ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  31 พ.ค. 2560
หมายเลข  28883
อ่าน  3,192

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันอังคารที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากร อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ ได้รับเชิญจากคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง และครอบครัว เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพักในหมู่บ้าน เดอะซิตี้ รัตนาธิเบศร์ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.

คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง (คุณตู่) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๖๕๘ เจ้าของ ร้านแม่นงนุช (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ร้านมีชัย) ร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงและขนมหวานชื่อดัง ของอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่มีชื่อเสียงมานานกว่า ๗๕ ปีแล้ว ตั้งอยู่ที่อาคารพาณิชย์ตรงข้ามตลาด ฉัตรไชย แหล่งรวมของอร่อยนานาชนิดกลางเมืองหัวหิน ที่ใครๆ ที่มาเที่ยวหัวหินต่างรู้จักกันดี

คุณขจีรัตน์ เป็นผู้หญิงแกร่งและเก่งอีกท่านหนึ่งของมูลนิธิฯ เป็นผู้มากความสามารถที่นอกจากจะมีฝีมือในการทำขนมไทยๆ ที่แสนอร่อยเลื่องชื่อแล้ว ยังมีฝีมือในการทำอาหารคาวหวานนานาชนิดอีกด้วย ขนมเทียนของร้านแม่นงนุช เป็นหนึ่งในขนมชื่อดังของหัวหิน ใครๆ ที่มาเที่ยวหัวหินเป็นต้องแวะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปรับประทานและเป็นของฝากที่ถูกใจผู้รับ ทั้งยังเป็นหนึ่งใน ขนมที่ถูกสั่งเข้าไปตั้งเครื่องถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เวลาที่เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรม ณ พระราชวังไกลกังวลอีกด้วย

คุณตู่เป็นผู้มีกุศลศรัทธามากท่านหนึ่ง แต่ก่อนที่จะได้พบกับท่านอาจารย์ คุณตู่ก็เป็นผู้หนึ่งที่แสวงหาพระอาจารย์ต่างๆ เช่นเดียวกับผู้คนมากมายในสมัยนี้ ไม่ว่าจะมีใครบอกว่าท่านผู้ใดเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ คุณตู่ก็ดั้นด้นขับรถไปหา คุณตู่เล่าว่าเคยขับรถไปในหนทางไกลแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะได้ไปให้ทันใส่บาตรพระอรหันต์ ตามที่มีคนแนะนำ แต่ด้วยบุญที่ได้เคยสะสมไว้แต่ปางก่อน ทำให้คุณตู่ได้แสวงหาหนทางที่ถูกต้องนี้จนพบ และหลังจากที่ได้พบและฟังพระธรรมจากการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาระยะหนึ่ง ก็ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และวิทยากรไปสนทนาธรรมที่โรงแรมสายลม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาแล้วถึงสองครั้ง สำหรับท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๗-๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๘ - ๙ กันยายน ๒๕๕๘

เมื่อบุคคลเริ่มมีความเข้าใจธรรมะ เข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง ย่อมเป็นผู้ที่รู้ว่า ผู้ที่จะชื่อว่าพระอริยบุคคล หรือผู้ที่มีปัญญารู้ความจริงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สามารถแสดง "หนทาง" ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจความจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ให้คนอื่นได้เข้าใจตามได้ด้วย ไม่ใช่การกล่าวลอยๆ โดยการคาดเดาเอาตามความคิดนึก ว่าท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ เป็นพระอริยบุคคล แต่ผู้มีปัญญา ย่อมรู้ว่า ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้ ย่อมรู้หนทางและบอกกล่าว แสดงหนทางที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคลแต่ไม่สามารถบอกกล่าวแสดงหนทางแก่ผู้อื่นให้สามารถรู้ตามได้ แสดงว่า ท่านไม่รู้หนทาง แล้วจะเป็นพระอริยบุคคลได้ฉันใด?

