วิบากจิต - วิถีจิต
ผู้ฟัง ขอความเข้าใจเพิ่มเติม ที่บอกว่าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นวิบากจิต ในขณะที่เป็นวิบากจิต เป็นวิถีจิตหรือยัง
ท่านอาจารย์ เป็นวิถีจิตแล้ว ต้องทราบอย่างมั่นคงว่า มีจิตอยู่ ๓ ขณะ ที่ไม่ใช่วิถีจิต คือขณะปฏิสนธิ ขณะแรกที่เกิด แล้วก็ขณะที่ทำภวังคกิจ หรือเป็นภวังค์ หมายความถึงขณะที่ไม่รู้อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และขณะจุติ ๓ ขณะเท่านั้น นอกจากนั้นเป็นวิถีจิตทั้งหมด ไม่ว่าจะได้ยินชื่อจิตประเภทไหนทั้งหมด โลกุตรจิต หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ไม่ใช่ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ต้องเป็นวิถีจิตทั้งหมด
ขอเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มาใหม่ ที่ใช้คำว่าวิถีจิต เพราะเหตุว่าเป็นจิตที่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์ เพราะว่าขณะปฏิสนธิ จิตไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย ไม่มีการเห็นการได้ยินโลกนี้ ขณะที่เป็นภวังค์ คือขณะที่หลับสนิท โลกนี้ก็ไม่ได้ปรากฎ สี เสียง กลิ่น รส อะไรก็ไม่ได้ปรากฎ แม้คิดนึกก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่เป็นโลกนี้ ก็จะต้องอาศัยตาเห็นขณะนี้ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นวิถีจิตเพราะอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้น และวิถีจิตจะไม่เกิดเพียงวิถีเดียว จะมีวิถีจิตหลายประเภท ที่เกิดดับสืบต่อ รู้อารมณ์เดียวกัน จนกว่าจะหมดสิ้นการรู้อารมณ์นั้น ก็เป็นภวังค์ต่อไป หลังจากนั้นก็เป็นวิถีจิต สลับกับภวังค์เรื่อยๆ
ผู้ฟัง แต่ก่อนจะเป็นวิถีจิตตัวอื่น จะมีภวังค์คั่นทุกครั้งหรือไม่
ท่านอาจารย์ แน่นอน และที่คุณเด่นพงษ์ถามนี้ ต้องหมายความถึงวาระหนึ่ง เพราะว่าวิถีจิตจะไม่เกิดเพียงหนึ่งขณะ จะต้องมีวิถีจิตที่เกิดสืบต่อหลายขณะ รู้อารมณ์เดียวกัน วาระหนึ่งหมดแล้ว ภวังคกิจถึงจะคั่นได้
ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดว่า ครั้งแรกที่เราได้ยิน ได้กลิ่น ได้เห็น ฯ เป็นวิบากจิตก่อน อยากทราบการสืบต่อของจิต จนไปถึงชวนจิต ที่เป็น กุศล อกุศล
ท่านอาจารย์ การพูดถึงธรรม เราจะพูดอย่างย่อมากๆ ก็ได้ หรืออย่างละเอียดขึ้นนิดหน่อยก็ได้ หรืออย่างละเอียดเป็นแต่ละขณะจิตก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าโดยนัยของพระสูตร ทรงแสดงว่าเมื่อเห็นแล้ว ก็จะมีความพอใจ ไม่พอใจ ในสิ่งที่เห็น ขณะนี้เราพิจารณาว่าอย่างย่อ คือขณะนี้ หลังเห็นแล้ว เราก็จะมีความพอใจ ติดข้องในสิ่งที่เห็น หรือไม่พอใจ หรือเป็นกุศลก็ได้ นี่คืออย่างย่อ
แต่ถ้าอย่างละเอียดขึ้น เราจะพูดว่าขณะเห็นเป็นวิบาก คือเป็นผลของกรรม ทำให้ต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ กรรมทำให้กายปสาท จักขุปสาท โสตปสาท ซึ่งเป็นรูปสามารถกระทบกับอารมณ์เฉพาะทางนั้น เพราะฉะนั้นผลของกรรม ก็คือว่าไม่ใช่เพียงเกิดแล้วก็เป็นภวังค์ โลกนี้ไม่ได้ปรากฎ อะไรก็ไม่ปรากฏ ไม่พอ แต่ก็ยังมีวาระที่กรรมจะให้ผล ทำให้เกิดเห็นขึ้น เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นต้องทราบว่า ไม่ว่าจะเห็นอะไร ที่ไหน ขณะไหน เป็นใครก็ตามแต่ เป็นนก เป็นแมว เป็นอะไรก็ตามแต่ เราไม่พูดถึงรูปร่างเลย พูดถึงเฉพาะจิตที่เห็น เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม นี่คืออย่างย่อ แต่เมื่อเห็นแล้ว วิบากแล้ว ก็เป็นกุศล และกุศล ซึ่งไม่ใช่วิบาก เริ่มเป็นเหตุใหม่ กรรมใหม่ ที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า นี่คือกว้างออกไปอีกนิดนึง
แต่ถ้าจะให้ละเอียดกว่านั้น คือเวลาที่ปฏิสนธิจิตดับ ภวังคจิตเกิดสืบต่อ เห็นอะไรหรือไม่ ให้ทราบว่าหลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับแล้ว ต้องเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติ เพื่อวิบากจิตจะเกิด แต่ตอนที่วิบากจิตจะเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กำลังเป็นภวังค์อยู่ ไม่มีทางที่วิบากจิตจะเกิดทันทีได้ ต้องมีปสาทรูป ซึ่งกรรมทำให้ปสาทรูปนั้นเกิดดับทุกอนุขณะของจิต ใครก็บังคับไม่ได้
