ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  27 พ.ค. 2560
หมายเลข  28878
อ่าน  3,112

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ริมสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ตำบล ศาลายา อำเภอ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

การสนทนาธรรมที่บ้านพักของคุณทักษพลและคุณจริยาในครั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว มีความรู้สึกว่า เห็นภาพของมิตรภาพและความอบอุ่นของสหายธรรมมาก อาจเป็นเพราะหลายท่านมีความรู้จักคุ้นเคยสนิทสนมกันมากขึ้น จากการที่ได้พบหน้าค่าตากันบ่อยๆ ตามสถานที่ต่างๆ ที่ได้ติดตามไปฟังการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และวิทยากรฯ อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ จากความที่คุ้นเคยกันมากขึ้น จึงชักชวนกันเข้ากลุ่มไลน์ของกันและกัน ทำให้มีการสนทนาใกล้ชิดกัน ศึกษาและสนทนาธรรมกัน ด้วยความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็นที่น่าชื่นชมยินดีอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่านที่มีมากขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยจากความเข้าใจธรรมะที่มีมากขึ้น จากการได้ฟังและเข้าใจขึ้น บ่อยๆ เนืองๆ

เมื่อกล่าวถึงความสนิทสนมคุ้นเคยที่มีมากขึ้นในหมู่คณะหรือแม้ในแต่ละบุคคล จากที่ไม่เคยพบรู้จักกันมาก่อน จนมาพบกันในวาระต่างๆ นี้ การพบกันเป็นมิตรกันในพระธรรม ร่วมกันทำดีและศึกษาพระธรรมเป็นความยอดเยี่ยมอย่างยิ่งของชีวิตในชาติหนึ่งๆ ที่เมื่อเกิดมาและได้พบและได้ฟังพระธรรมจากการทรงตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพราะเหตุที่บุคคลที่เริ่มมีความเข้าใจพระธรรมมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้เป็นผู้ที่น้อมไปสู่ความประพฤติ ปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสของตน ของตน นั้นเอง เป็นประการสำคัญที่สุด

การเข้ามาสู่หนทางของความเข้าใจในพระศาสนาคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บนหนทางที่ถูกต้องหนทางเดียวนี้ ไม่ว่าจะมีการเรียกชื่อ ใช้ชื่ออะไรก็ตาม อริยมรรคมีองค์ ๘ สติปัฏฐาน ๔ หนทางอันเอก หนทางเดียวที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ว่า เป็นหนทางเดียวที่จะนำบุคคลไปสู่ความสิ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ไม่มีหนทางอื่นเลย ไม่ใช่หนทางของการคิดเอง ไม่ใช่หนทางของการฟังคำของคนอื่น ไม่ใช่หนทางการไปปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างที่ทำๆ กันอยู่ตามสำนักปฏิบัติต่างๆ ทั่วโลกในขณะนี้ ด้วยความเป็นตัวตน (อัตตา) ด้วยความติดข้องต้องการ (โลภะ) แต่ด้วยการที่บุคคลมีการฟังและเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง "ความเข้าใจ" ที่เกิดมีขึ้นจากการที่ได้ฟังพระธรรม คือ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา และ ความเข้าใจคือปัญญานี้เอง เมื่อได้อบรมจนมีกำลังมากขึ้น ย่อมเป็นเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของปัญญาเองได้โดยบ่อย ทั้งมีความน้อมไปสู่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราจะไปปฏิบัติอะไรได้เลยทั้งสิ้น ด้วยความเป็นอัตตา ด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งจะเป็นหนทางที่ค้านกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงโดยสิ้นเชิง ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" (สัพเพ ธัมมา อนัตตา) ไม่ลืมว่า คำใดที่ทรงตรัส เป็นวาจาสัจจะ ไม่เปลี่ยนเป็นอื่น ทุกคำที่ตรัส มาจากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมียาวนานกว่าจะได้ทรงตรัสรู้ความจริง และความจริงที่ทรงตรัสรู้นั้น เป็นสัจจธรรม เป็นความจริงที่ถึงที่สุดแล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไม่ได้ นี้เป็นความละเอียด ลึกซึ้งของพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ผู้เผิน ย่อมเดินไปสู่หนทางผิดโดยง่าย ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่หนทางของตนนั้นเอง หาใช่ผู้อื่นไม่ ท่านแสดงว่า หากสะสมความเห็นผิดไว้จนมีกำลังมาก ย่อมเป็นผู้มิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นดิ่งลง เป็นตอของวัฏฏะ ออกจากสังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์นี้ไม่รู้จบสิ้น ผู้ไม่รู้ย่อมไม่รู้จริงๆ ว่า โทษของมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดนี้ ร้ายแรงยิ่งนัก ไม่มีทางที่จะกลับมาสู่ความเห็นถูกได้เลย เหมือนทางเดินที่สวนกัน ทางหนึ่งมุ่งสู่เบื้องหน้าคือความหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ในวันหนึ่ง ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง อีกทางหนึ่งดำดิ่งลงสู่เบื้องต่ำ ปักแน่นเป็นตออยู่ในความมืดมิด ด้วยเหตุของอวิชชา ความไม่รู้ ดังคำพรรณาของ ผศ. อรรณพ หอมจันทร์ ที่ขออนุญาตยกมาบันทึกไว้ที่นี้ว่า

