ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๗-๙ มิถุนายน ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  16 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27892
อ่าน  2,526

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๗-๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง เพื่อไปพักผ่อนเป็นการส่วนตัว ณ โรงแรมสายลม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

คุณขจีรัตน์ (คุณตู่) เคยกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมอย่างเป็นทางการที่โรงแรมสายลมแห่งนี้แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๘-๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านที่สนใจสามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาในครั้งนั้น ได้ที่นี่...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๘ - ๙ กันยายน ๒๕๕๘

ครั้งนี้ ทราบว่าที่คุณตู่มีกุศลศรัทธา กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาพักผ่อนที่โรงแรมสายลมแห่งนี้ โดยปรารถนาที่จะให้ท่านอาจารย์ได้พักผ่อนสบายๆ ตามอัธยาศัย ไม่ถูกกำหนดจากกำหนดการของการสนทนาที่เป็นทางการ ดังเช่นผู้ที่เชิญท่านไปสนทนาธรรมตามปกติ ซึ่งท่านได้ปฏิบัติกิจหน้าที่เช่นนั้นมาต่อเนื่องยาวนานจนถึงบัดนี้กว่า ๖๐ ปีแล้ว แต่เป็นการมาพักผ่อนแบบสบายๆ ซึ่งทุกท่านทราบแล้วว่า มีการสนทนาธรรมแน่ๆ ไม่ว่าท่านอาจารย์จะอยู่ ณ สถานที่ใด เพียงให้เป็นไปตามอัธยาศัยที่สบายๆ สำหรับทุกคน เท่านั้น

เมื่อวันก่อน ข้าพเจ้ามีโอกาสไปในงานสวดพระอภิธรรมพ่อของเพื่อนสมัยที่เรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยกัน ได้พบกับเพื่อนที่เคยเป็นรูมเมท (เพื่อนร่วมห้องพักที่หอพัก) ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาปริญญาโทอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวกับข้าพเจ้าอย่างชื่นชมว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านวิชาการทางพระพุทธศาสนา เป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการเผยแพร่พระพุทธศาสนามาอย่างยาวนานทั้งในและต่างประเทศ ทั้งยังเคยเป็นศิษย์เก่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย ทราบถึงประวัติการศึกษาธรรมและการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก เมื่อได้ฟังก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนพูดเหมือน "รู้จัก" ท่านอาจารย์เป็นอย่างดี

แต่ใครเลยจะรู้ว่า เฉพาะผู้ที่ได้ฟังพระธรรม "คำจริง-วาจาสัจจะ" ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว "เข้าใจ" เท่านั้น จึงจะรู้จักท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้จริงๆ หาไม่แล้ว ย่อมไม่เป็นผู้ที่รู้จักท่านอาจารย์เลย แม้ว่าจะมีโอกาสอยู่รับใช้ใกล้ชิดท่านสักปานใดก็ตาม ในที่สุดของการสนทนา เพื่อนผู้นี้ได้ฝากมากราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์รับประทานอะไร จึงดูมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเกินวัย และมีอายุยืนยาว แทนที่จะถามเรื่องธรรมะตามที่ข้าพเจ้าแอบคาดหวังอยู่ในใจ เมื่อได้กราบเรียนท่านอาจารย์ที่มูลนิธิฯในวันอาทิตย์ก่อน ท่านอาจารย์ตอบว่า "รับประทานข้าวปลาอาหารค่ะ" พร้อมทั้งเมตตากล่าวในที่สนทนาในวันนั้นว่า เป็นเรื่องปรกติ ที่คนหนึ่งก็สนใจเรื่องสุขภาพ อีกคนหนึ่งก็สนใจในธรรมะ

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็คิดถึงกำลังของการสะสมของธรรมะทั้งหลายในแต่ละบุคคล เช่น บุคคลที่มีความสะสมมาในการคำนวณ ก็สามารถคิดเลขได้รวดเร็ว อย่างเหลือเชื่อ เด็กบางคนมีความสามารถเล่นเปียโนเก่งมากตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ สารพัดที่อะไรๆ ก็ดูเหลือเชื่อ มีให้เห็นจนเป็นเรื่องปกติ ฉันใด ความสะสมที่บุคคลเคยมีมา ในการที่เคยได้ฟังและเข้าใจธรรมในอดีตอนันตชาติ ย่อมมีกำลังที่ต่างๆ กันไปในแต่ละบุคคล ก็ฉันนั้น

