ชวนจิต - อาเสวนปัจจัย - สเหตุกจิต
คุณอุไรวรรณ ขอให้ อ.วิชัยได้กล่าวถึงชวนจิตในชีวิตประจำวัน
อ.วิชัย จิตก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เพราะเหตุว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้น เช่น ชวนจิตเกิดขึ้นเป็นไปได้ ๔ ชาติ แต่โดยปกติของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ชวนจิตมีเพียง ๒ ชาติ ไม่ได้พูดถึงในโลกุตร แต่พูดถึงโดยปกติ ดังนั้นก็ให้เห็นถึงการสืบต่อ เกิดขึ้น แล่นไป ในอารมณ์ เกิดดับสืบต่อซ้ำกัน ๗ ขณะโดยปกติ อันนี้ก็เป็นเหตุปัจจัย ด้วยอำนาจของอาเสวนปัจจัย อำนาจของปัจจัยหลายอย่างที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น ถาม ว่าชวนจิตที่เป็นอเหตุกะมีไหม
ผู้ฟัง มีเป็นกุศล และอกุศล
อ.วิชัย อกุศลที่ไม่ใช่ชวนะมีไหม กิริยาที่ไม่ใช่ชวนะมีไหม
ผู้ฟัง มี ปัญจทวาราวัชชนจิต กับมโนทวาราวัชชจิต
อ.วิชัย สเหตุกจิต ที่ไม่ใช่ชวนจิตมีไหม
ท่านอาจารย์ ตอนต้นเราทบทวนแล้วว่า จิต ๔ ชาติ กุศล อกุศลวิบาก กิริยา นี่คือการที่จะตอบคำถามของคุณวิชัย
อ.วิชัย นอกจากปฏิสนธิมีอีกไหม
ผู้ฟัง ภวังค์ จุติ
อ.วิชัย วิถีจิตที่เป็นสเหตุกะ ที่ไม่เป็นชวนจิตมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
อ.วิชัย เรื่องนี้ก็คงยังเรียนไม่ถึง เพราะว่ามีอยู่ แต่ว่ายังไม่ได้กล่าวถึง เป็นอะไรพอทราบไหม
ท่านอาจารย์ หลังจากชวนจิตดับไปแล้ว อะไรเกิดต่อ
ผู้ฟัง ภวังค์
ท่านอาจารย์ ชาติอะไร
ผู้ฟัง วิบาก
ท่านอาจารย์ เป็นสเหตุกะได้ไหม เพราะยังไม่ทราบว่า ตทาลัมพนะได้แก่จิตอะไรบ้าง อาจจะลืม
คุณอุไรวรรณ ขอให้ อ.วิชัย สรุปเพื่อจะให้ทุกคนที่ฟังแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ ได้เข้าใจแจ่มชัดขึ้น
ท่านอาจารย์ แต่จริงๆ ถึงแม้ว่าคุณวิชัยจะตอบแล้ว ก็ลืมได้ เพราะว่าจะต้องคิดไม่ทั่ว อย่างคำถามเมื่อครู่นี้ ก็จะลืมคิดถึงเรื่องของตทาลัมพนจิต ก็เป็นเรื่องที่ว่าจริงๆ แล้ว เราได้ฟัง เราผ่าน แต่ว่าเราอาจจะลืมคิดจุดนั้นจุดนี้ก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้ตอบให้ เพราะฉะนั้นจะเป็นการง่ายมาก ถ้ามีตำราสักเล่มหนึ่ง มีคำถามมีคำตอบเสร็จ แต่ว่าเป็นความรู้ความเข้าใจของเราจริงๆ หรือเปล่า ที่จะรับประกันได้ว่าเราจะไม่ลืม แต่ว่าถ้าเป็นการคิดการไตร่ตรองร่วมกัน บางคนตอบ แล้วก็ยังไม่ครบถ้วน คุณวิชัยก็จะเพิ่มเติมได้ แต่ว่าขอให้ได้คิดก่อน แล้วก็ให้ฟังบ่อยๆ แล้วจะให้รู้ว่าลืมตอนไหน ไม่อย่างนั้นจะคิดว่าไม่ลืมเลย แต่ความจริงลืมได้ เมื่ออ่านแล้วความเข้าใจของตัวเองที่จะไม่ลืม มีไหม หรือว่าอ่านแล้ว เสร็จแล้วพอถูกถามอีก ก็ลืมอีกได้
