ผัสสะ กับ อธิปติปัจจัย


    เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาว่า ผัสสเจตสิกเป็นอธิปติปัจจัยได้ไหม ถ้าโดยสหชาตาธิปติ   ได้แก่ ฉันทะ  วิริยะ จิตตะ วิมังสะ ผัสสะเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยไม่ได้ เพราะเหตุว่า   เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วกระทบกับอารมณ์ แล้วดับ ไม่ใช่ ฉันทะ  ไม่ใช่วิริยะ  ไม่ใช่จิตตะ   ไม่ใช่วิมังสะ   แต่ว่าสำหรับ  “อารัมมณาธิปติปัจจัย”   ผัสสเจตสิก  จะเป็นอารัมมณธิปติปัจจัยได้ไหม ?   ชีวิตประจำวัน   ไม่ใช่สัตว์   ไม่ใช่บุคคล   ในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเป็นไป   ถ้าได้ทราบสภาพธรรมที่เป็นปัจจัย ยิ่งเห็นความไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล   ไม่ใช่ตัวตน   แล้วแต่ว่าสภาพธรรมนั้น ๆ   จะเป็นปัจจัยโดยประการใด เป็นได้ไหมคะ ?

    ผัสสเจตสิกจะเป็นอารัมมณธิปติปัจจัยได้ไหม  ท่านผู้ฟังปรารถนาอะไร ?   โลภะมีความต้องการบางอย่างหนักแน่นมาก ไม่ลืมที่จะแสวงหาสิ่งนั้น ไม่ลืมที่จะพยายามหาสิ่งนั้น ในขณะนั้นสิ่งนั้นเป็นอารัมมณธิปติปัจจัย  เป็นอกุศลได้ไหม สิ่งที่ท่านต้องการ   ท่านผู้ฟังอยากมีโลภะมาก ๆ ไหม หรือว่าไม่อยากจะมีโลภะเสียแล้ว ไม่อยากจะลิ้มรสอาหารอร่อย ๆ พิเศษเสียแล้ว หรือว่าอาหารบางชนิดช่างอร่อยเสียจริง ๆ ไม่ได้รับประทานหลายวันแล้ว  วันนี้จะต้องพยายามรับประทานให้เกิดความยินดีพอใจในรสนั้นที่เป็นความยินดี   พอใจอย่างมากในวันนี้  ต้องการความยินดีพอใจขั้นนั้นไหม จากรส จากรูป จากกลิ่น   จากเสียง ต้องการไหม ?   ต้องการ  ในขณะนั้นต้องการผัสสะที่จะกระทบกับอารมณ์นั้น ๆ ไหม ?  อยากจะให้ผัสสะกระทบกับอารมณ์อะไร ?  ทางตา ก็คงจะมีรูปพิเศษที่อยากจะให้ผัสสะกระทบอารมณ์นั้น ทางหู ก็อาจจะมีเพลงบางเพลงซึ่งพอใจเป็นพิเศษ  ซึ่งอยากจะให้ผัสสะกระทบกับเพลงนั้น ทางจมูก ก็อาจจะมีน้ำหอมหลายชนิด ซึ่งอยากจะให้ผัสสะกระทบกับกลิ่นที่น่าพอใจเป็นพิเศษ ทางลิ้น   ก็อาจจะมีรสอาหาร  ซึ่งอยากจะให้ผัสสะกระทบกับรสนั้นเป็นพิเศษ   ทางกาย   โดยนัยเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นต้องการให้ผัสสะเกิดขึ้นกระทบกับอารมณ์ที่ปรารถนาอย่างหนักแน่นขณะใด ขณะนั้นผัสสะเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของจิต  ซึ่งกำลังปรารถนาที่จะให้ผัสสะกระทบกับอารมณ์นั้นในขณะนั้น   ชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง 

    เพราะฉะนั้นสังสารวัฏฏ์ไม่มีวันที่จะสิ้นสุดได้ ถ้าไม่สามารถที่จะเห็นว่า แม้ขณะที่กำลังมีความยินดีต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างมากอย่างหนักแน่น  ก็เป็นเพราะเหตุว่าขณะนั้นอารมณ์นั้นเป็นอารัมมณาธิปติ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงอารัมมณปัจจัยเท่านั้น  แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นการศึกษาเรื่องปัจจัย  ท่านผู้ฟังจะเห็นว่า  เป็นเรื่องที่ละเอียด  เป็นคัมภีร์สุดท้ายของพระอภิธรรม  แต่ไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะถึงเวลานั้น  แต่ถ้าสามารถที่จะเข้าใจสิ่งใดได้ในชีวิตประจำวัน  แล้วเริ่มที่จะเข้าใจลักษณะสภาพของปัจจัยต่าง ๆ  ก็จะทำให้คุ้นเคยกับสภาพของปัจจัย ๒๔   แล้วก็ทำให้สามารถที่จะรู้ในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์   ไม่ใช่บุคคล   ไม่ใช่ตัวตนได้

    เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็คงจะเข้าใจว่า  ขณะไหนเป็นอารัมมณปัจจัย และขณะไหนเกิดเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยขึ้น ก็ทราบว่าขณะนั้นสิ่งนั้นหรือสภาพนั้นกำลังเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของจิตในขณะนั้น แล้วก็ดับไป ไม่สามารถที่จะเป็นอารัมมณธิปติปัจจัยอยู่ได้ตลอดไป   เพราะเหตุว่าจิตอื่นก็มีปัจจัยเกิดขึ้น


    หมายเลข 2573
    29 ส.ค. 2558