ข้าพเจ้าเอง ก่อนที่จะได้พบท่านอาจารย์ ก็ติดตามฟังจากพระภิกษุที่มีชื่อเสียงหลายรูป บางท่านที่เขียนตำรา มีหนังสือเผยแพร่มากมาย ทั้งผู้ที่ได้รับการยกย่อง เป็นที่นับถือของผู้คนมากมาย แต่คำพูดและข้อเขียนของท่านเหล่านั้น มิได้นำไปสู่ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เลย เป็นแต่เรื่องราวของการทำความดีพื้นๆ โดยทั่วไป ซึ่งเป็นคำสอนธรรมดาที่ใครๆ ก็สอนได้ ไม่จำต้องพึ่งพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้จะมีการอ้างอิงคำ ยกคำในพระไตรปิฎกมาประกอบ ดูน่าเชื่อถือ แต่ก็หาได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจความจริงตามที่ได้ทรงใช้คำนั้นๆ เพื่อสื่อถึงตัวสภาวธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏอยู่จริงๆ ในขณะนี้ไม่ แสดงถึงความไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจ "หนทาง" จึงไม่สามารถบอกทางที่ถูกต้องให้ผู้อื่นได้ จึงมีคำในพระไตรปิฎกว่า "แถวของคนตาบอด" คือ คนตาบอดจูงคนตาบอด กล่าวคือ ผู้ไม่รู้จูงคนไม่รู้ นั่นเอง ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ผู้แสดงก็ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ ผู้ฟังก็ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ แต่คิดว่ารู้แล้วทั้งคู่ มีครั้งหนึ่ง ได้เคยฟังพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีผู้กล่าวว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ที่จำได้ไม่เคยลืมเพราะว่า ครั้งหนึ่งเคยเปิดวิทยุฟังการถ่ายทอดสดการแสดงธรรมของท่าน มีผู้โทรเข้ามาถามท่านผ่านลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่กราบเรียนสนทนากับท่านว่า นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจะให้ทำอย่างไรต่อไป เสียงท่านบอกออกไมโครโฟนมาทางสถานีวิทยุซึ่งกำลังถ่ายทอดสดอยู่ว่า "เออถูกแล้ว ... ไปทางนั้นแหละ ... " แล้วก็บอกอะไรต่อก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้ว่า ช่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย นี่ไม่ใช่หนทางเป็นแน่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า แล้วจะมีทางไหน หนทางจะเป็นอย่างไร และการจะรู้ธรรมะ จะมีหนทางที่พิสูจน์ได้ด้วยความมีเหตุผลอย่างไร จนกระทั่งได้พบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จึงถึงบางอ้อในที่สุด เพราะคำบรรยายด้วยเมตตาของท่านนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงคำ แต่ทว่า ท่านแสดงคำที่นำไปสู่การเข้าใจในสภาวธรรมที่กำลังมีอยู่จริงๆ ในขณะนี้ แม้เพียงในขั้นฟัง ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง แต่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น หาได้อยู่แต่ในตู้พระไตรปิฎกหรืออยู่ในหนังสือเล่มไหนๆ ไม่ แต่กำลังมีอยู่จริงๆ และกำลังปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ ในขณะนี้นี่เอง ซึ่งจะสามารถรู้ได้ ด้วยการฟังคำจริง วาจาสัจจะที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้เท่านั้น กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เมตตา พากเพียรแสดงคำจริงนั้นให้พวกเราได้เข้าใจด้วย เป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า ๖๐ ปีแล้ว

ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๓ แล้ว คุณตู่ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และวิทยากรฯ มาสนทนาที่บ้านของน้องสาวและลูกชาย ซึ่งเป็นบ้านสองหลังติดกันในหมู่บ้านเดอะซิตี้ รัตนาธิเบศร์ อยู่แถวแยกแคราย จังหวัดนนทบุรี เป็นหมู่บ้านที่ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ มีถนนกว้างขวาง สะอาด และสงบ เหมาะแก่การพักอาศัย ภายในบ้านมีการตบแต่งได้น่าอยู่มาก มีความโปร่งโล่งด้วยกระจกใสบานใหญ่ มองเห็นความเขียวขจีของต้นไม้ภายนอกได้ชัดเจนโดยรอบ ให้ความรู้สึกสดชื่นดีมากๆ ครับ

การสนทนาธรรมที่นี่ในครั้งนี้ เป็นที่น่าปีติ ปลาบปลื้มใจ ที่ได้เห็นภาพของหลายๆ ท่าน ที่ไม่เคยได้พบเห็นหน้ากันมาก่อน ซึ่งได้เดินทางมากราบท่านอาจารย์และร่วมฟังการสนทนาในคราวนี้ด้วย ทราบว่าปรกติได้ติดตามชมและฟังทางวิทยุ โทรทัศน์และทางเวปไซต์อยู่ที่บ้าน มีคุณผู้หญิงท่านหนึ่งร่วมสนทนาว่า แต่ก่อนนี้ชอบไปปฏิบัติธรรม บวชเนกขัมมะ ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งเคยฟังพุทธวจน ธรรมะจากพระโอษฐ์ มาก่อน เคยนั่งสมาธิมาหลายปี จนเข้าใจผิดว่าตนเองได้เป็นพระโสดาบันแล้ว แต่วันหนึ่งก็ได้มาเจอกับการบรรยายของท่านอาจารย์ ที่ฟังดูมีเหตุผล ที่ไม่ใช่เพียงเข้าใจคำอย่างที่เคยผ่านๆ มา แต่ "คำ" ที่ท่านอาจารย์บรรยาย นำไปสู่การเข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ให้เข้าใจได้ และรู้ว่า ความไม่รู้ทำให้ตนเองหลงผิด คิดไปถึงขนาดที่ว่าได้เป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อได้ฟังที่ท่านอาจารย์บรรยาย ก็เริ่มเข้าใจว่าต้องสะสมความรู้ ความเข้าใจในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ไปอีกนาน ไม่ใช่เพียงชาตินี้ชาติเดียวก็จะสามารถประจักษ์แจ้งธรรมะตรงตามที่ทรงแสดงไว้โดยรวดเร็วได้ แต่ความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการได้ฟังและเข้าใจธรรมะบ่อยๆ เนืองๆ นี้เอง จะสะสมอยู่ในจิตไม่หายไปไหน เมื่อได้ฟังอีกในชาติต่อๆ ไป ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้รู้ว่าคำไหนเป็นคำจริงจากการตรัสรู้ จึงสะสมการฟังและเข้าใจต่อไปอีก นี่คือปัญญาบารมี ซึ่งจะประกอบกับบารมีประการอื่นๆ อันจะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม สิ้นจากทุกข์ทั้งปวง ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ได้ในวันหนึ่ง แม้จะแสนไกลแต่ไม่เป็นผู้ที่หวั่นไหวเลย เพราะเหตุที่ได้รู้ถึงหนทางที่ถูกต้องตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้แล้ว นั่นเอง

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น มาบันทึกไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏ ที่บุคคลมีโอกาสได้พบและฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามหนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ผู้รู้ย่อมรู้ว่า การมีโอกาสใน ณ กาลครั้งหนึ่งๆ ที่สามารถได้ยินได้ฟังพระธรรมนั้น แสนยาก และแม้จะได้ฟังแล้ว ที่จะมีความเข้าใจจริงๆ โดยถูกต้องนั้นยากยิ่งกว่า จึงเป็นผู้ละเอียด ที่จะไม่เผินในทุกๆ คำที่ได้ยิน มีการฟังด้วยความใส่ใจ ด้วยความเคารพและเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ เพราะผู้ที่ตรงและละเอียดเท่านั้น จึงจะได้สาระจากพระธรรม

