ชวนจิตของปุถุชน
คุณอุไรวรรณ ชวนจิตหรือชวนกิจของปุถุชน ก็ไม่ใช่กิริยาจิตเหมือนพระอรหันต์ แต่จะเป็นกุศลหรืออกุศล ๗ ขณะเลยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ตามปกติ คือเกิดซ้ำกัน ๗ ขณะ
คุณอุไรวรรณ สำหรับปุถุชน ชวนจิตนี่สำคัญ เพราะว่าเป็นการสะสม สะสมทั้งกิเลส คือสะสมทั้งอกุศล แล้วก็ยังสะสมกุศลได้ด้วย ทุกครั้งที่ชวนจิตเกิด จะสะสมถึง ๗ ขณะ ขอเชิญคุณกุลวิไลพูดถึงชวนจิตของปุถุชน
อ.กุลวิไล จิตที่ทำชวนกิจในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นปุถุชนแล้ว จากการศึกษาก็ทราบได้ว่ามีจิตครบทั้ง ๔ ชาติ คือ ชาติกุศล อกุศล วิบาก กิริยา สำหรับชีวิตประจำวันของปุถุชน การกระทำทางกาย ทางวาจา ก็เป็นไปด้วยจิตที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ฉะนั้น จิตที่ทำชวนกิจ ก็คือแล่นไป หรือเสพไปในอารมณ์ เพราะว่าขณะที่ชวนจิตเกิดขึ้น จะมีจิตที่มีอารมณ์เดียวกัน แล้วก็เป็นกิจประเภทเดียวกันถึง ๗ ขณะ ฉะนั้นจะเป็นกุศลบ้าง หรืออกุศลบ้าง ในชีวิตประจำวัน ขณะนั้นก็มีวิถีจิตที่เป็นชวนวิถีจิตเกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นชาติอกุศล ทั้ง ๑๒ ประเภท ซึ่งก็มีในชีวิตจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโลภมูลจิต ๘ ประเภท ก็ดี หรือว่า โทสมูลจิต ๒ ประเภท แล้วก็โมหมูลจิต ๒ ประเภท ฉะนั้นจิตที่เป็นอกุศลจิตทั้ง๑๒ ประเภท ทำชวนกิจได้ สำหรับมหากุศลแล้ว มีด้วยกัน ๘ ประเภท แล้วก็มีในชีวิตประจำวันเช่นกัน จะเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ส่วนเวทนาที่เกิดด้วย ก็มีทั้งที่เป็นโสมนัสเวทนา หรือว่าอุเบกขาเวทนา เป็นจิตที่มีกำลัง หรือว่าไม่มีกำลังก็ตาม ก็เป็นกุศลกิจที่มีในชีวิตประจำวันเช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่เรากระทำทางกาย ทางวาจา ที่เป็นไปในกุศลกิจก็ตาม ขณะนั้นก็เป็นจิตที่ทำชวนกิจ ฉะนั้นในชีวิตประจำวันเราก็พอจะพิจารณาได้ว่า ถ้าหากมีการ กระทำทางกาย ทางวาจา ในชีวิตประจำวัน ขณะนั้นก็จะเป็นไปด้วยจิตที่เป็นกุศล หรืออกุศล ซึ่งขณะนั้นใครจะรู้หรือไม่ ก็คือจิตที่ทำชวนกิจนั่นเอง
คุณอุไรวรรณ ขอเชิญคุณธีรพันธ์กล่าวถึงชวนจิต
อ.ธีรพันธ์ ชวนะ ก็คือ แล่นไปในอารมณ์อย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นอกุศลก็ต้องแล่นไปด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็แล่นไปด้วย อโลภะ อโทสะ ถ้าเป็นปัญญา ก็เป็นปัญญาที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว ที่ปัญญาทำกิจแล่นไปในอารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นขณะที่มีอารมณ์ปรากฎทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางปัญจทวาร ชวนกิจก็สามารถที่จะเกิดขึ้น เป็นกิจที่เกิดขึ้นแล่นไปใน อารมณ์นั้นๆ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นขณะนี้ ก็มีชวนกิจที่ทำกิจเหมือนกันในการฟังธรรม ถ้าเป็นกุศลก็แล่นไปในกุศล ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นการสะสมเหมือนกัน ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล ก็เป็นด้วยโสภะ โทสะ หรือโมหะ เพราะว่าชวนะทำกิจเสพสะสม สืบต่อไปในจิต ไม่ได้แล่นไปเฉยๆ เสพด้วยแล้วก็สะสมอยู่ในจิตนั่นเอง ทางปัญจทวารก็มี หลังจากปัญจทวารดับไปแล้ว ภวังค์คั่น มโนทวารเกิดต่อ ก็มีชวนกิจที่เสพไปในอารมณ์นั้นอีก เป็นไปได้ทั้งปัญจทวาร และมโนทวาร ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นไปในขณะนี้นี่เอง ไม่ได้เป็นไปในตำรา ขณะนี้มีการเห็น ถ้ามีการขณะนี้ ก็ต้องมีชวนะที่แล่นไปด้วย ถ้ารูปนั้นยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยให้ชวนกิจเกิด จิตก็แล่นไปในอารมณ์นั้น จิตที่เป็นชวนะจะมีเหตุฝ่ายกุศลก็มี อกุศลก็มี ถ้าเป็นอกุศล ก็เป็นโลภะ โทสะ โมหะ จะประกอบด้วย ๒ เหตุ ก็ตาม หรือถ้าเป็นเหตุเดียว ก็เป็นโมหเจตสิก ถ้าไม่ถ้าเป็น ๒ เหตุ ก็เป็นโลภะ โมหะ หรือว่า โทสะ โมหะ ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็มีเหตุเกิดร่วมด้วยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นชวนกิจ จะเป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุ คือเป็นกุศล หรือ อกุศล เพราะว่าต้องมีเหตุเกิดร่วมด้วย ซึ่งเป็น สเหตุกจิต จะไม่มีเหตุเกิดร่วมไม่ได้ แม้กระทั่งกุศลก็ต้องมีเหตุเกิดร่วมด้วย อย่างน้อย ๒ เหตุ คือ อโลภะ อโทสะ ถ้ามีปัญญาเกิดด้วยก็เป็น ๓ เหตุ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นไปในชีวิตจำวันนี้เอง