เพราะไม่รู้ จึงอยู่มา ในหล้าโลก เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศก ในสงสาร
เพราะไม่รู้ จึงเป็นเรา เขลามานาน เพราะไม่รู้ จึงคบพาล เผาผลาญตน

เพราะรู้คุณ ของพระธรรม จึงร่ำเรียน เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร เพิ่มกุศล
เพราะรู้ชัด จึงมิใช่ สัตว์บุคคล เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย

จุดเริ่มต้นประการสำคัญที่สุดบนหนทางอันเอกที่ทรงแสดงนี้ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ความเห็นที่ถูกต้อง การตั้งจิตไว้ชอบ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัญญา ที่บุคคลสะสมมาในอดีตอนันตชาติ หากอยากใช้ชื่อ ท่านก็กล่าวว่า เป็นเพราะ "ปุพเพกตปุญญตา" บุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน ฟังดูเผินๆ อาจคิดด้วยความเป็นผู้ไม่ละเอียดว่าใครๆ ก็คงมีด้วยกันทั้งนั้น แต่ปางก่อนก็แต่ปางก่อนเถิด หารู้ไม่ว่า หากมิได้เป็นผู้สะสมบุญมาแต่ปางก่อนไซร้ ปางนี้หรือกาลนี้ มีหรือที่จะเป็นผู้ที่ สนใจ ใส่ใจ ที่จะเห็นความมีค่า มีสาระของพระธรรม สนใจ ใส่ใจ ในหนทางที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏนี้ได้? ย่อมเป็นผู้ที่ แม้ได้พบ แม้ได้ยิน แม้ได้ฟัง ก็ฟังผ่านเลยไป ไม่สนใจ ไม่ขวนขวายโดยต่อเนื่อง ในอันที่จะได้รู้ ได้เข้าใจจริงๆ ในความเป็นจริงของธรรมะที่ทรงแสดง ทั้งไม่รู้ถึงสาระอันมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ ในสากลจักรวาลนี้เลย น่าเสียดายนักกับ การได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งทรงแสดงว่าแสนยาก

ไม่ลืมว่า ชาตินี้เป็นแต่ปางก่อนของชาติหน้า!!! หากจะชื่อว่าเป็นผู้ที่เคยสะสมบุญมาแต่ปางก่อน ก็ควรที่จะสนใจ ใส่ใจในปางนี้ คือชาตินี้!!! (ซึ่งจะเป็นแต่ปางก่อนของชาติหน้าเมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้) ว่า มีความเข้าใจความจริงที่มีอยู่จริงๆ ในชีวิตทุกๆ ขณะนี้ จากการทรงตรัสรู้และทรงแแสดงไว้ให้เข้าใจขึ้นบ้างหรือยัง? ชาติหน้าจึงมีความเข้าใจนี้เป็นที่พึ่ง ให้ได้สะสม อบรมเจริญปัญญาเพิ่มขึ้นต่อไปได้ จากการที่จะได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อๆ ไป ได้ฟังพระธรรม จนกว่าจะถึงกาลแห่งการได้รู้ ได้ประจักษ์แจ้งธรรมะในวันหนึ่ง ไม่ว่าจะอีกแสนไกลกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม แต่มีได้ด้วยความเข้าใจที่ "เริ่มมีในวันนี้" นั่นเอง

บุคคลย่อมเวียนเกิดเวียนตายอยู่เช่นนี้ แล้วๆ เล่าๆ วนอยู่กับสุขและทุกข์ หาทางออกไม่ได้ หากไม่มีแม้คำถามว่า เกิดมาทำไม? ตายแล้วไปไหน? ชีวิตนี้เพื่ออะไรกันแน่? มุ่งแต่จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ความมั่นคง มั่งคั่งในชีวิต แต่เพียงประการเดียว ละเลยประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่มีผู้กล่าวเตือนให้ได้ยินโดยบ่อยว่า เหมือนวิ่งคว้าอากาศที่ว่างเปล่า เหน็ดเหนื่อยมากมาย จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แม้จะคิดได้ ก็สายไปเสียแล้ว หมดโอกาสที่จะแสวงหาความรู้ ความเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีค่า ครอบครัว บุตร ภรรยา ข้าทาส กรรมกร ไร่นาสาโท อสังหาริมทรัพย์ใหญ่โตมากมาย ที่อุตส่าห์ขวนขวายหามาทั้งชีวิต ซึ่งเอาติดตัวไปด้วยหาได้ไม่นี้ บุคคลควรที่จะแสวงหาสิ่งใดกันแน่? ในขณะที่ยังมีชีวิตร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์อยู่

เมื่อไหร่จะคิดได้ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ที่ว่าเป็นมนุษย์ที่สุดประเสริฐนั้น หาใช่ประเสริฐเพราะอื่นใดไม่ แต่ประเสริฐเพราะเหตุที่ได้เกิดในประเทศอันสมควร ในกาลที่พระศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงยังดำรงอยู่ ทั้งเป็นผู้ที่ได้พบกับกัลยาณมิตรที่แท้ อันเป็นเหตุให้ได้ยินได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ดีแล้วนั้น และเป็นผู้ที่สะสม อบรมความเข้าใจในความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิต จากการได้ยินได้ฟังคำจากการที่ทรงตรัสรู้ ชาติแล้วชาติเล่า สะสมไป เพราะเมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะ ย่อมรู้ว่า หนทางแห่งการประจักษ์แจ้งความจริงอย่างที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น แสนยาก และยังอีกแสนไกลนัก แต่จักเกิดมีได้ ก็ด้วยความเข้าใจธรรมะ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ สะสมไป