ท่านอาจารย์ ทุกคนก็ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" คงไม่มีใครที่ไม่ได้ยินคำว่าธรรมะ แต่ว่า รู้จักธรรมะหรือเปล่า? นี่เป็นสิ่งซึ่ง "น้อยคน" จะพิจารณา ได้ยินคำว่าธรรมะ ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมที่ทรงแสดงที่จะให้ถึงการดับกิเลส ก็เป็นพระธรรมรัตนะ และผู้ที่ได้ฟังธรรมะมีความเข้าใจและรู้แจ้งสภาพธรรมะตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็เป็นสังฆรัตนะ ซึ่งหมายความทั้งภิกษุและคฤหัสถ์ ไม่ได้หมายความแต่เฉพาะภิกษุเท่านั้น!! ใครก็ตามที่สามารถเข้าใจธรรมะ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งธรรมะ ก็เป็นพระสังฆรัตนะ เป็นบริษัทหรือเป็นหมู่ ส่วนของพระรัตนตรัย

แต่ว่าเราได้ยินคำว่า "ธรรมะ" ไม่ทราบว่ามีใครที่ "คิดจะรู้จักธรรมะ" บ้าง? ถ้าไม่เคยสะสมมาก่อนเลย ไม่มีทางเลยที่จะสนใจ ที่จะเข้าใจธรรมะ แต่ว่าธรรมะไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินกว่าที่จะเข้าใจ ธรรมะเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกขณะ ไม่มีสักอย่างที่ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะมีเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เลย!!! ทุกแห่ง ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นธรรมะ แต่ถ้าไม่มีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้? ว่านี่คือธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง!! เพราะฉะนั้น ก็อยู่ในโลก เป็นธรรมะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ!!

ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรม ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย!! ให้รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!! ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน!! และสิ่งนี้ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้โดย "คิดเอง" แต่ "ฟังคำ" ของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งมีความ "เข้าใจขึ้น" ยาก ... ที่บอกว่า..เดี๋ยวนี้..เป็นธรรมะ!! ธรรมะคือ สิ่งที่มีจริง อยู่กับธรรมะ มีแต่ธรรมะเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเลย แต่ก็ไม่รู้จักธรรมะ!! และการที่จะ "รู้แจ้ง" ธรรมะ ถึงการดับกิเลส ที่ไม่สงสัยอีกต่อไปในธรรมะที่มีขณะนี้ ก็สามารถที่จะเป็นไปได้ แต่ว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เพราะว่า ต้องเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่า การฟังธรรมะทั้งหมด ไม่ว่าวันไหน ขณะไหน นานเท่าไหร่ ก็ "เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้" รู้ยากไหม? กำลังมี เห็นไหม? มีก็ไม่รู้!!!

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงอวิชชา ความไม่รู้ มากมายมหาศาล ซึ่งผู้ที่ฟังธรรมะต้องยอมรับว่า ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จึงต้องฟัง ฟังแต่ละคำ ไม่ประมาทเลย เพราะเหตุว่า แต่ละคำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย

เดี๋ยวนี้มี "เห็น" ธรรมะ คือ "เห็น" มีจริงๆ เป็นธรรมะที่มีตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดมา เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวได้กลิ่น สลับกันไป แต่ก็ไม่รู้ความจริงว่า ธรรมะคืออะไร? เพราะฉะนั้น เป็นธรรมะ อยู่กับธรรมะ มีแต่ธรรมะ ก็ไม่รู้จักธรรมะ!!

ยากไหม? เดี๋ยวนี้กำลังเผชิญหน้ากับธรรมะ ก็ไม่รู้!! จึงต้องฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่าสิ่งที่ได้ฟัง พระผู้มีพระภาคฯไม่ได้ทรงแสดงให้ไปทำอะไรขึ้นมารู้ เพราะว่าไม่มี สิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น แล้วจะรู้ได้อย่างไร? แต่ว่า "สิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้" ต่างหาก!! ซึ่งใครไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้ความจริง ของ "สิ่งที่มี" โดยประการทั้งปวง โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยไม่เหลือเลย ที่พระองค์จะไม่รู้สิ่งที่มีจริง เป็นไปไม่ได้เลย และที่ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญา มากกว่าที่ได้ทรงแสดง เพราะที่ทรงแสดง ก็เพียงแค่เปรียบเสมือนใบไม้สองสามใบในกำมือ และปัญญาของพระองค์เท่ากับใบไม้ในป่า เทียบไม่ได้!!

