ปริวีมังสนสูตร
สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๑๘๑
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ท่านอาจารย์ ให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ให้มั่นคงว่า ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา มีแน่นอน และเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นทางหนึ่ง นอกจากนั้นก็มีการทรงจำเป็นสัญญาขันธ์ คิดในเรื่องราวสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจ เพียงได้ยินคำว่า ปรมัตถสัจจะ ซาบซึ้งในพระคุณ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อรู้ความจริงว่า ทุกข์มาจากไหน ก็มาจากการเกิด เมื่อเกิดมาแล้วมีอะไรบ้าง ก็มีเจตสิก มีรูป แล้วก็มีตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นก็มีการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เป็นเวทนา ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งเมื่อมีเวทนาแล้วก็มีความติดข้องในความรู้สึกนั้นๆ ทำให้มีการยึดมั่น ทำให้เกิดการกระทำกุศลกรรมและอกุศลกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการเกิดอีกเมื่อตายแล้ว ก็นี่ก็คือเข้าใจเรื่องราว แต่ว่าไม่รู้ลักษณะจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรมของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจในพระธรรม โดยพิจารณาโดยละเอียดก็จะไม่เว้นการที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือจุดประสงค์ มิฉะนั้นเราจะรู้เรื่องราวของพระสูตรและอรรถกถาตลอดขณะนั้น แต่ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเรามีการฟัง แต่ละภพ แต่ละชาติ มีการพิจารณาไตร่ตรองว่าสิ่งที่มีจริงนี่แหละเป็นสิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่ละชาติที่เราฟัง เราก็จะสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่ว่าคำว่า ขันธ์ ก็ไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งกำลังปรากฏเกิดขึ้นในขณะนี้ รูปขันธ์เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่นามขันธ์ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก นี่คือการที่จะค่อยๆ มีปัจจัยที่ทำให้สามารถเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏได้ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งในการเกิดดับของสภาพธรรมนั้น เพราะนี่เป็นปรมัตถสัจจะ ความจริงคือการเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งที่เป็นปรมัตถธรรม
ผู้ฟัง แม้แต่ผู้ที่เข้าใจการอบรมเจริญสติปัฏฐานแล้ว สติเกิดบ้างระลึกบ้าง ก็ยังต้องฟังต่อไปอีก เพราะว่าแค่นี้อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าบรรลุไม่ได้ ก็ต้องฟังไป เพื่อความมั่นคง แล้วก็คล้ายว่ารู้ชัดยิ่งขึ้นในความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เวลาฟัง เข้าใจขึ้นหรือเปล่า เห็นไหม นี่เป็นสิ่งที่จะต้องไตร่ตรอง ฟังทั้งหมดมาแล้ว ทั้งพระสูตรและอรรถกถา เข้าใจขึ้นหรือเปล่า เข้าใจอะไร เข้าใจเรื่อง ของการที่เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เมื่อชาติมี มีการเกิดขึ้นก็จะต้องมีอะไรติดตามมาชรามรณะเป็นต้น นี้กล่าวโดยสรุปโดยย่อ แต่ความจริงก็ตั้งแต่ขณะแรก คือปฏิสนธิจิตเกิด ก็จะมีความเป็นไปของวิญญาณ ซึ่งต้องเห็นต้องได้ยิน แต่ว่าไม่รู้ความจริง กับขณะใดที่แม้จะต้องมีการเกิดการเห็นการได้ยิน