เพราะฉะนั้นแทนที่จะมีหนังสือ ถ้าเราช่วยกันคิด แล้วก็ตอบ แล้วก็รู้ว่าเราลืมตอนไหน ก็จะเตือนเรา ดีกว่าเราไปนั่งอ่านคนเดียว แล้วก็คิดว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออย่างนี้ ไม่ได้คิดเอาเอง แต่หมายความว่าได้ฟังแล้วไตร่ตรอง ยกตัวอย่าง พระอรหันต์มีจิต ๒ ชาติ ลืมไม่ได้เลย เหตุผลก็คือว่าขณะเห็นเป็นวิบาก ขณะได้ยินเป็นวิบาก พระอรหันต์ก็เห็น ก็ได้ยิน จะไม่ให้มีวิบากจิตได้อย่างไร แล้วก็ยังรวมวิบากอื่นๆ ที่เรากล่าวถึงแล้ว เช่นสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ก็เป็นวิบาก ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ คือถ้ามีความเข้าใจ และความเข้าใจที่เป็นสภาพธรรม เปลี่ยนสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีจิต ๒ ชาติ คือวิบากจิต กับกิริยาจิต ไม่มีกุศลเลย หลังจากที่เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะว่าดับอนุสัยหมด ที่เรายังมีกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็เพราะเหตุว่า เรามีการสะสมทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล และฝ่ายอกุศล ยังไม่ได้ดับทางฝ่ายอกุศลเลย เพราะฉะนั้นก็มีปัจจัยที่จะให้อกุศลจิตเกิด แต่สำหรับพระอรหันต์เมื่อดับอกุศล ดับอนุสัย ไม่มีปัจจัยที่จะให้อกุศลใดๆ เกิดเลย กุศลก็ไม่เกิดเหมือนกัน เพราะเหตุว่าได้ดับพืชเชื้อของอนุสัยหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงไม่มีอกุศลจิต และกุศลจิต แต่ต้องมีวิบากจิต และสำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ กุศลใดๆ ทั้งหมดที่ได้กระทำ ไม่ใช่กิริยาจิต เพราะเหตุว่า ยังเป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบากข้างหน้าได้ แต่สำหรับพระอรหันต์สิ่งที่เกิดกุศลทั้งหลายสำหรับปุถุชนที่ทำให้เกิดวิบากไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าขณะนั้นเป็นกิริยาจิต จึงกล่าวว่ากิริยาจิตไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลข้างหน้า หลังจากปรินิพพานแล้ว ก็ไม่มีจิต เจตสิกเกิดอีกเลย
แต่สำหรับพระอรหันต์ เมื่อบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะมีจิต ๒ ชาติ ซึ่งไม่เปลี่ยน อย่างไรๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ จะบอกว่าเหลือชาติเดียวก็ไม่ได้ ต้องมีทั้งวิบากจิต และกิริยาจิต
โมหมูลจิต พระอรหันต์มีไหม อยู่ที่เราจะคิดหรือไม่คิด อยู่ที่เราจะไตร่ตรองหรือไม่ไตร่ตรอง อยู่ที่ความจำของเรา จะจำได้ละเอียดหรือไม่ละเอียด ถ้าพิมพ์แล้ว อ่านแล้ว จำได้ไหม เข้าใจแล้วก็ไม่ลืมหรือเปล่า หรือว่าก็ต้องยังคงไปหยิบหนังสือมาดู ก็เหมือนเวลานี้ เราก็จำอะไรไม่ได้ ก็หยิบหนังสือขึ้นมาดู แต่ว่าควรจะเป็นความเข้าใจ ที่จะทำให้สามารถเข้าใจในสิ่งที่เราหยิบขึ้นมาดูได้