ทำไมถึงกล่าวอย่างนี้ให้ได้ฟังก่อน? เพื่อให้เห็นความห่างไกลกันมาก ของผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมะ และ เริ่มจะได้ยินได้ฟังธรรมะ บางคนบอกฟังไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ แต่จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร? เป็นภาษาไทย และทุกคำก็ธรรมดา ใช่ไหม? พูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ที่ไม่รู้เรื่องเพราะว่า ไม่เคยคิด ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยคิดว่าจะลึกซึ้งอย่างนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งต้อง "ฟัง" นานเท่าไหร่? กว่าจะเข้าใจได้!!

นี่ก็แสดงให้เห็นความเป็นจริงว่า เราเป็นใคร? ปัญญาแค่นี้ แล้วจะไปรู้ทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้อง "ฟังทีละคำ" ด้วยความอดทน ด้วยความตรง และ จริงใจ ว่า เข้าใจคำนี้ถูกต้องแค่ไหน? ถ้ายังไม่เข้าใจก็ฟังต่อไป จนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น ขณะนั้นจึงรู้ว่าเข้าใจ ถ้าความเข้าใจยังไม่เกิด ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจอะไร แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏ จะมีใครบอกได้ไหม? ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะเข้าใจอะไร? แค่นี้!! ภาษาไทยธรรมดา ไม่เข้าใจได้อย่างไร?

ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วไม่เข้าใจอะไร? หรือ เข้าใจอะไร? ในสิ่งที่กำลังปรากฏ!! ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่พูดถึงสิ่งที่มี!! มีดอกกุหลาบ ไม่เข้าใจดอกกุหลาบไหม? เห็นไหม? ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฟังธรรมะเลย ก็จะคิดว่า เขาก็รู้จักดอกกุหลาบ แล้วทำไมบอกว่า เขาไม่เข้าใจความจริง?

ตรงไหนเป็นดอกกุหลาบ? ตรงไหนเป็นนาฬิกา? ตรงไหนเป็นโต๊ะ? คะ? เห็นไหม? ถ้าเป็นคำถามที่ให้คิด จะตอบได้ไหม? ว่าไม่เข้าใจดอกกุหลาบ หรือว่า เห็นดอกกุหลาบ แต่ไม่รู้จักดอกกุหลาบ? และไม่เข้าใจ แล้วตรงไหน ที่เป็นดอกกุหลาบ? มีเก้าอี้ เห็นเก้าอี้ ตรงไหนเป็นเก้าอี้? มีโต๊ะ ตรงไหนเป็นโต๊ะ? เห็นไหม? ตอบได้ไหม? มี แล้วอย่างไร? ตรงไหนเป็นโต๊ะ? บอกว่ามีโต๊ะ แต่ "ตรงไหน" เป็นโต๊ะ? มีดอกไม้ ตรงไหนเป็นดอกไม้?

นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ฟังธรรมะ ตอบไม่ได้!! ใช่ไหม? ไม่รู้ความจริงเลยว่า ตรงไหนเป็นดอกไม้ ต้องหลายๆ กลีบมารวมกัน แล้วก็มีสีสันวรรณะต่างๆ ก็เข้าใว่านั่นคือดอกไม้ แต่ไม่รู้แต่ละกลีบที่รวมกัน และแต่ละสีที่กำลังปรากฏ ว่าคืออะไร?

ด้วยเหตุนี้ คนจึงบอกว่าฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเคยรู้อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของสิ่งที่มี ที่รวมๆ กัน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งส่วนที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ถ้าไม่มีแต่ละอย่างมารวมกัน จะมีนาฬิกาไม่ได้ ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่ง จะรวมกันเป็นดอกไม้ไม่ได้ เพราะว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ ชนิดซึ่ง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เราเห็นว่ารวมกัน สามารถที่จะแตกย่อยให้ละเอียดยิบได้ และเมื่อแตกย่อยละเอียดแล้ว สิ่งนั้นเป็นอะไร? จะเป็นดอกกุหลาบ จะเป็นนาฬิกา จะเป็นโต๊ะ จะเป็นเก้าอี้ ไม่ได้เลย!!

