เพราะไม่รู้ คือไม่รู้อะไร
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนสอนดนตรีสุรนา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง เคยได้สนทนากันแล้วก็คิดกับตัวเองอยู่ว่า เพราะไม่รู้ คือไม่รู้อะไร ในความรู้สึกก็คุยกับคนทั่วไป แล้วก็คุยกับตัวเองอยู่เหมือนกันว่า เราก็รู้ แต่ว่าที่เรารู้คืออะไร แล้วไม่รู้อะไร กราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยู่ตรงนี้ หมายความว่าได้เคยสะสมการเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากแสนยาก และนับวันก็จะยิ่งยาก เพราะเหตุว่าความลึกซึ้งของพระธรรมประมาณไม่ได้ ไม่ว่าจะฟังกี่ปีก็ตามแต่ ศึกษามาแล้ว ๖๐ ปีหรือเท่าไหร่ก็ตามแต่ ก็ยังคงจะต้องรู้ว่ากว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อปัญญาค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้เลยว่าไม่กี่คำไม่มีทางที่จะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้สิ่งซึ่งมีแต่คนอื่นไม่รู้ มีตลอดเวลาด้วย เพราะฉะนั้นอย่างที่คุณทรงเกียรติว่า รู้คือรู้อะไร แล้วทำไมถึงจะกลายเป็นไม่รู้ไปได้ ในเมื่อก็รู้อยู่ ใครๆ ก็รู้ แต่บอกว่าเพราะไม่รู้ ก็เป็นการสนทนา คุณทรงเกียรติรู้อะไร
ผู้ฟัง รู้ว่าตัวเองทำงานสอนดนตรีให้กับเด็กๆ
ท่านอาจารย์ รู้ว่าตัวเองทำงานแล้วก็สอนดนตรี ตัวเองคืออะไร คือทุกคำที่พูดตั้งแต่เกิดจนตายไม่ได้รู้อะไรเลยทั้งสิ้น อยู่ในความมืด สักคำก็ไม่รู้ รู้ว่าตัวเอง ตัวเองอยู่ไหน ถ้าตอบก็บอกนั่งอยู่ตรงนี้ใช่ไหม แต่ตรงนี้ ไหนเป็นตัว
ผู้ฟัง ถ้าก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังธรรมก็ตอบตรงๆ ว่านั่งอย่างนี้ ตัวเองอยู่ตรงนี้
ท่านอาจารย์ เเล้วตอนนี้ตอบได้ใช่ไหมว่า มีตัวหรือเปล่า
ผู้ฟัง ถ้าถึงตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่า ไม่มีตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ กับ เพราะรู้ ก็ต่างกันมาก ถ้าเพราะไม่รู้ก็คือว่า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย เกิดมาก็เป็นตัว สุขทุกข์จนตาย หมดเลย ตัวอยู่ไหนก็ไม่รู้ทุกชาติ เท่ากับเกิดมาแล้วก็หมดไป แต่ก่อนจะหมดก็สุขไปทุกข์ไป สำคัญว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น สำคัญมาก ความจริงแล้วก็หมดไปแล้วไม่กลับมาอีกด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้คิดอย่างนี้ เพราะว่าเราเกิดมามีความยึดมั่นในความเป็นเรา
ทุกอย่างเพื่อเรา ทำทุกอย่าง จึงทุกข์เพราะมีเรา และสุขเพราะมีเรา ทุกอย่างก็เป็นเราหมด แล้วอยู่ไหน ก่อนเกิดเราอยู่ไหน แล้วจากโลกนี้ไปแล้วเราอยู่ไหน โดยระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ละวัน บางคนก็คิดว่าถ้าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วก็จะต้องมีความสุข อุตส่าห์เดินทางไกลแสนไกล ไปโน่นมานี่ ดูนี่ดูนั่น คิดว่ามีความสุข แล้วลืม มีประโยชน์ไหม ลืมจริงๆ ถ้าไม่คิดไม่มีทางเลย ไม่เหลือด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เห็นอะไรก็ตาม เพียงแค่ไม่คิดก็ไม่มีแล้ว คิดเมื่อไหร่จึงมี
แสดงให้เห็นว่าที่เป็นเราเพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย บังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ นั่นหรือเป็นเรา คุณทรงเกียรติเลือกที่เกิดหรือเปล่า เราทุกคนเกิดมาแล้ว ใครเลือกมาเกิด ไม่มีเลยใช่ไหม เกิดกับพ่อแม่นี้ วงศาคณาญาตินี้ ก็เปล่า เลือกไม่ได้เลย เกิดแล้วใช่ไหม และอะไรที่เกิด ยังไม่ใช่เรา ตอนเกิดมาใหม่ๆ จะเป็นเราได้อย่างไร เพียงแค่เกิดมา เพียงแค่รู้ตัวว่าเกิดมาเท่านั้นเอง พฤติกรรมอะไรต่างๆ ยังไม่เป็นเรา อย่างเด็กเล็กๆ เขาจะรู้ไหม ลืมตาขึ้นมาในโลกเขาคิดหรือเปล่าว่านี่เป็นเรา เขาก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ แต่ค่อยๆ รู้โดยการที่เพราะสิ่งนั้นปรากฏบ่อยๆ จนกระทั่งชิน จนกระทั่งสามารถที่จะจำได้ก็มีความรู้ว่าเป็นใคร ในขณะเดียวกันที่กำลังรู้อยู่นั่นก็เป็นเรามาตั้งแต่เกิด ที่ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ ชิน ค่อยๆ จำ ค่อยๆ ฝังความเป็นเราจนกระทั่งตลอดมา ไม่ว่าจะโต สอบได้สอบตก เรียนเก่งเรียนไม่เก่ง เป็นไข้ร้ายแรง หรือว่าออกจากโรงพยาบาล ก็เราไปหมดเลย แต่ความจริงไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่เป็นใครที่จะทำอะไรได้ นอกจากเกิดเป็นธรรมมีจริงๆ สิ่งที่มีจริง เกิดจริงๆ มีจริงๆ นั่นเอง มีจริงชั่วขณะที่เกิด แล้วหมด ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
ถ้าเราค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เพราะว่าการที่เราจะรู้จริงๆ ยาก มากมายไปหมดแล้วจะรู้จริงๆ ได้อย่างไร ใช่ไหม แต่ละวันก็ต้องรู้ทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความมั่นคงว่า คำที่เราได้ฟังถูกต้อง แต่เรายังไม่สามารถที่จะละทิ้งความเป็นตัวตน และความเป็นเราได้โดยเพียงขั้นการฟัง แต่ขั้นการฟังถูกต้องเลย เห็นไม่ใช่ได้ยิน ขณะที่เห็นเกิด เห็นมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ใครไปทำเห็นให้เกิดก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีตาจะมีสิ่งที่กระทบตาได้ไหม จะมีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้ ถ้าเสียงไม่เกิดกระทบหู จะได้ยินเสียงนั้นไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งวันก็คือเห็น บังคับบัญชาไม่ได้ ได้ยินก็บังคับบัญชาไม่ได้ เเล้วได้กลิ่น ลองอยากได้กลิ่นเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีทาง จนกว่าไม่อยาก แต่ว่ากลิ่นกระทบจมูกปรากฏได้ว่ามีกลิ่น
ทุกอย่างถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ก็คือเกิดแน่นอนจึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดไม่มี ไม่สามารถจะปรากฎได้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่กำลังปรากฏขณะนี้ต้องเกิด แต่ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิดสักอย่างเดียว แต่มีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งที่อยู่ตรงนี้ไม่เหมือนกันเลย ไม่มีทางที่จะเหมือนกันด้วย ได้ยินเสียงเดียวกันเเต่คิดคนละอย่าง เข้าใจคนละอย่าง มากหรือน้อยแล้วแต่ว่ามีตั้งหลายอย่าง คนหนึ่งกำลังได้ยินเสียง อีกคนหนึ่งกำลังคิด อีกคนหนึ่งกำลังเห็น เร็วมากเลยทุกอย่าง นี่คือโลก ที่เราใช้คำว่าโลก โล-กะ ถ้าไม่มีสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีต้นไม้ ดอกไม้ ไม่มีแม่น้ำลำคลอง ไม่มีคน จะมีโลกไหม ก็ไม่มี แต่เราลืมว่าที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีจริงๆ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ เมื่อนั้นจึงเป็นโลก
สิ่งที่ปรากฏ มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ภูเขา ต้นไม้ ทะเล ท้องฟ้า ต้นข้าว ต้นหญ้า โต๊ะ เก้าอี้ ไปกระทบไปสัมผัส ไม่รู้ พูดด้วยก็ยังไม่รู้เลย ใช่ไหม ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แต่ว่าถ้าไม่มีธรรม สิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งทันทีที่เกิดต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ บังคับให้ไม่รู้ก็ไม่ได้ สภาพรู้นั้นมีจริงๆ แล้วแต่ว่าขณะนั้นรู้อะไร ถ้าได้ยินเสียง รู้เสียงใช่ไหม บังคับไม่ให้รู้เสียงนั้นได้ไหม บังคับไม่ให้คิดถึงเสียงที่รู้ได้ไหม ก็ไม่ได้ ทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เกิดดับสืบต่อพร้อมกันมากมายหลายอย่าง จึงปรากฏเป็นโลกซึ่งเต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม รู้อะไร และไม่รู้อะไร [ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139]