ทรงกล่าวถึงปุพเพกตปุญญตา บุญที่เคยได้กระทำไว้แต่ปางก่อนของบุคคล ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคลนั้น ได้พบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ตรงตามที่ตรัสรู้ในแต่ละชาติที่มีโอกาสได้เกิดภพภูมิ ที่สามารถจะฟังและเข้าใจธรรมะได้ อันจะเป็นเหตุให้ได้สะสมความรู้ ความเข้าใจนั้น ต่อๆ ไปอีก จนกว่าจะมีกำลังเพิ่มขึ้น มากขึ้น จนสามารถที่จะถึงอภิสมัย ขณะที่ยิ่งใหญ่ สมัยที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังสารวัฏ ที่จะสามารถรู้ความจริงในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ตรงตามที่ทรงแสดงไว้ทุกประการ

สิ่งที่สามารถยืนยันถึงข้อความที่ทรงแสดงนี้ มีบ่อยๆ เมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวของทุกๆ ท่าน ก่อนที่จะได้มาพบและได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากท่านอาจารย์ เรื่องราวของคุณตู่ (คุณขจีรัตน์) ก็เช่นเดียวกัน คุณตู่เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนนี้ก็เป็นผู้ที่เที่ยวเดินทางไปเสาะแสวงหาพระภิกษุที่มีชื่อเสียงตามที่ต่างๆ (ซึ่งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าไปหาอะไรกันแน่? จนกว่าจะได้ฟังคำที่ทำให้ได้เข้าใจ) และเมื่อไปพบแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้คุณตู่มีความเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น มีแต่เรื่องราวที่บุคคลใกล้ชิดกล่าวว่าท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ เป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นต้น แต่ความเป็นพระอรหันต์ที่ท่านกล่าวอ้างนั้น ก็หามีคำสอนใดๆ ที่สามารถแสดงถึง "หนทางที่ถูกต้อง" ที่ทำให้บุคคลอื่น ได้รู้ตามหนทางที่ว่านั้นได้ เป็นแต่เพียงความคิดเอาเอง ความคาดเดาเอาเอง ว่าท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ บรรลุธรรม เป็นพระอริยะ โดยการสังเกตุเพียงอาการภายนอก ว่ามีความสำรวม มีกิริยาอาการที่น่าเลื่อมใส เพียงเท่านั้นเองจริงๆ

จนกระทั่งคุณตู่ได้พบกับ คำจริง วาจาสัจจะ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยบุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน ความเข้าใจจากการที่ได้เคยฟังคำจริง วาจาสัจจะ ที่สะสมมา จึงทำให้คุณตู่ รู้ได้ด้วยตน ("ตน" คือ ปัญญา ความเข้าใจที่เคยสะสมมาแล้วในอดีตนั่นเอง หาใช่คุณตู่ไม่ เพราะโดยปรมัตถธรรม ไม่มีคุณตู่ มีเพียงจิตและเจตสิก ที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย เท่านั้น) ชาตินี้ของคุณตู่จึงไม่สูญเปล่าแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ได้มีโอกาสสะสมเสบียงที่มีค่าที่สุดในสากลจักรวาล คือ ความเข้าใจพระธรรมและกุศลทุกประการ เพื่อถึงอภิสมัย สมัยที่ประเสริฐที่สุดของการรู้และประจักษ์แจ้งความจริง ตรงตามที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ในวันหนึ่ง กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณตู่ มา ณ ที่นี้ นะครับ

