ควรเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่กำลังคิดนึก


    ผู้ฟัง ทางกาย เวลาเราพิจารณา เราพิจารณาว่า อย่างสมมติว่าแข็งปรากฏ แข็งปรากฏตรงกราม ซึ่งมันก็ไม่ได้กระทบอะไร มันปรากฏแข็ง แต่ว่ามันไม่มีสิ่งกระทบ

    ท่านอาจารย์ เริ่มตั้งแต่ว่าเราพิจารณา ขณะนั้นก็คือคิด เพราะฉะนั้นทางที่จะรู้อารมณ์ มี ๖ ทาง ต้องรู้ว่าทางไหน เห็น-ทางตา ได้ยิน-ทางหู ได้กลิ่น-ทางจมูก รสกำลังปรากฏ-ลิ้มรส กายกำลังกระทบสัมผัสทางกาย ใจกำลังคิดนึก ขณะนี้ก็ปนกัน ทั้งๆ ที่เราก็เรียนเรื่องของการรู้อารมณ์ที่ปรากฏทีละทาง เริ่มตั้งแต่คิด

    ทีนี้ก็มาถึง แข็งปรากฏที่กราม ห้ามความคิดไม่ได้ ว่ามีกราม เพราะว่าขณะนั้นไม่ได้รู้ตรงแข็ง แต่ถึงแม้ว่าจะมีแข็งปรากฏ ก็ยังไม่ได้ทิ้ง การคิดว่าเป็นกราม ซึ่งเกิดสืบต่อ นี่แสดงให้เห็นว่า แต่ละลักษณะเกิดสืบต่อเร็วมาก แม้ว่าเราจะเรียนอย่างละเอียดว่าเป็นทางทวารไหนก็ตาม แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ ก็คือว่า ขณะนั้นไม่ใช่คิด เรื่องสภาพธรรมเป็นชื่อก็จริง แต่ก็จะมีความรู้สึกว่า มีกรามอยู่ตรงนั้น แล้วก็มีแข็ง ถ้าไม่มีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว ลักษณะที่แข็งปรากฏไม่ได้เลย ที่โต๊ะ ไม่มีกายปสาท จะให้โต๊ะรู้สึกแข็งที่มากระทบโต๊ะก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นที่ใดก็ตาม ที่จะมีแข็งปรากฏ หมายความว่าขณะนั้นต้องมีกายปสาทรูป ซึ่งเป็นรูปที่สามารถที่จะกระทบกับแข็ง หรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ขณะที่คุณสุกัญญานั่งอยู่ที่นี่ ทราบไหมว่ามีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว

    ผู้ฟัง ทราบด้วยการศึกษา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังนั่ง จะรู้ลักษณะของกายปสาทที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัวได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าการศึกษา คิดว่าได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาพูดถึงศึกษา คิดแล้ว ใช่ไหม แต่ไม่ใช่ว่าขณะนี้มีสภาพที่ปรากฏ อย่างเห็น กับสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียง กายปสาทก็ไม่ได้ปรากฏอย่างเสียง ไม่ได้ปรากฏอย่างสีสันวัณณะ ไม่ได้ปรากฏอย่างรส เพราะเหตุว่า ต้องเป็นขณะที่เป็นสติสัมปชัญญะ ที่สามารถจะรู้กายปสาททางใจ นี่ก็แสดงให้เห็นความละเอียด ดูเหมือนสิ่งต่างๆ นี่ก็ธรรมดา ก็ง่ายๆ แต่ความจริงต้องเข้าใจจริงๆ แล้วก็ตรงลักษณะนั้น จึงสามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่คุณสุกัญญาบอกว่า รู้สึกแข็ง ตรงกราม มีการคิดนึกแทรกคั่น ว่ามีกราม แต่ถ้าเป็นการรู้ลักษณะแข็ง คุณสุกัญญาก็บอกว่าไม่เห็นมีกายปสาท ก็จะมีกายปสาทปรากฏได้อย่างไร ใช่ไหม เพราะว่ากายปสาทเป็นรูปที่ไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่โผฏฐัพพะ ไม่ใช่แข็ง แต่ว่าจะมีการรู้ลักษณะของกายปสาทได้ เฉพาะทางใจ และสำหรับใคร

    ข้อสำคัญที่สุดก็คือ สิ่งใดกำลังปรากฏ ควรรู้ควรเข้าใจเพิ่มขึ้น ในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่เป็นการคิดนึก ซึ่งไม่ใช่การรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะคิดนึกว่ามีกราม ก็ให้รู้ว่าขณะนั้น ไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะที่แข็ง ขณะที่คิดถึงกายปสาท ขณะนั้นก็ไปคิดเรื่องกายปสาท ไม่ใช่เป็นการรู้ตรงแข็ง
    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เคยมี เช่นกราม หรือว่ากายปสาท จะมีไม่ได้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นมีแต่เพียงแข็งปรากฏ ตัวคุณสุกัญญาทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ที่เคยเป็นเรา และกรามของเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากสิ่งที่มีลักษณะที่ปรากฏ แล้วก็หมดไป แต่ต้องเป็นปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ เพราะว่าขณะนี้เป็นแต่เพียงความคิด เรื่องกราม แล้วก็ปสาท กายปสาทอยู่ที่ไหน หรือบางคนอาจจะคิดว่า ไหนผัสสะ ไม่เห็นมีผัสสะเลย ก็เป็นเรื่องของความคิดนึก แต่ว่าปัญญาจะอบรมรู้ลักษณะเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ ทีละอย่าง

    ผู้ฟัง อย่างนั้นแสดงว่าถ้าสภาพแข็งปรากฏ ก็คือสภาพแข็งอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ กำลังรู้ตรงแข็งนั่นคือสติสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง แต่ว่าสภาพผัสสะก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ นี่คิดแล้วไงคะ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ได้มีเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม จะมีการคิดนึกด้วยความเป็นเราที่คิด จนกว่าแม้คิดขณะนั้น ก็เป็นสภาพที่คิดไม่ใช่สภาพที่แข็ง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 140


    หมายเลข 9474
    26 ม.ค. 2567