โมหมูลจิต - โลภมูลจิต กับ ชีวิตประจำวัน


    อ.กุลวิไล มีคำถามจากผู้ฟังว่า ทำไมขณะที่จับไมโครโฟนถึงเป็นโมหมูลจิต

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่ลืมไม่ได้เลย คือเห็นแล้วเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล อย่างรวดเร็ว เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ยากที่จะรู้ได้ เราอาจจะอ่านตำราแล้วก็ได้ฟังว่า หลังจากที่เห็นแล้วต้องเป็นกุศลหรืออกุศล หลังจากที่ได้ยินดับไปแล้ว ไม่พูดโดยละเอียด คือต้องเป็นกุศลหรืออกุศล แล้วขณะนี้เป็นอะไร เห็นแล้วเราก็รู้คร่าวๆ ว่าเป็นกุศล และอกุศล แต่ว่าขณะนี้เห็นแล้วแน่นอน แล้วหลังจากเห็นเป็นอะไร ไม่รู้ แล้วไม่รู้เป็นอะไร

    อ.กุลวิไล เป็นโมหมูลจิต ก็ได้อธิบายไปบ้างแล้วว่า จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่เป็นไปในกุศล ก็ต้องเป็นอกุศลแน่นอน เพราะฉะนั้นขณะที่เรากระทำทางกาย ทางวาจา ไม่ว่าจะเอื้อมมือไปหยิบสิ่งใด ขณะนั้นก็เป็นไปด้วยโลภะบ้าง แต่ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะว่าเราติดข้องหรือต้องการในสิ่งนั้น ก็เป็นไปด้วยความที่ไม่รู้ในอารมณ์ที่ปรากฎ ดังนั้นในขณะที่เราไม่รู้ในอารมณ์ที่ปรากฎ แม้ว่าเราเอื้อมมือไปหยิบสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่รู้ขณะนั้นก็ต้องเป็นโมหมูลจิต

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็ต้องทราบว่า ทางฝ่ายอกุศลจิต ก็มี ๓ ประเภท คือโลภมูลจิต ๘ ประเภท และโทสมูลจิต ๒ ประเภท โมหมูลจิต ๒ ประเภท ตำราทุกตำรามี หนังสือทุกเล่มก็มี อ่านก็ทราบว่าเป็นอย่างนี้ แต่ว่าตามความเป็นจริง ต้องคิดโดยละเอียดว่าเราสามารถจะรู้ได้จริงๆ หรือไม่ ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ ว่าทุกคนไม่ว่าใคร เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับ ภวังคจิตเกิดต่อ วิถีจิตแรกที่จะเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่ภวังค์ ต้องเป็นทางมโนทวาร แล้วก็เป็นโลภมูลจิต ความติดข้องในอารมณ์นั้น แล้วก็ลองคิดดูว่าเราจะกล่าวได้ไหม โดยชัดเจนว่าหลังจากที่เห็นแล้ว จะเป็นโมหะหรือจะเป็นโลภะ เพราะฉะนั้นจึงต้องทรงแสดงเรื่องของเวทนา ซึ่งเกิดร่วมกับจิตนั้น ให้รู้ว่าขณะใดเป็นโลภมูลจิต ขณะใดเป็นโทสมูลจิต ขณะใดเป็นโมหมูลจิต ถ้าโลภมูลจิตก็คือมีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นมูล หรือเป็นเหตุประกอบกับจิตนั้น ถ้าโทสมูลจิต ก็คือจิตนั้นมีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นมูลประกอบกับจิตนั้น หรือถ้าเป็นโมหมูลจิต ก็คือขณะนั้นมีโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีโลภเจตสิก และไม่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    สำหรับโลภะ และ โมหะจะมีความรู้สึกที่เป็นอุเบกขาเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดร่วมด้วย แต่สำหรับโมหมูลจิตจะมีเฉพาะอุเบกขาเวทนาอย่างเดียว สำหรับโลภมูลจิต จะเกิดกับอุเบกขาเวทนาก็ได้ หรือว่าโสมนัสเวทนาก็ได้ อย่างนี้ก็เป็นชีวิตประจำวัน เวลาที่เราชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นอะไร โสมนัสไหม ถ้าเห็นสิ่งที่ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ได้ยินเสียงที่ชอบทางหู ได้กลิ่นที่ชอบทางจมูก ทางลิ้นก็รสอร่อย ทางกายสิ่งที่กระทบสัมผัส นั่นก็เบาก็สบาย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า จะต้องมีการค่อยๆ พิจารณาให้เข้าใจ แม้ในขั้นของการศึกษา ก็ต้องเปรียบเทียบ ว่าแท้ที่จริงแล้วจะรู้จริงๆ ได้ไหม ว่าขณะไหนเป็นโลภมูลจิต หรือว่าขณะไหนเป็นโมหมูลจิต ยกเรื่องที่ทรงแสดงว่าหลังจากที่เกิดแล้ว วิถีจิตแรกต้องเป็นมโนทวารวิถี แล้วก็เป็นโลภมูลจิต นี่ก็แสดงให้เห็นว่า โดยการที่ทรงแสดงไว้ต่างๆ ก็ทำให้เราเปรียบเทียบว่า แท้ที่จริงแล้วแม้ว่าสภาวธรรมจะเป็นอย่างนั้น แต่จะรู้จริงได้ด้วยปัญญา ต้องอบรมตามลำดับขั้น ถ้ายังไม่รู้ว่าเป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม เราจะไปรู้ละเอียดถึงธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดไม่ได้ แม้แต่ที่กล่าวว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต หรือเป็นโลภเจตสิก เพราะว่าขณะนั้นก็มีทั้งโลภเจตสิก และจิตด้วย ไม่ใช่มีแต่โลภเจตสิก โดยไม่มีจิต แต่ว่าลักษณะใดปรากฎที่พอจะรู้ได้ อย่างความรู้สึก ถ้าตกใจหรือว่ากลัว หรือเสียใจ หรือความรู้สึกเจ็บปวด ขณะนั้นลักษณะที่ปรากฎให้รู้เป็นอะไร เราคิดถึงสภาพความเจ็บ หรือว่าเราไปคิดถึงว่าจิตขณะนั้นประกอบด้วยความรู้สึกเจ็บ ก็เป็นสิ่งที่ปัญญาเท่านั้นที่จะค่อยๆ อบรม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าตรงตามที่ทรงแสดงไว้ ว่าเป็นลักษณะของจิตที่ประกอบด้วยความรู้สึกนั้น หรือว่าเป็นลักษณะของความรู้สึกนั้นที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน และจิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่ไม่ใช่ให้เรารู้จักชื่อไว้ก่อนหมด เพียงแต่ว่าเราเข้าใจได้ว่ามีตามที่ทรงแสดง แต่จะรู้ที่ใช้คำว่ารู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ก็ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะเกิดเป็นสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่ากำลังมีลักษณะของสภาพธรรมนั้นเป็นอารมณ์จริงๆ โดยไม่ต้องเรียกชื่อ ถ้าขณะที่ความรู้สึกเจ็บปรากฏ ไม่ต้องไปนั่งนึกว่านี่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ หรือจิตที่กำลังรู้ขณะนั้นเป็นกายวิญญาณ แล้วจิตที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะเป็นกุศลญาณสัมปยุต ขณะนั้นดับไปหมดแล้ว สภาพธรรมทั้งหมดเกิด และดับเร็วมาก