อนึ่ง ใคร่ขออนุญาตบันทึกไว้อีกเรื่องหนึ่ง คือว่า ในการเดินทางมาพักผ่อนและสนทนาธรรมเป็นการส่วนตัวในครั้งนี้ของท่านอาจารย์ มีคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่น่ารักคู่หนึ่งจากอเมริกา คือ คุณดำรงค์ ปฏิพัทธ์รงรอง (คุณต๋อง) และ คุณนพวรรณ เปาริบุตร (คุณตุ่ม) ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับอเมริกา ในวันเสาร์ ที่ ๑๑ มิถุนายน ที่ผ่านมา ก่อนเดินทางกลับ ทั้งสองท่านได้ไปฟังธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันอาทิตย์ ที่ ๕ มิถุนายน แล้วได้พบกับคุณม้อ (คุณปราณี) ซึ่งได้สนทนาด้วย และทราบว่าทั้งคู่ ฟังท่านอาจารย์มานานแล้ว เพิ่งเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน และตั้งใจมาฟังท่านอาจารย์ที่มูลนิธิฯ ก่อนที่จะเดินทางกลับอเมริกา คุณม้อจึงพาไปกราบท่านอาจารย์

เมื่อท่านอาจารย์ทราบก็แสดงความยินดีและอนุโมทนากับทั้งสองท่าน ทั้งยังเมตตาเชิญให้มาพักผ่อนและร่วมสนทนาธรรมเป็นกรณีพิเศษที่หัวหินในครั้งนี้ด้วย นี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่แสดงถึงบุญที่เคยได้กระทำไว้แต่ปางก่อนของบุคคล ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะได้มีวันนี้ การได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปพักผ่อนและสนทนาธรรมของทั้งสองท่านในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่พิเศษที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ รู้สึกดีใจและอนุโมทนากับทั้งสองท่านจริงๆ ครับ

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนในครั้งนี้ มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา เพื่อประโยชน์เช่นเคย ยอมรับว่า การสนทนาธรรมด้วยความเป็นส่วนตัวโดยความเมตตาจากท่านอาจารย์ในคราวนี้ ด้วยเรื่องราวที่สนทนาและความจริงใจและเปิดเผยของผู้ร่วมสนทนา ทำให้กำลังของความสะสมในใจของข้าพเจ้าลุกโพลงขึ้น เป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้สึกเหมือนเข้าสู่สมรภูมิรบ (กับกิเลส ด้วยความเป็นตัวตน ฮาาาาาา) มีกำลังที่จะลุกไปคว้าไมค์ร่วมวงสนทนาอย่างยาวนานต่อหน้าท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก (ปรกติ ชอบที่จะฟังอย่างเดียว ไม่ชอบร่วมสนทนา แสดงความเห็น เพราะกลัวท่านอาจารย์ถามแล้วตอบไม่ได้ ด้วยเหตุที่รักตัว กลัวเสียหน้า ฮาาาาา)

และเป็นครั้งแรกในชีวิตของการได้ร่วมฟังการสนทนาธรรม ที่เห็นผู้ร่วมสนทนาแย่งกันคว้าไมโครโฟน เพื่อร่วมสนทนาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นการสนทนาที่หลากหลาย และเป็นประโยชน์มากๆ น่าประทับใจครั้งหนึ่งจริงๆ ครับ ซึ่งหากท่านสนใจ สามารถคลิกฟังการสนทนาธรรมแบบเต็มๆ ได้จากลิงค์นี้นะครับ...On-Air เสียงธรรมจากหัวหิน รับรองว่าท่านจะนั่งไม่ติดพื้นเป็นแน่ (ฮาาา)

ท่านอาจารย์ "ขณะที่เข้าใจ" ไม่ใช่เราเลย "สภาพที่เข้าใจถูก" ตรงนั้นแหละ ที่ "ละอกุศล" เพราะฉะนั้น เราก็สามารถที่จะ "รู้สึกตัว" เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่า เราเข้าใจธรรมะแค่ไหน และโลภะมีเท่าไหร่ ก็คิดดูก็แล้วกัน เราแค่นี้!!! โลภะเท่าไหร่!!! แล้วจะดับโลภะ ไม่มีหนทางเลย!!!! นอกจากไม่คิดที่จะดับโลภะ เพราะไม่รู้ว่า โลภะขณะนี้กำลังมีแล้ว!!!!

แต่ว่า เพราะรู้ว่าขณะนี้ ติดมาทั้งหมดเลย ต้องไปคิดดับโลภะหรือ? หรือว่า เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ก็ "ฟัง" ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ธรรมดาที่สุด!!! แต่ปกปิดไว้ ด้วยความต้องการ!!! เพราะว่าโลภะทั้งวัน!!!