นี้คือ อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่แท้จริง ที่บุคคลควรสะสมไว้ ซึ่งสามารถที่จะติดตามไป เป็นที่พึ่งแก่บุคคลนั้นได้ตลอดหนทางในสังสารวัฏ และเมื่อได้กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์เช่นนี้อีก ก็ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ได้พบ ได้ฟัง ได้เข้าใจ พระธรรม สะสม อบรม เจริญปัญญา ต่อๆ ไป บุคคลจึงมีเสบียงคือความเข้าใจธรรมะ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ หาใช่ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่พึ่งแต่ในชาตินี้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะติดตามไปเป็นที่พึ่งแก่บุคคลใดได้เลย เมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ไปแล้วในชาตินี้

จากที่กล่าวแล้วว่า บุคคลย่อมเป็นผู้ตั้งจิตไว้ชอบ ในการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม เข้าใจถูกต้องว่า มาสู่หนทางนี้ เพื่อการฟัง การศึกษา เพื่อเข้าใจความจริง จากคำจริง วาจาสัจจะ ของผู้ที่ทรงตรัสรู้ เป็นผู้ที่ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะ เท่านั้น และเป็นผู้ตรงว่า มิได้มาเพื่อแสวงหาสิ่งอื่นใดเลย ไม่ได้มาเพื่อแสวงหาเพื่อนฝูง ไม่ได้มาแสวงหาเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ได้มาเพื่อแสวงหาลาภ แสวงหายศ สรรเสริญ สุข แต่ประการใดเลยทั้งสิ้น หากเป็นผู้ตั้งจิตไว้ชอบเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผู้หวั่นไหวไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือทุกข์ประการต่างๆ เลย ในหนทางอันประเสริฐนี้ หากเป็นผู้มาด้วยจุดประสงค์เดียว คือ การแสวงหาซึ่งความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ในธรรมะที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เท่านั้นเอง!!!

เมื่อเป็นผู้ตั้งจิตไว้ชอบ ว่ามาสู่หนทางนี้เพื่อศึกษาและเข้าใจธรรมะเท่านั้น ทั้งเป็นผู้ที่รู้หน้าที่ของตน ของตน ว่ามาฟัง มาศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมะ เป็นประการสำคัญ และด้วยปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น ย่อมมีความน้อมไปสู่การทำดีและการเจริญกุศลทุกประการ มีปัญญาที่เป็นไปเพื่อการ ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสของตน นั้นเองเป็นสำคัญ เมื่ออยู่ด้วยหมู่คณะ ย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดอันจะก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญใจแก่ผู้อื่นที่ได้ศึกษาธรรมะร่วมกัน ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใด อันจะเป็นการก้าวก่ายในกิจของผู้อื่น ไม่เจ้ากี้เจ้าการกับด้วยบุคคลผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยคำพูดและการกระทำต่างๆ อันจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดอกุศลจิต แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

นี้เป็นสิ่งที่บุคคลพึงสำรวม ระวัง ประพฤติ ปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ของตน ของตน เท่านั้น จากความเข้าใจธรรมที่มี ตามกำลังปัญญาของตน ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมะ แต่แม้กระนั้นก็ตาม มีคำพูดที่ว่า บัณฑิตโกรธกันไม่นาน เพราะเหตุที่ เมื่อมีความเข้าใจธรรมมากขึ้น ย่อมรู้และเข้าใจว่า ที่ว่าชีวิตของแต่ละบุคคลนั้น จริงๆ แล้วหามีใครผู้ใดไม่ เป็นแต่จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา ความโกรธ ความไม่พอใจก็มีจริง สะสมมาที่จะโกรธ ย่อมโกรธ แต่โกรธก็หมดไปแล้ว ดับไปแล้วเช่นกัน แม้ไม่อยากโกรธก็โกรธ แม้รู้ว่าไม่ควรพูด ไม่ควรเป็นผู้เจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องของคนอื่น ควรใส่ใจแต่เพียงกิจหน้าที่ของตนเท่านั้น รู้ทั้งรู้ ก็ยังเจ้ากี้เจ้าการ (เพราะขณะที่เจ้ากี้เจ้าการ ไม่รู้ว่ากำลังเจ้ากี้เจ้าการ) ก็เพราะเหตุที่สะสมมาจนมีกำลัง ยากที่จะละคลาย นั่นเอง

