สเหตุกกิริยาของพระอรหันต์


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดกับเหตุ จะเกิดกับ ๒ เหตุ หรือ ๓ เหตุ มีข้อแม้ต่อไปอีก

    ผู้ฟัง เฉพาะพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ เหมือนกัน

    ผู้ฟัง พระอรหันต์ท่านจะต้องไม่มีกุศล อกุศลแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง เมื่อไม่มีแล้ว คำถามของดิฉันก็คือว่า ...

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์มีจิตกี่ชาติ

    ผู้ฟัง ๒ ชาติ คือกิริยา กับ วิบาก

    ท่านอาจารย์ วิบากจิต กับ กิริยาจิต

    ผู้ฟัง และจิตนั้นเป็นสเหตุกะ คือมีเหตุเกิดร่วมด้วย เมื่อปัญญาเกิดร่วมด้วย และเหตุมี ๓ เหตุ คือ ฝ่ายละ ๓ เหตุ คือฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล ซึ่ง อกุศลเหตุ ก็คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ แต่สำหรับพระอรหันต์นั้นมีเพียงอโมหะเท่านั้น ส่วนอโลภะ อโทสะ เกิดไม่ได้ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ อโลภะเป็นโสภณเจตสิก อโทสะเป็นโสภณเจตสิก เป็นกุศลสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วอโลภะ อโทสะเป็นกิริยา ค่อยๆ ทำความเข้าใจเหตุ ๖ ว่าอกุศลเหตุเกิดเมื่อใด จิตเป็นอกุศลอย่างเดียวจะเป็นวิบากไม่ได้ เป็นกิริยาไม่ได้ เป็นกุศลไม่ได้ นี่คืออกุศลเหตุ ชื่อบอกชัดๆ แล้วว่าอกุศลเหตุ เพราะฉะนั้นเมื่อโลภะ โทสะ โมหะ เกิดเมื่อใดต้องเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด แต่สำหรับโสภณเหตุ ไม่ได้เจาะจงว่าชื่อกุศลเหตุ แต่ใช้คำว่าโสภณเหตุ เพราะฉะนั้นโสภณเหตุนี้เกิดกับวิบากจิตก็ได้ กุศลจิตก็ได้ และกิริยาจิตก็ได้

    เพราะฉะนั้นสำหรับพระอรหันต์จะมีอโสภณเหตุไม่ได้ ต้องมีโสภณเหตุเท่านั้น ดังนั้นเวลาที่กิริยาจิตของพระอรหันต์เกิดขณะใดที่ประกอบด้วยโสภณเหตุ ๒ เหตุก็มี ขณะใดที่ประกอบด้วยโสภณเหตุ ๓ เหตุก็มี

    กุศลของเราธรรมดา มีทั้งไม่ประกอบด้วยปัญญา และประกอบด้วยปัญญา สำหรับพระอรหันต์กิริยาจิตขณะที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิกมีหรือไม่ ทบทวนอีกกครั้งหนึ่งคือ สำหรับพระอรหันต์ ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล แต่มีกิริยาจิต เพราะฉะนั้นกิริยาจิตของพระอรหันต์ กิริยาทั่วไปเลย ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุก็มี อเหตุกกริยาเกิดกับใครที่ไหนก็คืออเหตุกกริยา นั่นเองทำกิจนั้น คืออาวัชชนกิจทางปัญจทวาร คือปัญจทวาราวัชชนจิต ทางมโนทวาร คือมโนทวารวัชชนจิต และพิเศษสำหรับพระอรหันต์เท่านั้นคือหสิตุปปาทจิต ซึ่งเป็นอเหตุกกิริยาจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เป็นจิตที่ทำให้เกิดการแย้มยิ้ม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการแย้มยิ้มด้วยจิตอื่น เพราะฉะนั้นสำหรับพระอรหันต์ จะมีทั้งการแย้มยิ้มที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ และการแย้มยิ้มที่ประกอบด้วยเหตุ

    และเมื่อกล่าวถึงกิริยาจิตของพระอรหันต์คือบุคคลพิเศษสุดซึ่งไม่มีกิเลสเลย แต่ธรรมก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่พระอรหันต์มีกิริยาจิต ที่ประกอบด้วยเหตุ ทำชวนกิจ ซึ่งทำกิจอื่นไม่ได้ ขณะใดที่กิริยาจิตที่ประกอบด้วยเหตุเกิดขึ้น ซึ่งชวนกิจสำหรับบุคคลธรรมดาก็จะเป็นกุศล อกุศล แต่สำหรับพระอรหันต์จะต้องเป็นกิริยาจิต เวลาที่กิริยาจิตของพระอรหันต์เกิดประกอบด้วยโสภณเหตุ จะประกอบด้วยอโสภณเหตุไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องประกอบด้วยโสภณเหตุเท่านั้นเวลาที่เป็นสเหตุกจิต และกิริยาจิตของพระอรหันต์ที่เป็นสเหตุกจิต ประกอบด้วยเหตุ ๒ คืออโลภะ และอโทสะก็มี คือ ไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิตก็มี และขณะบางขณะที่เกิดขึ้นเป็นสเหตุกที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ ก็มี คือ ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะฉะนั้นสเหตุกจิตของพระอรหันต์จะประกอบด้วยเหตุ ๒ และเหตุ ๓ ต่างวาระ
    ขอถามอีกครั้ง สเหตุกกิริยาจิตของพระอรหันต์ มีเหตุ ๒ ได้ไหม ตอบว่าได้

    ผู้ฟัง วันนี้รู้สึกเราจะไปไกลมากสำหรับนักเรียนอนุบาล

    ท่านอาจารย์ ก็เกี่ยวเนื่องกัน เพราะเหตุว่ากล่าวถึงกิริยาจิต เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่จำกัดว่าเราจะต้องอยู่ตรงปริเฉทนั้นๆ เท่านั้น แต่สิ่งใดก็ตามที่สามารถที่จะทำให้เราเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ก็เข้าใจได้ เช่น ถ้ากล่าวถึงพระอรหันต์กับกล่าวถึงเหตุ ก็จะต้องมีความเข้าใจว่าอเหตุกกิริยาจิตไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ก็ตาม ถ้าพูดถึงจิต อเหตุกกิริยาจิต มี ๓ แต่ถ้าพูดถึงบุคคลต้องเว้น คือผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะมีกิริยาจิต ๒ ที่เป็นอเหตุกจิต คือปัญจทวาราวัชชนจิตกับมโนทวาราวัชชนจิต เมื่อกล่าวถึงบุคคลนี้ก็ต่างกัน และสำหรับพระอรหันต์มีอเหตุกกิริยาจิตหรือไม่ ต้องมีด้วย แต่ท่านมีทั้ง ๓ คือ มีทั้งปัญจทวาราวัชชนจิต กับมโนทวาราวัชชนจิต และหสิตุปปาทจิต


    หมายเลข 2389
    9 ม.ค. 2568