พุทธการกธรรม : สัจจบารมี


    ข้อความต่อไปใน อรรถสาลินี มีว่า

    อันพุทธการกธรรมนั้นจะมีแต่เพียงเท่านี้ก็หามิได้ เราจักเลือกเฟ้นธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอื่นอีก เมื่อเราเลือกเฟ้นในกาลนั้น ได้พบสัจจบารมี ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่ครั้งก่อนๆ บำเพ็ญอบรมกันมา จักเป็น พุทธการกธรรมข้อที่ ๗ สอนตนว่าดังนี้

    เธอจงสมาทานสัจจบารมี อันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๗ นี้ให้มั่นต่อไป เธอมีถ้อยคำไม่เป็นสองในบารมีนั้น จักได้บรรลุสัมโพธิญาณ อันดาวประจำรุ่งย่อมเป็นดาราประจำวิถีในโลกนี้ทั้งเทวโลก ไม่โคจรละลงจากวิถีทุกสมัย ทุกฤดู หรือทุกปี ฉันใด แม้เธอก็เหมือนกัน อย่าเดินละลงจากวิถีในความสัตย์ บำเพ็ญสัจจบารมีแล้วจักได้บรรลุสัมโพธิญาณแล

    สัจจะมีความสำคัญมาก เป็นเรื่องจริง ไม่ควรจะยาก หรือคำจริง คำสัตย์ ก็ไม่ควรจะยากที่จะกล่าว ความตรงไปตรงมา ความจริงใจ ไม่ควรที่จะยาก แต่อะไรทำให้หลายคนไม่จริงใจ ไม่ตรง

    อกุศลธรรม คือ โลภะ ความยึดมั่นในความเป็นตัวตนมีมาก ความใคร่ ความปรารถนาทุกสิ่งทุกประการเพื่อตัว สามารถที่จะหลอกได้แม้ตัวเอง ไม่ตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เป็นปัญญาก็อยากจะให้เป็นปัญญา เพราะความเป็นตัวตนที่ยึดมั่น ที่ต้องการสิ่งที่ดีเสมอสำหรับตนเอง แม้ว่าขณะนั้นรู้ว่าไม่ถูก แต่เพราะความต้องการในหนทางข้อปฏิบัติอย่างนั้น ก็ทำให้ยึดมั่นไม่ยอมที่จะละคลาย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความตรง เพราะฉะนั้น สัจจบารมีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่จะทำให้สามารถที่จะรู้แจ้งในสัจธรรมของนามธรรม และรูปธรรมได้

    เวลาที่เจริญสติปัฏฐาน จะทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น บางคนกล่าวว่า รู้ตัวเองว่าขณะใดมีมายาหรือมารยาในขณะที่พูดคำที่ไม่จริง และรู้ด้วยว่าเกิดอาการอย่างนั้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    นี่เป็นสภาพธรรมที่จะต้องละ อกุศลธรรมทั้งหลายต้องละ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมจริงๆ มิฉะนั้นแล้วไม่สามารถที่จะเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะยังมีอกุศลธรรมที่ทำให้คลาดเคลื่อนไป เป็นผู้ที่ไม่ตรงต่อสภาพธรรม

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 737


    หมายเลข 2232
    31 ธ.ค. 2566