มหาเวทัลลสูตร
ข้อความในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาเวทัลสูตร
ณ พระวิหารเชตวัน ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะได้ไปหาท่านพระสารีบุตรและสนทนาธรรมกัน ซึ่งข้อความในมหาเวทัลสูตรมีว่า
ท่านพระมหาโกฏฐิกะได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ ๕ ประการคือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน และธรรมอะไรรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์เหล่านั้น
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าท่านผู้ฟังจะศึกษาข้อความตอนใดในพระไตรปิฎกนี้ จะไม่พ้นจากสภาพนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าในสมัยไหนทั้งสิ้น ในอดีตกาลล่วงเลยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกี่โกฏิกัปปี หรือว่าในขณะนี้ หรือต่อไปในอนาคตกาล ก็จะมีเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นทางให้อารมณ์ต่าง ๆ ปรากฏ เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการที่จะรู้สัจธรรม คือ ความจริงของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะต้องสอบถาม แล้วก็สนทนาธรรมกันในเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง
แม้ท่านพระมหาโกฏฐิกะก็ได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน
คือ หมายความว่า มีอารมณ์ต่างกัน บางครั้งจะใช้คำว่า “วิสยะ” หรือวิสัย บางครั้งก็จะใช้คำว่า “โคจระ” หรือโคจร หมายความถึงอารมณ์ของจักขุนทรีย์ อารมณ์ของโสตินทรีย์เป็นต้น มีโคจรต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน
คือตาไม่มีทางที่จะได้ยิน หูก็ไม่มีทางที่จะเห็น จมูกก็ไม่มีทางที่จะรับกระทบโผฏฐัพพะ เพราะว่าสิ่งเดียวซึ่งจะกระทบกับจักขุปสาท เป็นวิสัยของจักขุปสาท เป็นโคจรของจักขุปสาทได้ คือสีสันวรรณะต่าง ๆ ที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นอินทรีย์ทั้ง ๕ นี้ จึงมีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน
คำถามต่อไปมีว่า
เมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ธรรมอะไรรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์เหล่านั้น
เพราะฉะนั้นก็เป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน ที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ที่สงสัยกันนักหนาว่า เวลาเจริญสติปัฏฐานแล้วทางใจรู้อารมณ์อะไร ก็ไม่พ้นจากอารมณ์ที่รู้ต่อจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนั่นเอง