ฉันใด "ตัวเรา" เข้าใจว่าเป็นเรา เข้าใจว่าเป็นของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แตกย่อยให้ละเอียดยิบได้ไหม? ย่อมได้ เพราะว่าทุกอย่างที่เราเห็นรวมๆ กันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเป็นสิ่งของ ก็จะต้องมีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ เมื่อแยกออกแล้วเป็นแต่ละหนึ่ง อะไรเป็นเรา? ยังไม่ต้องถึงละเอียดมาก "ตา" เป็นเราหรือเปล่า? "หู" เป็นเราหรือเปล่า? แยกออกมาเป็นแต่ละส่วน และแต่ละส่วนยังแยกออกละเอียดยิ่ง แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น จึงเริ่มเห็นว่า ถ้าไม่มีพระโพธิสัตว์ที่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทำไมเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ เช่น "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" ไม่ใช่ "คิด" ไม่ใช่ "จำ" ไม่ใช่ "รัก" ไม่ใช่ "สุข" ไม่ใช่ "ทุกข์" ตลอดเวลา สลับกัน แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า เมื่อไหร่ที่ "แต่ละหนึ่ง" เปลี่ยนหรือหมดไป แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้น ติดต่อ สืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น จึงปรากฏเสมือนว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เคยคิดอย่างนี้ไหม? ไม่เคยเลยตั้งแต่เกิด ก็อยู่ในโลกของความไม่รู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่พระโพธิสัตว์ กว่าจะได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนาน กว่าจะรู้ว่า "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" และเห็นหายไปเมื่อไหร่? และมีได้ยินเกิดขึ้นเมื่อไหร่? และได้ยินก็ไม่ใช่จำ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ละเอียดมาก สามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม? เพราะมีจริง!!!

ด้วยการสะสมมาที่จะเข้าใจถูกต้อง!! ว่าสิ่งที่มีจริงนี้แหละ สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างที่ได้เคยคิด เคยสงสัยว่า เห็นเกิดแล้ว ก็มีได้ยิน มีคิดนึก สืบต่อไปเร็วมาก แล้วขณะไหน ตรงไหน ที่แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นแทน

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงแสดงความจริง และได้ตรัสว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ธรรมะทั้งหลาย ธรรมะทั้งหมด ไม่เหลือเลย เป็นอนัตตา ตรงกันข้ามกับอัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดอกกุหลาบ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งหมด จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่อย่างที่เป็น แต่ว่าธรรมะแต่ละหนึ่งด้วย ไม่ใช่รวมกันเป็นดอกกุหลาบ เป็นโต๊ะ แต่ธรรมะแต่ละหนึ่ง ธรรมะทั้งหลาย ธรรมะทั้งหมดทั้งปวง ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้เปลี่ยนแปลง และไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งสิ้น!!!

นี่คือสิ่งที่ไม่รู้มาตลอดในสังสารวัฏ นานแสนนาน จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็เริ่มเข้าใจว่า ธรรมะคืออะไร? เพราะเราชินหู แต่เราไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงเลยว่า ธรรมะก็คือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน และถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีอะไรปรากฏ โลกก็ไม่มี ธรรมะก็ไม่มี แต่ว่า ไม่เป็นอย่างนั้นเลย มีสิ่งที่เต็มโลก มาจากไหน? ก็ต้องมีสิ่งที่เกิดมาทั้งนั้น เต็มโลก ถ้าไม่เกิดจะมีได้อย่างไร?