    เพราะฉะนั้นการที่รู้จริงๆ ต้องไม่มีชื่อ กำลังมีเฉพาะลักษณะนั้นปรากฎ ถ้าคิดถึงชื่อ ขณะนั้นก็คือว่าไม่ใช่ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าลักษณะของสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก เพียงอาศัยระลึก ดับแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่จะละคลายความติดข้อง ไม่ใช่ไปจดจ้องอยู่ที่สิ่งนั้น ซึ่งดับแล้วโดยไม่รู้ แต่ว่าจะต้องมีการละคลายด้วยความเข้าใจถูก อาศัยเพียงสติระลึก แล้วก็ดับแล้ว แล้วก็มีสภาพธรรมอื่นปรากฎ จึงจะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ สืบต่อกัน ด้วยการคลายความไม่รู้ และคลายความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ต้องทราบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของการละคลาย ไม่ใช่เป็นเรื่องของการติดข้อง ถ้ามีคำที่แสดงให้เห็นว่าให้จงใจ หรือให้ทำประการใดๆ ก็ตาม ด้วยความติดข้อง เมื่อไหร่จะรู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฎ เพียงอาศัยระลึก ดับแล้ว ก็มีสภาพธรรมอื่นปรากฏ ก็เพียงอาศัยระลึก เพราะเหตุว่าสติสัมปชัญญะ จะระลึกตรงกับลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่ปรากฎ แต่ต้องด้วยการคลายด้วยปัญญาที่รู้ตามลำดับ จะให้ไปฝืนทำอย่างนั้น ก็เป็นเรา ไม่ใช่ความรู้จริงๆ

    เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด ที่ไม่ประมาท ที่จะต้องรู้ว่าความรู้ขั้นไหน เป็นขั้นฟัง ขั้นพิจารณา ขั้นสติสัมปชัญญะเกิด ขั้นอบรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์ จนกระทั่งขณะไหนเป็นวิปัสสนาญาณ ซึ่งไม่ใช่ขั้นที่สติสัมปชัญญะระลึกลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่วิปัสสนาญาณ และขั้นปริญญาก็ต้องต่อไปอีก หลังจากที่วิปัสสนาญาณเกิดแล้ว จึงจะเป็นปริญญาได้

    คุณอุไรวรรณ ก็คงจะต้องสะสมการฟัง เพื่อปัญญาจะค่อยๆ เจริญ จนกระทั่งเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฎตามความเป็นจริง ถึงจะยากแสนยาก นานแสนนานอย่างไร ถ้าเราไม่ละเลยการฟัง และค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กละน้อย โดยไม่ต้องไปวุ่นวายทำอะไรให้มันเกินเลยไป สักวันหนึ่งปัญญาก็คงจะเจริญขึ้นได้แน่ๆ


    หมายเลข 2470
    1 ม.ค. 2568