แต่ เมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้ว ประโยชน์อย่างยิ่งก็คือ รู้ว่าเป็นธรรมะฝ่ายชั่วที่ควรละ แต่ก็เกิดแล้วทุกที เพราะมีเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา จึงเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมด้วยความสำรวมระวัง ด้วยปัญญาที่พึงมีในขณะนั้น ดังได้กล่าวแล้ว แน่นอนว่าถ้าปัญญาไม่เกิด ย่อมไม่มีการสำรวม เพราะไม่ใช่เป็นเราที่สำรวม แต่เป็นกิจหน้าที่ของปัญญาซึ่งเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา หนทางนี้จึงเป็นหนทางของการ "อบรมเจริญปัญญา ท่ามกลางอกุศล" ซึ่งเป็นวลีที่มีค่าและมีความหมายที่ลึกซึ้ง ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมตตากล่าวเตือน แล้วๆ เล่าๆ ด้วยความเมตตาหาที่สุดมิได้ เป็นคำกล่าวเตือนที่ทำให้เห็นถึงความละเอียดของธรรมะประการต่างๆ ในชีวิตประจำวันว่า ผู้ที่ละเอียดเท่านั้น ที่จะได้สาระจากพระธรรม ที่จะมีความเข้าใจธรรม เพราะธรรมที่ทรงตรัสรู้นี้ ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง สุดที่จะประมาณได้ แม้จะกล่าวอยู่อย่างนี้ ความละเอียดของธรรมะก็ปรากฏเพียงเท่าที่กำลังปัญญา ความเข้าใจธรรมะที่มีของแต่ละบุคคลเท่านั้น ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ย่อมรู้ถึงความละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นตามลำดับ ตามระดับขั้นของปัญญา หาใช่คำที่กล่าวลอยๆ แต่ประการใดไม่

"ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง" เมื่อโกรธได้ก็อภัยได้ (เชิญคลิก ... ทำไมถึงอภัยไม่ได้) ด้วยปัญญาความเข้าใจถูกต้อง เมื่อผิดพลาดก็แก้ไขได้ในขณะต่อๆ ไป ด้วยความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น พิสูจน์ให้เห็นถึงความมีเหตุมีปัจจัย และความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ ทั้งหมดเป็นแต่ธรรมที่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย หาใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลใดเลยทั้งสิ้น แม้อยากจะลาออกจากความเป็นผู้มักโกรธ ก็ลาออกไม่ได้ อยากจะลาออกจากความเป็นผู้จัดการ ผู้เจ้ากี้เจ้าการ ก็ลาออกไม่ได้ถ้าไม่มีปัญญา จึงควรมีเมตตาต่อกัน ด้วยต่างคนต่างก็ถูกกิเลส ความติดข้องของตนๆ ทำร้าย เพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา จะสละละคลายได้ ก็ด้วยปัญญาที่เพิ่มขึ้น เท่านั้น จึงเป็นกำลังใจแก่กันและกันต่อไปในหนทางอันเอก หนทางเดียวนี้ ไม่มีหนทางอื่นแน่นอน กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นวัน เข้าใจธรรมะ เพราะเหตุว่า ขณะนี้ ก็มีธรรมะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ขาดไปเลย แต่ว่าความเข้าใจธรรมะ เป็นสิ่งซึ่ง ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย ก็เหมือนเดิม คือ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สุข ทุกข์ แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย เท่านั้นเอง แต่ว่า ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งซึ่งมี ไม่เคยขาดไปเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน เดี๋ยวนี้ก็มีธรรมะ!! แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็คือ มีเรา มีต้นไม้ มีโต๊ะ มีผู้คนต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริง ธรรมะคืออะไร?

ถ้าเราไม่ "เริ่มต้น" อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะ "รู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่า ได้ยินแต่ "ชื่อ" และถ้าอย่างมากที่สุด ที่ชาวพุทธทั้งหลายรู้ๆ กัน ก็รู้ว่าพระองค์เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม บางคนก็พูดด้วยว่า ไม่ใช่เพียงแต่เป็นพระสัมมาสัมพุธเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม แต่ทุกคำทั้งหมด ไม่เข้าใจ!! ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!

แม้แต่คำว่า "พุทธะ" คือ อะไร? พุทธะ คือ รู้ หรือว่า ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเห็นถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏแล้วหรือยัง?

ไม่ใช่ไม่มี มี แต่ถ้าไม่เคยฟังธรรมะเลย เราบอกเรารู้ทุกอย่าง เรียนจบวิชาโน้น วิชานี้ ทำกิจการงานต่างๆ มีความสามารถทุกอาชีพ แต่ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ รู้อะไร???

นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้น ก็อยู่มาในโลก ด้วยความไม่รู้!! หรือถ้าบางคนจะบอกว่ารู้ เขาก็รู้เผินๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่รู้อย่างนั้น ไม่ใช่การเข้าใจธรรมะ!! เพราะเหตุว่า เพียง "ได้ยินชื่อ แล้วก็จำ" แต่ว่า ถ้ารู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "พุทธะ" คือ ผู้รู้ เป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดเปรียบเลย ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ด้วยพระองค์เอง ผ่านไปแค่นี้ ตั้งแต่เด็ก แล้วแต่ว่าใครเริ่มจะสนใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้อะไร? ตรัสรู้อะไร? คำว่า "ตรัสรู้" ไม่ใช่รู้อย่างชาวโลก!! แต่ตรัสรู้คือรู้ความจริงของสิ่งที่มี แต่ละหนึ่ง จนถึงที่สุด!!

เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องที่เราประมาท ไม่ใช่ที่บางคนก็อ่านธรรมะของบุคคลโน้น บุคคลนี้ วันละสามชั่วโมง แต่ถามว่า รู้อะไร? ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ตรง ก็คือว่า เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ รู้หรือยัง?

ดูเหมือนไม่น่าสนใจ สนใจอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่า ที่เป็นการงานอาชีพ แล้วแต่ว่าสาขาไหน ดนตรีต่างๆ เพลงต่างๆ เรื่องราวต่างๆ แต่ไม่เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้!! เดี๋ยวนี้ ... ไม่รู้อะไร? ... เริ่มต้นจาก..ไม่รู้อะไร? ... และสิ่งนั้นแหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้!!

เพราะฉะนั้น เริ่มต้นจาก "ธรรมะ" ให้ชัดเจน เพราะว่า ควรเข้าใจธรรมะ ทุกครั้งที่ฟังธรรมะ!! ไม่ใช่ฟังเผินๆ แต่ว่าทุกครั้งที่ฟังธรรมะ ก็ต้อง "เข้าใจธรรมะ" เพราะฉะนั้น ธรรมะ คือ อะไร? ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ก็ยังไม่รู้อีก ถ้าสั้นๆ แค่นี้ เดี๋ยวนี้มีไหม? ต้องคิด!! ถ้าได้ยินว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ต้องมีจริงแน่ๆ ตลอดไป เปลี่ยนคำนี้ไม่ได้เลย แล้วเดี๋ยวนี้มีไหม? เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม?

ถ้าไม่เคยฟังมาก่อน จะบอกไม่ได้เลย ว่าเดี๋ยวนี้มี "สิ่งที่มีจริง" เพราะฉะนั้น "สิ่งที่มีจริง" ภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรมะ" เป็นธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง แต่ว่า "สิ่งที่มีจริงขณะนี้" อะไรบ้าง? ก็ตอบกันไป เป็นดอกไม้บ้าง โต๊ะบ้าง คนบ้าง แต่ว่าถ้าพูดถึงสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีสิ่งที่มีจริง คือ "เห็น" จึงมี "สิ่งที่กำลังปรากฏ" เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นดอกไม้ เป็นศาลา เป็นคน แต่ต้องมีการ "เห็น" ถ้าไม่มีการเห็น จะมีการ "นึก" ถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละอย่าง ได้ไหม? ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น แม้แต่การ "เห็น" เราเผินมาก ไม่มีใครจะรู้ความจริงว่า เห็นอะไร? ทุกคนตอบ ตามที่เคยเห็น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" แค่นี้!! มีความลึกซึ้งไหม? เห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" เมื่อกระทบตา ถ้าไม่มี "ตา" สิ่งนี้ก็ปรากฏว่ามีไม่ได้เลย คนตาบอดไม่รู้ว่าขณะนี้มี "สิ่งที่กำลังปรากฏ" อย่างนี้เลย แต่ว่า เมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กระทบตา ทำให้ "เห็น" เกิดขึ้น เห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"

"แต่ละคำ" ประมาทไม่ได้เลย หลับตา แล้วมีสิ่งที่ปรากฏเหมือนลืมตาไหม? ไม่เหมือน ชัดเจนอย่างนี้ ก็ไม่คิดว่า "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ต้องเป็น "เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา" ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แล้วก็ต้องเมื่อมีตา แล้วมีสิ่งนี้กระทบตา แล้วก็มีการเห็น เพราะฉะนั้น "เห็น" มานานเท่าไหร่? แต่ก็ยึดถือว่า "เห็นสิ่งต่างๆ " อยู่นั่นแหละ!! จนกว่ารู้ว่า เห็นเกิดขึ้นเห็น ต้องเกิด ไม่เกิด ไม่มีเห็น เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วดับ ไป นี่ไม่มีใครรู้เลย เพราะเหตุว่า ไม่ได้มีปัญญาพอที่จะรู้ แม้แต่ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ว่า เห็นเกิดขึ้นเห็น เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น!! เพราะฉะนั้น จะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เลย!! ขณะใดที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้น สิ่งที่เพียงปรากฏทางตา ต้องดับแล้ว แล้วก็มีการ "จำ" แล้วก็ "คิดนึก" ถึงสิ่งที่ปรากฏ ทำให้จำได้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

เพราะฉะนั้น ถามว่าเห็นอะไร? ตอบตามที่ "จำได้" ว่าเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่ "เห็น" นั่น "คิด" เห็นดับแล้ว แต่เพราะเห็น จึงสามารถที่จะนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เราจำไว้ว่าเป็นอะไร แล้วเราก็ตอบว่า เราเห็นสิ่งนั้น

บางคนฟังแล้วก็บอกว่าไม่เข้าใจ (หัวเราะ) ก็เป็นธรรมดา แต่ว่า "คำไหน" ที่ไม่เข้าใจ? คำไหนไม่เข้าใจ "เห็น" เกิด ถ้า "เห็น" ไม่เกิด ก็ไม่มีเห็น เห็นอะไร? เห็นสิ่งที่ เวลาหลับตา ไม่ปรากฏ แต่พอลืมตา ปรากฏ นั่นแหละ เห็นสิ่งนั้นแหละ!! ที่เมื่อลืมตาแล้วเห็น เป็น "สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้" แต่ว่า การคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ต้องเห็นก็คิดได้ เคยได้ยิน แม้ไม่ได้ยินอีก แต่ก็ "คิด" ถึง "คำ" ที่เคยได้ยินได้