แต่ว่า สิ่งที่ชาวโลกไม่รู้ก็คือว่า สิ่งนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วปรากฏว่ามีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี แต่แสนสั้น ชั่วคราว คือ เกิดแล้วดับไป นี่เป็นสิ่งซึ่งชาวโลกไม่รู้!! แต่ให้เข้าใจในเบื้องต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่ใช่ดอกกุหลาบ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ อีกต่อไป!!! สิ่งที่เคยรวมกัน พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ความจริง อย่างละเอียดยิ่งแต่ละหนึ่งที่มีจริงโดยประการทั้งปวง

เช่นเราเรียกว่าดอกกุหลาบ เราเรียกว่านาฬิกา แต่ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็น จะมีการคิด การจำ ไหม? ว่าสิ่งนั้นคืออะไร? ไม่มีทางเลย!! เพราะว่าเป็นแต่ละหนึ่ง เพียงแค่หลับตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่เหลือเลย เห็นไหม? นี่คือความจริง ใครจะปฏิเสธ?

เพราะฉะนั้น ลืมตา เห็นอะไร? ชาวโลกไม่รู้ ลืมตา เห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็จำไว้มั่นคงว่า เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละสิ่ง แต่ละสิ่ง แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้ความจริงว่า ที่รวมกันเป็นหนึ่ง ความจริงมีธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ที่ละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก ซึ่งเกิดดับรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นานแสนนาน ได้ยินคำว่า ธรรมะ แต่ถ้าเผิน ก็ไม่รู้จัก ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยในสากลจักรวาล ทั้งมนุษย์โลก พรหมโลก เทวโลก เพราะพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ความจริง

เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟัง ส่องถึงปัญญาของพระองค์ทั้งสิ้น!! ซึ่งจะทำให้คนที่ได้ฟัง เกิดปัญญา เห็นไหม? เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ตั้งแต่เริ่มได้ฟังแต่ละคำ ทีละคำ เพราะฉะนั้น ใน ๔๕ พรรษา ทรงแสดงพระธรรม มีคนที่ได้ตรัสรู้ เป็นสาวก อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ แต่ว่า ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าความรู้นั้นเกิดจากการได้ฟังคำ จึงรู้ว่า พระองค์เป็นพระบรมศาสดา ถ้าไม่ตรัส "คำหนึ่งคำใด" ให้ใครได้ยินได้ฟังเลย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย

ด้วยเหตุนี้ ฟังธรรมะด้วยความเคารพ คือ รู้ว่าไม่รู้ความจริง และแต่ละคำ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ต้องเริ่มจากคำแรก คือ ธรรมะ เพราะได้ยินบ่อยๆ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แต่ว่า ไม่เคยรู้ว่า ความจริงที่มี ละเอียดอย่างไร? แต่ว่า ต่อไปนี้ ไม่ประมาทเลย แต่ละคำ เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง เริ่มเข้าใจคำนี้ จนถึงที่สุด ทุกคำ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ ซึ่งก่อนนั้นไม่เคยรู้อย่างนี้เลย เป็นดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบ เป็นทุกอย่าง แต่พอเริ่มฟังธรรมะ เริ่มเข้าใจความจริงแต่ละหนึ่ง และแม้ในขณะที่กำลังเห็น เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ความรู้ความเข้าใจเกิดแล้ว ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร!!!

เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยการฟัง เบื่อได้ไหม? ฟังสิ่งที่มีจริงแล้วเบื่อ แล้วจะให้ฟังอะไร? ฟังเรื่องอื่นทั้งหมด บทละคร หนัง โทรทัศน์ อะไรทุกอย่าง หนังสือพิมพ์ ไปรู้เรื่องอย่างนั้นไม่เบื่อ แต่ว่าสิ่งที่มีจริง ที่มีโอกาสที่จะได้รู้ว่า ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ อย่างไร? กลับเบื่อ ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีวันที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คำแต่ละคำ เริ่มฟังก็เริ่มยาก แต่ว่า มีความอดทน ที่จะรู้ว่า จริงหรือเปล่า?

แต่ละคำที่ได้ฟัง มีจริงๆ เป็นคำจริง แสดงความจริงของคำนั้นหรือเปล่า? ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็อดทนที่ เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีจริง มีค่าที่สุด!!! เพราะเหตุว่า เป็นจริงตลอดชีวิต แต่ไม่เคยรู้!! เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่ประมาทเลย ถ้าสงสัยอะไรก็สนทนา จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟัง มั่นคง เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งหมด แต่ไม่เคยรู้!!!