คุณขจีรัตน์ เรียนท่านอาจารย์ค่ะ ลักษณะของจิตเขาเกิดดับเร็วมาก แล้วเราก็มาคิดว่าเป็นตัวเรา คือ จริงๆ แล้วก็มีแต่สภาพธรรม เช่น อกุศลก็ไม่สบาย ถ้ากุศลก็จะผ่องใส แต่หนูไม่ได้หมายความว่าหนูรู้ตรงนั้น คือ ขณะนี้เป็นจิรกาลภาวนา ฟังธรรมะ ตั้งจิตไว้ชอบ ก็คือ ฟังไปเรื่อยๆ ไม่มีตัวเรา ขณะที่เราคิดว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ก็คือเป็นอัตตา แล้วความเข้าใจอย่างนี้ หนูเข้าใจว่า ที่หนูเรียนกับท่านอาจารย์ว่า หนูวนเวียนอยู่กับ "แข็ง" กับอะไรอย่างนี้ แล้วหนูกลับมา หนูก็ไตร่ตรอง รู้สึกเบาสบายขึ้นค่ะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ "เรา"
คุณขจีรัตน์ คือ เข้าใจว่าเป็นเราแน่นอน เพราะว่า เรายังไม่สามารถที่จะ...
ท่านอาจารย์ "เป็นเรา" ไปจนกว่าจะเข้าใจขึ้น!!! ความเข้าใจนั้น ก็ละความเป็นเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะว่า ความเป็นเราเต็มมาก!!! ทุกวัน!!! นานแสนนานมาแล้วด้วย!! เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คือ "เป็นปกติ" แล้วก็ "ฟังธรรมะ" แล้วก็ "เข้าใจขึ้น"

คุณขจีรัตน์ ความเป็นเรา มีอยู่ตลอดเวลา จนกว่า ฟังไปเรื่อยๆ คือ ไม่ทราบว่าวันไหน สภาพธรรมะเขาก็สะสมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกังวล

ท่านอาจารย์ เพราะว่า ตามธรรมดา ก็คือว่า เป็นธรรมะทั้งหมด แต่ทีนี้ ประโยคนี้ คำนี้ ที่ได้ฟัง มันไม่ลึกพอ เพราะว่า เราสะสมความไม่รู้และความเป็นเรา จะบอกว่า เป็นธรรมะก็แสนยาก เพราะ ความจริงคือเป็นธรรมะอย่างนั้นจริงๆ แต่ต้องฟัง เพื่อละความไม่รู้ แล้วเบาสบายตอนไหน รู้ตอนนั้นแหละ ไม่ใช่ไปรู้ตอนอื่น ไม่ใช่เรากลับมา มีความสุข เราสบาย เราเข้าใจขึ้น เพราะถูกลวงด้วยโลภะอยู่ตลอดเวลา

คุณขจีรัตน์ จากที่โลภะเขากลุ้มรุมอยู่ตลอดเลย ถ้าไม่ได้สนทนากับท่านอาจารย์ หนูก็คงจะติดตรงนี้ไปอีกนาน

ท่านอาจารย์ ค่ะ วันนี้ ใครถูกโลภะนำไปบ้าง? ใช่ไหม? ทุกคน โลภะนำไปหาน้ำมะพร้าว เห็นไหม? โลภะนำไปหาส้มโอ โลภะนำไปทุกหนทุกแห่ง โดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ เป็นเรื่องที่ "เริ่ม" เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "เริ่มรู้จัก" ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นปัญญาที่หาใครเปรียบไม่ได้เลย เพราะว่า สภาพธรรมะ ยากที่จะรู้ได้ พูดอย่างนี้ ทุกอย่าง เป็นธรรมะทั้งหมด พูดอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้อย่างนี้

