฉาสมาธิ
คุณชัยธัช มิจฉาฯ แน่นอน
ผศ.อรรณพ แล้วจากที่คุณพัชรีรัศม์ไปฝึกสมาธิ
คุณพัชรีรัศม์ ก็มิจฉาสมาธิ
ผศ.อรรณพ ทำไมถึงกล้าพูดอย่างนั้น?
คุณพัชรีรัศม์ อย่างที่ในการปฏิบัติจริงๆ ไปนั่งหลับตาโดยที่ไม่รู้อะไรจริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่า จะทำให้จิตนิ่งได้อย่างไร ในห้องมี ๕๐ คน บางคนก็นั่งกรน นั่งหลับไป มีปัญหามาก็ถามว่า เขานั่งหลับ คนที่สอนก็บอกว่า เข้าภวังค์ไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
ผศ.อรรณพ อ้าว แล้วนอนหลับกลางคืนธรรมดา ไม่ดีหรือ? ภวังค์ยาวเลย
คุณพัชรีรัศม์ (หัวเราะ) ก็ได้คำตอบที่กลับมาก็งงๆ เหมือนกัน ถึงได้ไม่กลับไปอีก
ผศ.อรรณพ ถึงได้รู้ว่านั่นคือทางผิด มี "ความตั้งมั่น" ใช่ เป็นสมาธิ แต่เป็นความตั้งมั่นที่ผิด เพราะเข้าใจว่าอันนั้นเป็นหนทางที่จะทำให้รู้ ก็เลยเป็นหนทางผิด เป็นมิจฉาฯ มิจฉามรรค หนทางผิด อันนี้ก็ชัดมากเลยครับท่านอาจารย์ ว่าถ้าคนที่มีเหตุผลเขาต้องคิดแบบนี้ ผมคิดเอาเองว่า ถ้าตอนที่นั่งหลับ เขาบอกว่าเข้าสมาธิชั้นเยี่ยมแล้ว แล้วเวลาเรานอนหลับยาวๆ เด็กนั่งหลับในชั้นเรียน กลายเป็นดีไปสิ ถ้าอย่างนี้
คุณพัชรีรัศม์ พอมาฟังเทปอาจารย์ ก็จริงอย่างที่อาจารย์พูดเลยว่า ไปเสียเวลาเปล่าๆ แต่ในขณะที่เราฟังเรื่องของธรรมะ ที่อาจารย์สอน เราก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละนิด ทีละนิด จริงๆ จากที่ไม่เข้าใจก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น
ผศ.อรรณพ ไม่ทราบว่าคุณพัชรีรัศม์เห็นประโยชน์ของความเข้าใจถูกอย่างไรบ้าง
คุณพัชรีรัศม์ ความเข้าใจถูก ทำให้ชีวิต หลังจากนั้น ดิฉันรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ในโลกที่สบายขึ้น เช่น ความคิดอะไรเราก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนนี้ เราทำบุญ เราก็จะเคร่งเครียดว่าเราต้องได้บุญ แต่จริงๆ เดี๋ยวนี้ คำว่ากุศล อกุศล ก็จะอยู่ในชีวิต ในขณะที่เราทำอะไร เป็นอกุศลหรือไม่เป็นอกุศล ได้มีโอกาสคิด ขัดเกลา หลายๆ คนที่รู้จักดิฉัน ก็จะรู้สึกว่า พี่เปลี่ยนไปเยอะมาก รู้สึกว่า ใจเย็นขึ้น รู้สึกสงบ สบายขึ้น เช่นคำพูด แต่ก่อนจะเป็นคนที่พูดเร็วโดยที่ไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่น แต่เมื่อเรานึกถึงคำว่ากุศล และอกุศล เราก็จะไม่ทำร้ายจิตใจคนอื่น คือ ฟังเทปของอาจารย์เยอะ ฟังทุกวัน ในรถมีแต่เทปพวกนี้หมดเลย ก็เลยจะ "เข้าใจ" มากขึ้น
ผศ.อรรณพ โดยที่ไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติ โดยที่ไม่ต้องไปทำสมาธิ ที่บอกว่าทำให้จิตนิ่ง อะไรต่ออะไร ท่านอาจารย์ครับ ผมก็พบอย่างนี้หลายท่าน ที่ท่านได้เข้าใจ แล้วท่านก็กล่าวอย่างนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ของ "ความเข้าใจพระธรรมที่เขาปรุงแต่ง" อย่างนี้ แต่คนจะไม่ค่อยรู้สึก คนเขาก็พูดได้ เขาก็รู้สึกว่าเราดีขึ้น แต่เวลาที่เขาไปสำนักอะไรกัน แล้วกลับมา เขาก็จะอ้างหรือรู้สึกว่า ดีนะ ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น คนจะเชื่อไปทางนั้น มากกว่าที่จะเห็นประโยชน์ว่า "เข้าใจ แล้วก็ปรุงแต่งให้ชีวิตดีขึ้น" โดยเป็น "ความเป็นไปของความเข้าใจ"

ท่านอาจารย์ เขาไม่สามารถที่จะรู้ว่า ทำไมถึงเปลี่ยน อะไรเป็นเหตุให้เปลี่ยน เขาดูแต่ภายนอก ชื่นชมทุกอย่างที่ดีขึ้น แต่ลืมว่า เขาไม่รู้ว่า เพราะอะไร? และไม่รู้ด้วยว่า มี "ความเข้าใจ" ต่างหาก ที่ดียิ่งกว่า "อาการภายนอก" ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่านั่นเป็นเหตุที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ว่ากายหรือว่าวาจา เพราะฉะนั้น คนเราเผินมาก ดูทุกสิ่งทุกอย่างจากภายนอก แต่ลึกลงไปในแต่ละคน เขาไม่สามารถที่จะเห็นได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่ "ความเข้าใจ" นั่งๆ อย่างนี้ ใครจะรู้ว่าคุณพัชรีรัศม์ มีความเข้าใจจากเดิมที่ไม่เข้าใจมากแค่ไหน และมั่นคงแค่ไหน เพราะฉะนั้น แต่ละคน ไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่พูด เพราะฉะนั้น เขาก็ไปบอกต่อๆ กันว่า เดี๋ยวนี้คุณพัชรีรัศม์ดีขึ้นนะ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่พูดเรื่องความเข้าใจถูก ไม่พูดเรื่องความเข้าใจพระธรรมเลย

เพราะ "เขาไม่รู้"

ขอเชิญคลิกชมตอนอื่นๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่าง.....

- รายการสนทนาปัญหาสารพัน รายการใหม่ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
- สนทนาปัญหาสารพัน : แรงงานพม่า สะท้อนปัญหาชาวพุทธ
- สนทนาปัญหาสารพัน : ๑๐ ปีที่เสียไป เปิดใจอดีตแม่ชี พญ.ธิดา คงจรรักษ์
- แม่ชีคือใคร?
- สนทนาปัญหาสารพัน : เกือบจะหย่า กว่าจะเข้าใจพุทธวจน ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
- สนทนาปัญหาสารพัน : อดีตแม่ชีวิปัสสนาจารย์เผยวิกฤตการณ์ชาวพุทธ
- อาจารย์สุจินต์ เป็น คริสต์หรือ?
- สนทนาปัญหาสารพัน : ที่พึ่งที่แท้จริง
- สนทนาปัญหาสารพัน : แสงธรรมส่องถึง L.A. [ตอนแรก]
- สนทนาปัญหาสารพัน : เข้าใจโลกธรรม
- สนทนาปัญหาสารพัน : พบพระธรรมเพราะถูกห้าม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nataya
วันที่ 3 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