เพราะฉะนั้น รู้เมื่อไหร่ จะไม่พ้นจาก "รู้ธรรมะ" ต้องเป็นธรรมะ ทั้งหมด!!! เห็นไหม? จากการไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรมะ กว่าจะรู้จักธรรมะ กว่าจะเข้าใจธรรมะ กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมะถึงที่สุด ก็ต้องอาศัยกาลเวลา แต่เป็นกาลเวลาที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏ!!! เพราะเหตุว่า ไม่มีใครยับยั้งการเกิดขึ้นของธรรมะ ได้เลย เมื่อวานนี้หมดไปก็มีวันนี้ แล้วก็มีพรุ่งนี้ แล้วก็มีต่อๆ ไป ใครจะหยุด ผ่านมาแล้วนานแสนนาน เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดก็ต้องเกิด!!!

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครไปหยุดยั้งธรรมะได้เลย ต้องเป็นอย่างนี้ต่อไป ด้วยความไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่มีการ "เริ่มรู้" ในชาติที่สามารถที่มีโอกาสที่จะสะสมความรู้ความเข้าใจได้!!!

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ หน้า ๑๗๒ - ๑๗๔

๙. วิปัลลาสสูตร

(ว่าด้วยวิปลาสในธรรม ๔ ประการ)

[๔๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส (ความสำคัญคลาดเคลื่อน) จิตวิปลาส (คิด คลาดเคลื่อน) ทิฏฐิวิปลาส (เห็นคลาดเคลื่อน) มี ๔ ประการนี้ ๔ ประการคืออะไรบ้าง? คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา ๑ ในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม ๑ นี้แล สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ๔ ประการ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ๔ นี้ ๔ คืออะไรบ้าง? คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ว่าไม่เที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยง ... ว่าทุกข์ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ... ว่าเป็นอนัตตาในสิ่งที่เป็นอนัตตา ... ว่าไม่งามในสิ่งที่ไม่งาม นี้แล สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ๔ ประการ.

พระคาถา

สัตว์เหล่าใด สำคัญว่าเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยง สำคัญว่าสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์ สำคัญว่าเป็นอัตตาในสิ่งที่เป็นอนัตตา และสำคัญว่างามในสิ่งที่ไม่งาม ถูกความเป็นผิดชักนำไปแล้ว ความคิดซัดส่ายไป มีความสำคัญ (คิดเห็น) วิปลาส สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า ถูกเครื่องผูกของมารผูกไว้แล้ว เป็นคนไม่เกษมจากโยคะ ย่อมเวียนเกิดเวียนตายไป.

เมื่อใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประดุจดวงอาทิตย์ บังเกิดขึ้นในโลก ทรงประกาศธรรมอันนี้ซึ่งเป็นทางให้ถึงความสงบทุกข์ เมื่อนั้น สัตว์เหล่านั้น ผู้ที่มีปัญญา ได้ฟังธรรมของท่านแล้วจึงกลับได้คิดเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่งาม ตามความเป็นจริง เพราะมาถือเอาทางความเห็นชอบ ก็ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวงได้.

จบวิปัลลาสสูตรที่ ๙.

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณขจีรัตน์ แก้วทานังและครอบครัว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมคลิปและบันทึกการถ่ายทอดสดการสนทนาธรรมย้อนหลังได้ที่นี่ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 2 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
p.methanawingmai
วันที่ 2 มิ.ย. 2560

กราบบูชาคุณพระรัตนตรัย กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ อาจารย์วิทยากร และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 3 มิ.ย. 2560

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณขจีรัตน์ แก้วทานังและครอบครัว

อนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 3 มิ.ย. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 4 มิ.ย. 2560

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wirat.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2560

ได้มีโอกาสได้รับชม รับฟัง การสนทนาธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งาม และทีมงานทุกๆ ท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