เพียง "ฟังไว้ ฟังไว้" เริ่มไตร่ตรองว่า เป็นธรรมะ มีลักษณะของสภาพธรรมะ แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ถ้าไม่ได้เป็นแต่ละหนึ่ง จะไม่มีวันที่จะเข้าใจ เพราะว่ายังเป็นโต๊ะ ยังเป็นเก้าอี้ ยังเป็นคน แล้ว "ตา" เป็นคนหรือ? "เห็น" เป็นคนหรือ? "ได้ยิน" เป็นคนหรือ? "คิด" เป็นคนหรือ? อย่างนี้ ถึงจะแยกออกมาได้ว่า ไม่ใช่มีอะไรที่รวมกันเป็นหนึ่ง อย่างที่เราเคยเข้าใจ แต่ว่า ต้องแยกออกเป็นทีละหนึ่ง พอแยกออกเป็นทีละหนึ่ง ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ชั่วคราว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปทำอะไร ยากตอนนี้!!! ทำไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีด้วย!!! เพราะฉะนั้น ต้อง "เป็นคนที่ตรง" แล้วก็ "จริงใจ" แล้วก็ "เป็นปกติ" ปกติฟังธรรมะ ฟัง-เข้าใจ ฟัง-เข้าใจ ฟัง-เข้าใจ เป็นหนทางเดียว ไม่มีทางอื่น!!!

คุณดำรงค์ (คุณต๋อง) แสดงว่า ที่ต้องการดับโลภะ คือโลภะอีกเหมือนกัน ใช่ไหมครับ? จนกว่าเราจะฟังเข้าใจถูก สะสมถูกต้อง แล้วจะไม่มีคำว่าดับโลภะอีก

ท่านอาจารย์ เข้าใจโลภะ ขณะที่เข้าใจ โลภะไม่ใช่เรา!! ขณะที่เข้าใจ!! เพราะฉะนั้น เริ่มที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย เมื่อเข้าใจขึ้น เท่านั้น เฉพาะตอนที่เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย

แล้ววันหนึ่งๆ อกุศลมากเท่าไหร่? แล้วความเข้าใจมีเท่าไหร่? เพราะฉะนั้น จึงเป็นการยากอย่างยิ่ง ที่จะดับโลภะ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า เป็นตัวเราไปดับ ด้วยความไม่รู้ หรือว่า ด้วยความต้องการ แต่ต้องด้วยความเข้าใจ เพราะว่า "เข้าใจ" สภาพธรรมที่เข้าใจ ซึ่งเป็น "ปัญญา" ทำหน้าที่ของปัญญา ทำหน้าที่ "รู้ความจริง" รู้ถูกต้อง แล้วก็ละคลายความติดข้อง ไม่มีใครอีกที่จะไปดับโลภะ เพราะฉะนั้น จึงต้องฟัง สาวก คือ ผู้ฟัง ฟังแล้วก็ต้อง "ตรง" ตามที่ได้ฟังด้วย

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจธรรมะจริงๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย จะนำไปสู่การรู้ว่า มีแต่ธรรมะ เพราะว่า เหตุการณ์ทุกอย่างเราก็คิดไปต่างๆ นานา ว่าเราจะทำอย่างนี้ไหม? เราจะไม่ทำอย่างนี้ แต่ว่า ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และ ฟังแล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทุกอย่าง นำไปสู่การที่จะรู้ว่า เป็นธรรมะ ตัวธรรมะที่กำลังปรากฏ เพราะว่า ยังอีกไกล ใช่ไหม?

มีแต่ว่า ฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่ว่าเรื่องราวต่างๆ นี้ ดูตัวตนออกมาเยอะกว่า ไช่ไหม? วงศาคณาญาติ เราอย่างนั้น อย่างนี้ อะไรต่างๆ แต่ว่า เราก็ไม่ได้ขาดการฟัง ไม่ขาดการที่จะรู้ประโยชน์ว่า ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะไม่มี "คำ" ของใครอีกแล้ว ในโลกนี้หรือกี่โลก ที่จะให้เกิดปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้น ก็ "ฟัง" แล้วชีวิตจะดำเนินไป อะไรจะเกิดขึ้น ขณะนั้น เป็นเราทั้งตัว เพราะว่า ไม่สามารถที่จะมีปัญญา พอที่จะ "ถึง" ความเข้าใจในขณะนั้นว่าเป็นธรรมะ

