รู้สิ่งที่มีจริงคืออะไร


    สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนสอนดนตรีสุรนา

    วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ผู้ฟัง รู้สิ่งที่มีจริงคืออะไร แล้วก็ตอนนี้ตอบได้ว่าส่วนมากจะรู้ในสิ่งที่ไม่มีจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงใครปฏิเสธไม่ได้ว่ามี แต่ว่าเพราะไม่รู้จึงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างดอกไม้หนึ่งดอก มีสี มีแข็งหรืออ่อน มีกลิ่น บางชนิดก็รับประทานได้ก็มีรสด้วย ใช่ไหม แค่หนึ่งดอกมีตั้งหลายอย่าง สีก็มี กลิ่นก็มี รสก็มี แล้วเรารวมเรียกกันว่าเป็นดอกไม้ แต่ถ้าแยกออกละเอียดยิบ ก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เมื่อมารวมกันขึ้นก็ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหมือนเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ไหม มีเห็น ยึดมั่นว่าเป็นเราเห็น มีได้ยิน ชั่วขณะที่ได้ยิน ถ้าไม่มีอย่างอื่นเลยก็มีได้ยิน แค่ได้ยินจะเป็นเราหรือ ใช่ไหม เวลากลิ่นปรากฏ สภาพที่กำลังรู้กลิ่น มี แต่ก่อนนี้เป็นเรา เราได้กลิ่น แต่เมื่อรู้ว่าได้กลิ่น มี แล้วได้กลิ่นก็หมดไป แล้วใครก็ไปทำให้ได้กลิ่นเกิดไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป นี่หรือเรา

    ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งๆ ว่าแท้ที่จริงก็คือเป็นสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น แค่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง นี่คือโลกทั้งหมด ไม่ว่าขณะไหนของโลก ถ้าเข้าใจก็คือขณะนั้นมีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ โดยที่ว่าไม่ปรากฏการเกิดดับ แล้วก็รวมกันทำให้ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตามรูปร่างสัณฐานของสีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา ถ้าเป็นเสียงก็มีเสียงสูงเสียงต่ำ ตอนบ่ายๆ นี้ก็จะมีเสียงเพลงเพราะๆ เดี๋ยวนี้มีไหม ยังไม่มี มีเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง มีเมื่อเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้มี ต้องละเอียด ใครทำให้มีหรือเปล่า ใครก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยให้เกิดเสียง มีเปียโนอยู่ตรงนี้ ไหนเสียง ใครทำ ไม่มีสักเสียงใช่ไหม แต่แล้วก็มีเสียง เพราะมีการกระทบกัน แล้วจะกระทบกันเองได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น โลกทั้งหมดก็เกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่มีปัจจัย ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ลืม มีใครไม่ลืมบ้าง อยู่ตรงนี้ลืมอย่างอื่นหมดเลย ใช่ไหม ถ้าอยู่ตรงอื่นก็ลืมตรงนี้หมดเลย

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แค่มีเพื่อลืม โดยเฉพาะทุกชาติ ชาติก่อนลืมหมดเลย ชาตินี้ จำเดี๋ยวนี้ได้ เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง มากเลยใช่ไหม จำได้ก็มี จำไม่ได้ก็มีก็แล้วแต่ แต่ไม่มีเหลือ เพียงแต่แค่จำเพราะสภาพจำ จำตลอดไม่เคยหยุด ใครจะคิดว่าไม่จำก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่มีจริง ถ้าขาดจำไปสักขณะเดียว ขณะต่อไปจะมีได้ไหม เพราะว่าสืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ แม้แต่ความจำ ด้วยเหตุนี้ต้องเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ แน่ๆ แต่เพราะไม่รู้จึงเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต หรือว่าเป็นสิ่งที่รู้

    ถ้าที่กายของเราที่ว่าเป็นเราทั้งตัว ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นจะเป็นเราได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็แค่ก้อนเนื้อ ใช่ไหม แต่เพราะว่ามีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้จะเป็นก้อนเนื้อไม่ได้ ตัวจมูกก็ไม่ได้กลิ่น ตัวหูก็ไม่ได้ได้ยิน ตัวตาก็ไม่ได้เห็น แต่ว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้น โดยเราไม่เคยคิดเลยว่าที่เกิดมาเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นจะว่ารู้จักหรือ? ไม่รู้จักอะไรสักอย่าง เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธาตุแต่ละอย่างโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้รู้ความจริงเพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดแล้วมีพระมหากรุณา สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะใช้คำว่าด้วยพระมหากรุณาตลอด เพราะว่าสัตว์โลกไม่รู้ มีใครที่จะรู้บ้างไหมถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังแล้วด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดงทุกคำให้ได้ฟัง ให้ได้ไตร่ตรอง ให้ได้พิจารณา ค่อยๆ มีสัตว์โลกที่เข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งสามารถรู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคน จะไปบอกใครให้มาสนใจก็เสียเวลา ทำให้เขารำคาญด้วย แต่เป็นตัวอย่างได้ เพราะเหตุว่าถ้าเราฟัง คนอื่นก็พลอยได้ยิน ใช่ไหม พลอยได้ยินบ่อยๆ เขาก็พลอยจำเรื่องราว ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจโดยไม่ต้องไปบอก โดยไม่ต้องไปเตือน ไม่ต้องไปขอร้อง เพราะว่าไม่มีประโยชน์ถ้าเขาไม่ได้สะสมมา แต่ถ้าเขาสะสมมา ไม่รู้อยู่ที่ไหนเปิดวิทยุขึ้นมา ได้ยินทันทีเลย ใครทำได้ [ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139]


    หมายเลข 13813
    25 มิ.ย. 2568