เพราะฉะนั้น "ความจำ" เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่สามารถจะไปบังคับให้จำอะไร ทันทีที่เห็น "สิ่งที่ปรากฏ" จำสิ่งอื่น ได้ไหม? เห็นอะไรแล้วไปจำอีกสิ่งหนึ่ง ที่ไม่เห็นได้ไหม? ไม่ได้!! เห็นอะไรก็จำเฉพาะสิ่งที่เห็น จึงรู้ว่าเห็นอะไร นี่ก็เป็นการ "เริ่มต้น" ที่จะรู้ว่า ธรรมะมีอยู่ ทุกวัน ทุกขณะ แต่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง เลย นี่คือสัจจธรรมะ ความจริงซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่า ความเข้าใจนี้จะประจักษ์แจ้ง มั่นคง ก็เป็น อริยสัจจธรรม อย่างที่เราเคยได้ยินและเคยจำว่า อริยสัจจะ มี ๔ แต่ว่า ๔ เราก็รู้จักแต่ "ชื่อ" แต่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ ที่มีจริงๆ นี้แหละ เป็นธรรมะ และเป็นสัจจะ จริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็เป็นความจริงสำหรับผู้ที่ประจักษ์แจ้งแล้ว จึงเป็น "อริยสัจจธรรม"

คนที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง จะรู้เหมือนพระอริยะรู้ไม่ได้เลย!!! เพราะต้องเป็น "ปัญญา" ที่เริ่มเข้าใจธรรมะ จนกว่าจะค่อยๆ แยก รู้ สิ่งที่มีจริง เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ปะปนกันเลย เห็นกับคิด เกิดติดกัน ต่อกันทันที แต่ไม่ได้แยกให้รู้ว่า "เห็น" เป็นอย่างหนึ่ง และ "คิด" เป็นอย่างหนึ่ง ต่อกันสนิทจนกระทั่งเหมือนว่า เห็นอะไร

เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะเข้าใจถูก ในคำว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง และธรรมะทั้งหลายนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำภาษาบาลีว่า "อนัตตา" หมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ อนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อย่างที่เราเข้าใจว่า เป็นดอกบัว เป็นคน แต่ว่า สิ่งนั้นเพียงปรากฏแล้วดับ ลองคิดดู!! ใครจะรู้? ทุกอย่างเวลานี้ ซึ่งไม่ปรากฏการเกิดดับเลย แต่ความจริงของสิ่งนี้ก็คือว่า ทันทีที่เกิด ทำหน้าที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วก็ดับไปตลอดเวลา แสนสั้นและเร็วมาก!!

ขณะนี้ กี่นาทีแล้ว? มีผู้ตอบ กี่นาทีแล้ว? คะ? สิบหรือคะ? ถ้าน้อยกว่านั้นเป็นเท่าไหร่? เป็นเก้า แปด เจ็ด หก ห้า สั้นกว่าสิบแล้วใช่ไหม? สี่ สั้นกว่าห้า สาม สอง หนึ่งขณะ สภาพธรรมะเกิดดับเท่าไหร่ในหนึ่งขณะ? นับประมาณไม่ได้เลย!! เราถึงได้จำว่า ยังไม่มีอะไรดับไปเลย เพราะต่อกันสนิทแน่นมาก แต่ว่าตามความเป็นจริง ดับเร็วสุดที่จะประมาณ จึงไม่รู้ความจริง และ "ลวง" ให้ยึดถือ "สิ่งที่ดับแล้ว" แต่ยังเหมือนกับว่ามีเพราะ "จำได้" เพราะว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วดับไปแล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับไปแล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับไป เพราะว่า ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้

เพราะฉะนั้น ต้องมีธรรมะที่อาศัยกัน ปรุงแต่งจนกระทั่งเป็น "หนึ่งขณะจิต" เช่น "เห็น" อาศัยอะไรบ้าง? อาศัย "ตา" ถ้าไม่มีตา ไม่มีทางที่จะมีสิ่งที่กระทบตาเดี๋ยวนี้ แล้วทำให้ "ธาตุรู้" เกิดขึ้นเห็น ธาตุรู้คือเห็น รู้ว่ามีสิ่งนี้ กำลังรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือ "ธาตุรู้" เพราะว่ามีสิ่งนั้นให้รู้ว่ามี

เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องมีธาตุที่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ เฉพาะสิ่งนั้น ว่า "สิ่งนั้น" มีแน่ๆ !! ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่กำลังมีทุกขณะขณะนี้กำลังเกิดดับ ข้อสำคัญที่ไม่มีใครรู้ก็คือว่า ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย!! จริงหรือเปล่า? เมื่อวานนี้กลับมาเป็นวันนี้ได้ไหม? เมื่อกี้นี้กลับมาเป็นเดี๋ยวนี้ ได้ไหม? ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย!! แต่ว่า เพราะไม่รู้ก็หนึ่งนาทีแล้ว แต่ในหนึ่งนาที มีผู้รู้ คือ คุณจั๊บ (คุณสิบพัน) ต้องดูนาฬิกา ใช่ไหม? ถ้าไม่ดูนาฬิกาก็ตอบไม่ได้ ว่าหนึ่งนาทีหรือสองนาที