แต่จากการที่ฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ต่างคนก็ต่างมีสังขารขันธ์ปรุงแต่ง นำไปสู่การที่จะรู้ว่า ค่อยๆ เข้าใจขึ้น บางทีก็..เราดีนะ ตอนนี้เราจะต้องรู้ว่า กำลังโกรธร้อยเปอร์เซนต์ อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ก็ยังเป็น "สิ่งที่ไม่ชัดเจน" ว่าเป็นธรรมะ เพราะเหตุว่า เพียงแค่ฟังมา

เพราะฉะนั้น การที่เราเข้าใจขึ้น ในทุกกรณี ไม่ใช่เราไปนั่งแอบอยู่ในห้อง บำเพ็ญภาวนา ก้าวซ้ายอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีอย่างนี้ ได้หรือ? เพราะฉะนั้น ยิ่งเห็นความเป็นธรรมะเท่าไหร่ ก็นำไปสู่การที่จะ "ถึงเฉพาะ" ลักษณะของธรรมะ ซึ่งเรารู้ไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ต้องรู้สิ่งหนึ่ง สิ่งใด

แต่สิ่งนั้นยังไม่เกิด เพราะอะไร? เพราะขณะนี้เกิดหรือเปล่า? ถ้าขณะนี้ไม่เกิด แต่ ความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้น ก็เป็นอนัตตา รอไม่ได้ เลือกไม่ได้ หวังไม่ได้ จะไม่มีทางที่เป็นอนัตตาเลย แต่เมื่อมีความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น โดย "ไม่คำนึงถึง" เลย เราจะรู้ได้เลยว่า กิเลสยังอยู่มากน้อยแค่ไหน?

เพราะฉะนั้น เป็นบุคคล ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน คนอื่นจะมารู้ไม่ได้เลย และความลึกซึ้งของธรรมะ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะ ไม่มีทางที่จะรู้หนทาง ที่จะทำให้เห็นธรรมะว่าเป็นธรรมะ

(ขอเชิญคลิกชมคลิปวีดีโอจำนวน ๗ คลิป ที่นี่...)

https://www.youtube.com/playlist?list=PL02913_IYQtzLkeZeyLvhOjOxsJs0YA0A

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 297
[แก้บท ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ]

บทว่า ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ความว่า อันวิญญูชนทั้งหลายมีอุคฆติตัญญูบุคคลเป็นต้นทั้งปวง พึงรู้ว่า " มรรคเราเจริญแล้ว ผลเราบรรลุแล้ว นิโรธเราทำให้แจ้งแล้ว " เพราะว่ากิเลสทั้งหลายของสัทธิวิหาริก จะละด้วยมรรคที่พระอุปัชฌายะเจริญหาได้ไม่ เธอจะอยู่เป็นผาสุกด้วยผลสมาบัติของท่านก็ไม่ได้จะทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานที่ท่านทำให้แจ้งก็ไม่ได้ เพราะเหตุนั้นจึงมีคำอธิบายว่า โลกุตตรธรรมนั่น บุคคลไม่พึงเห็นดังเช่นเครื่องประดับที่ศีรษะของคนอื่น (ซึ่งจะฉวยเอามาประดับที่ศีรษะของตัวเองได้) แต่พึงเห็นว่าธรรมอันวิญญูชนทั้งหลายจะพึงเสวยอยู่ในจิตของตัวเองเท่านั้น แท้จริง โลกุตตรธรรมนั้น ไม่เป็นวิสัยของพวกคนโง่เลยทีเดียว

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 17 มิ.ย. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 17 มิ.ย. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาขอบคุณ คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง คุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 17 มิ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
กมลพร
วันที่ 17 มิ.ย. 2559

จะฟังพระธรรม สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย จนถึงกาลนั้น " อภิสมัย "

อนุโมทนาและขอบคุณยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 17 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 17 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 18 มิ.ย. 2559

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
apiwit
วันที่ 18 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 19 มิ.ย. 2559

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าขจีรัตน์ แก้วทานัง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Boonyavee
วันที่ 20 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pulit
วันที่ 21 มิ.ย. 2559

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 22 มิ.ย. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wirat.k
วันที่ 25 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