สติเป็นสภาพที่ระลึกได้


    . (ไม่ได้ยิน)

    สุ . สติเป็นสภาพที่ระลึกได้ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด ทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ สติของใครจะระลึกทางตานานๆ มากๆ บ่อยๆ จนกว่าจะชัด สติของใครจะระลึกบ่อยๆ ที่กายก็เป็นสติ ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะให้ระลึกที่รูปนั้นก่อน หรือที่นามนั้นก่อน แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ข้อสำคัญต้องทราบว่า จะต้องรู้ชีวิตจริงๆ ตามปกติของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน

    ถ้าคนอื่นสติเกิดขึ้นระลึกรู้เสียงบ่อยๆ เนืองๆ เอาอย่างได้ไหม ถ้าเอาอย่าง เป็นอะไร ก็เป็นอัตตา เป็นความจงใจ เป็นความตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น แต่เมื่อฟังแล้วทราบว่า จะต้องระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจข้ามไม่ได้เลย ก็เป็นสติ แล้วแต่สติของแต่ละคนจะระลึกรู้นามอะไรรูปอะไร เป็นฆราวาสจะต้องไประลึกรู้ลักษณะของนามและรูปอย่างของบรรพชิตได้ไหม ฆราวาสแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บรรพชิตแต่ละรูปก็ไม่เหมือนกัน [ตอนที่ 77]

    เพราะฉะนั้น ถ้าฆราวาสพยายามมีชีวิตอย่างบรรพชิต จะไม่มีโอกาสรู้จักชีวิตจริงๆ ของตนเองเลย สำหรับบรรพชิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีศรัทธาบวชเป็นบรรพชิต มีข้อประพฤติปฏิบัติที่ประเสริฐ คือ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นพรหมจรรย์ แล้วรู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดปรากฏตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา แต่โดยมากเข้าใจผิด ทำให้ท่านต้องการมีชีวิตอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่ชีวิตตามปกติของท่าน แล้วไปประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ตลอดไป เพราะไม่ใช่อัธยาศัยจริงๆ ที่จะไปได้ โดยมากก็ ๗ วัน ๒ อาทิตย์ เดือนหนึ่ง หรือท่านที่ว่างมากๆ ก็ไปได้หลายเดือน แล้วก็ต้องกลับมาเป็นชีวิตจริงๆ ของตัวเอง เพราะไม่ได้สะสมเหตุปัจจัยที่จะมีชีวิตอย่างนั้น

    ท่านที่เป็นอุบาสก ถ้าอยากบำเพ็ญชีวิตแบบบรรพชิต ก็บรรพชาอุปสมบท แล้วเจริญสติปัฏฐานในเพศนั้นมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่อัธยาศัยที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ มีชีวิตที่สละละบ้านเรือน ส่วนท่านที่เป็นอุบาสิกา อยากมีชีวิตที่ละอาคารบ้านเรือน เป็นอุบาสิกาที่รักษาศีล ๘ นั่นก็เป็นชีวิตจริงๆ ของท่าน ขอให้เป็นชีวิตตามปกติจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็ไปทำอีกอย่างหนึ่งชั่วคราว แล้วก็กลับมาเป็นอย่างเดิม แต่ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดปรากฏตามความเป็นจริงในชีวิตจริงๆ [ตอนที่ 77]


    หมายเลข 13805
    24 มิ.ย. 2568