"เห็น" แล้วยัง "คิด" แล้วยัง "จำ" คำว่า "นาที" คำว่า "หนึ่ง" จึงสามารถที่พอเห็นก็ตอบได้ว่า "หนึ่งนาที" หรือ "สิบนาที" ห้านาที แปดนาที ทั้งหมดเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้!! ท่านอุปมาง่ายๆ เหมือนกับก้านธูปที่จุดดอกหนึ่ง แกว่งอย่างเร็วให้เป็นวงกลม เห็นอะไร? เห็นแสงไฟที่เป็นวงกลม จากหนึ่งที่ค่อยๆ เคลื่อนไป แต่เร็วมาก จนกระทั่งต่อกัน เหมือนไม่มีอะไรคั่นเลย ชีวิต ทั้งหมดกี่ชาติ สภาพธรรมะทั้งหมดเกิดดับ ก็เป็นอย่างนี้!!!

เพราะฉะนั้น กว่าจะมีการตรัสรู้ความจริง ที่จะรู้ความจริงว่า สภาพธรรมะทั้งหลาย ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน อย่างที่คิด แม้หนึ่งนาทีก็ยั่งยืน ใช่ไหม? เป็นหนึ่ง แต่ว่าความจริง แม้อย่างนั้น ก็ไม่มี!! ไม่มีสภาพธรรมะใดที่ยั่งยืนอย่างนั้นเลย เกิดแล้วดับ สืบต่ออยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างที่เคยจำ อย่างที่เคยคิด!!

แต่ "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" ก็ตาม ที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา!! เป็นพระพุทธพจน์ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเกิดจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้รู้ความจริงอย่างนี้เลย เพราะยังไม่ถึงการที่จะรู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทุกอย่างที่สะสมมา แต่ละชาติ แต่ละชาติ ก็สามารถจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ด้วยพระองค์เอง!!! ด้วยพระบารมีที่ได้สะสมมาแล้ว!!

เพราะฉะนั้น "ปารมี" ปารคือฝั่ง มี-ถึงฝั่ง ปารมี เพราะฉะนั้น จากฝั่งกิเลส ซึ่งไม่รู้อะไรเลย!! กว่าจะไปถึงฝั่งซึ่งรู้ แล้วไม่มีกิเลส ที่เคยจำผิดๆ ว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ไม่มี มีเมื่อเกิดขึ้น และที่จะเกิดได้ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เป็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่เป็นสิ่งอื่น อย่าง "เสียง" เกิดแล้ว เป็น "เสียง" จะให้เป็น "หวาน" จะให้เป็น "แข็ง" ก็ไม่ได้ เป็นแต่ละหนึ่ง แต่เรายังไม่รู้ว่า เหตุปัจจัยอะไรที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่รู้สิ่งนั้นแล้วจะไปรู้ "ปัจจัย" ที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้น ก็เป็นไปไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรม จึงต้องฟังตามลำดับ!!! ๔๕ ปี นานไหม? ทรงแสดงพระธรรมเรื่องอะไร? เรื่องนี้แหละ!! มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ!! และคนที่ได้สะสมความเข้าใจมาแล้วมาก เช่น พระโพธิสัตว์ แต่เป็นผู้ที่สะสมปัจจัยที่จะรู้ เพียงขั้น สาวกโพธิสัตว์ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถที่จะฟังแล้วเข้าใจ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง เช่น ท่านพระสารีบุตร ได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิ หลังจากที่ท่านได้ฟังแล้วไม่มาก ก็เป็นพระโสดาบัน ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน หมายความว่า ทุกคำที่เราได้ยิน ได้ประจักษ์กับท่าน เพราะมีจริง รู้จริง แต่ไม่ใช่เรา!! ต้องเป็น "ปัญญา" ความเข้าใจ เท่านั้น!!! ในขณะนั้น!! ที่สามารถจะรู้ความจริงอย่างนั้นได้

เพราะฉะนั้น "ปัญญา" ก็มีจริง แต่ "ไม่ใช่เรา" ทั้งหมดนี้ คำใดที่พระสัมมาสัพุทธเจ้าตรัสแล้ว คำนั้นเปลี่ยนไม่ได้ เพราะอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไม่ได้ แต่เพราะว่า ความจริงเป็นอย่างนั้น!! เมื่อความจริงของสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วใครจะเปลี่ยนความจริงของสิ่งนั้นได้ นี่ก็แสดงให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ดับกิเลสเพราะได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ด้วยพระองค์เอง "สัมมาสัมพุทธะ" เพราะฉะนั้น เราก็เป็น "สาวก" เข้าใจธรรมะเมื่อไหร่ เป็น "บารมี" เมื่อนั้น!! บารมีคือสามารถที่จะทำให้ความเข้าใจมากขึ้น!! เพิ่มขึ้น!! จนเหมือนพระสาวกทั้งหลายในอดีต ที่ท่านได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

