อธิปติปัจจัยกับความเป็นจริงของปรมัตถธรรม
ไม่ใช่โดยการเพ่งจ้อง อยากจะให้ประจักษ์การเกิด – ดับ โดยที่ไม่ได้ตรึกระลึกถึงสภาพความเป็นจริงของปรมัตถธรรม
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกุศล ท่านมีฉันทะที่จะทำกุศลประเภทใดในชีวิตประจำวันของท่าน ท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่บำเพ็ญกุศลและเจริญกุศล และขอให้ดูการบำเพ็ญกุศลของการเจริญกุศล ของแต่ละท่านว่า ท่านมีฉันทะความพอใจที่จะกระทำกุศลอย่างไร แม้แต่ในเรื่องของทาน ก็มีฉันทะต่าง ๆ กัน และบางครั้งก็ต้องเป็นวิริยะจึงจะทำสำเร็จ มีฉันทะจริง แต่ฉันทะนั้นไม่มีกำลังพอที่จะทำให้สำเร็จ ต้องอาศัยวิริยะเกิดขึ้นเป็นหัวหน้า เป็นอธิปติ การกระทำกุศลนั้นจึงจะสำเร็จได้
เพราะฉะนั้นถ้าสติระลึกในขณะนั้นจะเห็นลักษณะที่เป็นอธิปติของกุศลจิตในขณะนั้นว่า อะไรเป็นอธิปติปัจจัย นี่เป็นฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศลก็เช่นเดียวกันพอที่จะระลึกได้ต่อไปนี้ว่า ท่านมีฉันทะขณะใด หรือว่าอาศัยวิริยะขณะใด
เวลาที่ทำธุรกิจการงานซึ่งทุกคนมีอาชีพประจำอยู่ มีกิจการงานที่จะต้องกระทำอยู่ ขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล นี่ต้องรู้ก่อนใช่ไหม ถ้าขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะนั้นมีฉันทะเป็นอธิบดี หรือว่ามีวิริยะเป็นอธิบดี
สำหรับการงานอาชีพซึ่งไม่ได้เป็นไปในเรื่องของกุศล ไม่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล ไม่เป็นไปในสมถภาวนา ไม่เป็นไปในการเจริญสติปัฏฐาน จะไม่มีปัญญาเป็นอธิบดีแน่นอน เพราะเหตุว่าปัญญาไม่เกิดกับอกุศลจิต หรือแม้กุศลซึ่งเป็นญาณวิปปยุตต์ คือที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็จะมีเพียงฉันทะหรือวิริยะเป็นอธิบดี แต่จะไม่มีวิมังสะคือปัญญาเป็นอธิบดี
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องละเอียดในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ซึ่งจะได้เห็นความเป็นปัจจัยแม้เพียงชั่วขณะจิตที่เกิด ก็จะได้รู้ว่า ขณะนั้นประกอบด้วยเจตสิกอะไร เป็นปัจจัยอะไร เช่น โลภะ เป็นเห-ตุปัจจัย ไม่เป็นอธิปติปัจจัย ฉันทะเป็นอธิบดี หรือเป็นอธิปติปัจจัย แต่ไม่ใช่เห-ตุปัจจัย ผัสสะไม่ใช่เห-ตุปัจจัย ไม่ใช่อธิปติปัจจัย แต่เป็นอาหารปัจจัย ทั้ง ๆ ที่เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกันและดับไปอย่างรวดเร็ว แต่เจตสิกแต่ละเจตสิกก็เป็นปัจจัยเฉพาะตามลักษณะของตน ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาจริง ๆ
มีข้อสงสัยอะไรอีกบ้างไหมในเรื่องสหชาตาธิปติปัจจัย