เพราะฉะนั้น "แต่ละคำ" ที่เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งนี้ได้ ไม่สูญหายเลย!! กำลัง "สะสม" อยู่ในจิต!! เหมือนเราเกิดมาตอนเป็นเด็ก ก็ไม่รู้อะไรเลย แต่สะสมการเห็นสิ่งที่อยู่ล้อมรอบบ่อยๆ ความจำในแต่ละสิ่งที่รูปร่างสัณฐานต่างกัน พร้อมทั้งการได้ยินเสียง ก็ทำให้เราสามารถจำว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นอะไร แต่ยังพูดไม่ได้ แต่พอมีคำประกอบ จำเสียง แล้วแต่ว่าจะเป็นภาษาอะไร ลูกใคร เกิดที่ไหน ประเทศไหน ก็ได้ยินเสียงพ่อแม่ ชาวเมืองนั้นพูดอย่างนั้น จนกระทั่ง พูดตาม ได้ ตามความหมายของเสียงนั้น

เพราะฉะนั้น เสียงแต่ละเสียง เป็นไปตามความหมาย ภาษาไทยเราบอกว่า "เห็น" เด็กก็ได้ยิน ถ้าเป็นเด็กเกิดใหม่ ไม่รู้เรื่อง แต่ว่าหลังจากที่โตแล้ว รู้ภาษา ที่ใช้คำว่า รู้ภาษา ก็คือ สามารถที่จะรู้ว่าหมายความถึงอะไร "เสียง" มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่อ เปลี่ยน "ลักษณะของเสียง" ไม่ได้ ภาษาไหนจะเรียก "เสียง" ว่าอะไร ก็แล้วแต่ที่จะเข้าใจกันได้ ตามความหมายของเสียงนั้น

เพราะฉะนั้น นี่เป็นธรรมะ ซึ่งแม้ไม่เรียกชื่อก็มี แต่ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงแสดงพระธรรม ด้วยคำแต่ละคำ ใครจะเข้าใจ "ความจริงของสิ่งที่มี" ได้? ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง "แต่ละคำ" หมายความถึง "ลักษณะที่มีจริง" เมื่อฟังคำไหน ก็ต้องรู้ว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี!! อย่างพูดถึง "เสียง" เสียงก็มีจริง ทุกคนก็รู้ว่า กำลังพูดถึงเสียง พูดถึง "กลิ่น" ทุกคนก็รู้ว่า "กลิ่น" ไม่ใช่ "เสียง"

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ก็หมายความถึง การฟังเรื่องจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ว่าฟังคำอะไรก็ไม่รู้ แต่ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส "ส่องไปถึงสิ่งที่มีจริง" ทุกคำ ว่า "สิ่งนั้น" คือ อะไร? และทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น ๔๕ พรรษา กว่าจะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ใน "แต่ละคำ"

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๑๑๕

จักกวรรคที่ ๔

๑. จักกสูตร

(ว่าด้วยจักร ๔)

[๓๑] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ ประการนี้ เป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้วได้จักร ๔ ประการ เป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้ว ถึงความใหญ่ ความไพบูลย์ในโภคทรัพย์ทั้งหลายไม่นานเลย

จักร ๔ ประการ คืออะไร คือ ปฏิรูปเทสวาสะ (ความอยู่ในถิ่นที่เหมาะ) ๑ สัปปุริสูปัสสยะ (ความพึ่งพิงสัตบุรุษ) ๑ อัตตสัมมาปณิธิ (ความตั้งตนไว้ชอบ) ๑ ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีความดีอันได้ทำไว้ก่อน) ๑ นี้แลจักร ๔ ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้วได้จักร ๔ ประการ เป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้ว ถึงความใหญ่ ความไพบูลย์ในโภคทรัพย์ทั้งหลายไม่นานเลย

นรชนพึงอยู่ในถิ่นที่เหมาะ พึงทำอริยชนให้เป็นมิตร ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ มีความดีอันได้ทำไว้ก่อน ข้าวเปลือก ทรัพย์ ยศ เกียรติ และความสุข ย่อมพรั่งพรูมาสู่นรชนผู้นั้น.

จบจักกสูตรที่ ๑.

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา และคุณศิริพล เจียมวิจิตร
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมครั้งที่ผ่านมาทั้งหมด ได้ที่นี่ ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 28 พ.ค. 2560

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ที่มีต่อทุกๆ คนเสมอมา

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัยและทีมงานมศพ.
รวมทั้งคุณวันชัย ภู่งามที่ร้อยเรียงสาระธรรมที่ได้ยินได้ฟังพร้อมภาพประกอบที่สวยงามยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมฟังการสนทนาธรรมครั้งนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
napachant
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 28 พ.ค. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 30 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wirat.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
p.methanawingmai
วันที่ 8 มิ.ย. 2560

กราบอนุโมทนาในกุศลทั้งปวงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 15 มิ.ย. 2560

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chvj
วันที่ 31 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ปลากริม
วันที่ 31 พ.ค. 2561

ไปร่วมกิจกรรมฟังพระธรรมที่บ้านพี่ต๋อยพี่หน่อยครั้งนี้เป็นครั้งแรก กราบอนุโมทนาสหายธรรมทุกท่านด้วยความเคารพ กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ผู้มีอุปการคุณมาก ความเข้าใจธรรม มีพระธรรมเป็นที่พึ่งได้เพราะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pulit
วันที่ 31 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