แต่ก็มีการสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นเน้นเรื่อง วิชชา กับอวิชชา ซึ่งปกติ เป็นอวิชชาคือไม่รู้ แต่อาศัยการฟังการพิจารณา ถ้ารู้ก็คือรู้สิ่งที่มีจริงๆ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ จนกว่าจะประจักษ์ความเป็นจริงนั้น ถ้ายังไม่รู้ก็ฟังต่อไปอีก ก็เหมือนเดิมฟังอะไร ก็คือว่า เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั่นเอง และก็เป็นเรื่องของอวิชชาความไม่รู้ แล้วก็เป็นเรื่องของวิชชาความรู้ที่ค่อยๆ รู้ขึ้น
ผู้ฟัง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็ไม่พ้นจากขันธ์ อายตนะอยู่แล้วใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แต่ว่ารู้ขันธ์อย่างไร รู้อย่างไรขณะนี้ ขันธ์ไหนที่รู้ รู้สักขันธ์หนึ่งหรือเปล่า ขณะนี้มีรูปขันธ์รู้หรือเปล่า รู้รูปขันธ์อะไร ขณะนี้มีเวทนาขันธ์ รู้เวทนาหรือเปล่า ขณะนี้มีสัญญาขันธ์ รู้สัญญาขันธ์หรือเปล่า ขณะนี้มีสังขันธ์ รู้สังขาร ขันธ์หรือเปล่า ขณะนี้มีวิญญาณขันธ์ รู้วิญญาณขันธ์หรือเปล่า รู้ชื่อ แต่ว่าความจริง สภาพธรรมทั้งหมดมีจริงๆ แล้วก็เป็นขันธ์จริงๆ เพราะอะไร เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย หลากหลายเหลือเกิน ความเป็นขันธ์ของแต่ละขันธ์ แม้แต่รูปขันธ์ เสียงเมื่อกี้นี้ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ขันธ์หนึ่งเกิดแล้วดับแล้ว มีปัจจัยให้ขันธ์ซึ่งเป็นรูปเสียงเกิดต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความหมายของขันธ์ สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ เป็นอดีตอนาคตปัจจุบัน ใกล้ไกล หยาบละเอียด เลวปราณีต เสียงมีหลายเสียงไม่เหมือนกันเลย ก็แล้วแต่ว่าเสียงใดหยาบ เสียงใดละเอียด เสียงใดเลว เสียงใดประณีต ก็เทียบกันไป ตั้งแต่มนุษย์จนถึงกามภูมิที่เป็นสุคติภูมิ ยิ่งกว่านี้ อย่างเสียงดนตรีในโลกมนุษย์ กับดนตรีทิพย์ ต่างกันไหม ใกล้ไกล หยาบละเอียด เลวประณีต นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่า ถ้ารู้จักขันธ์ ก็คือรู้ลักษณะของขันธ์ ไม่ใช่จำชื่อขันธ์ แล้วก็บอกว่ารูปขันธ์ โดยที่ไม่รู้ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใดเลย แล้วจะกล่าวว่ารู้รูปขันธ์ไม่ได้ แต่ถ้ากำลังรู้ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใด ก็จะรู้ลักษณะที่ปรากฏ หมดแล้ว เป็นขันธ์ใหม่แล้ว ลักษณะก็ต่างกับขันธ์เก่าแล้ว นี่ก็คือการรู้จักขันธ์
ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวมา ตอนนี้ดิฉันเชื่อจริงๆ เลยว่า เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่กว่าจะเชื่อคำที่กล่าวตรงนี้ก็นานมากเลย
ท่านอาจารย์ ความเป็นไปของภพภูมิก่อนๆ ที่เห็นบ้างได้ยินบ้างแล้วไม่รู้ กับความเป็นไปของภพภูมินี้ที่เห็นได้ยินแล้วก็ได้ฟังเรื่องราว เข้าใจเรื่องราว กับ การที่จะรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรม ก็เป็นเรื่องที่ต้องเป็นผู้ตรงต่อพระรัตนตรัย ตรงต่อพระธรรมที่ทรงแสดง พระธรรมทรงแสดงเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้อะไรเป็นรูปขันธ์ ตรงต่อลักษณะของรูปที่ปรากฏ ซึ่งเป็นรูปขันธ์ จนกว่าปัญญาความเห็นถูกจะค่อยๆ เข้าใจถูก คือตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั่นเอง ถ้าเป็นชาวกุรุ ก็จะถามกันว่า สติปัฏฐานไหน ใช่ไหม ต้องทำตามอย่างหรือเปล่า หรือว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ชาวกุรุสมัยโน้น แต่ว่าเกิดที่ไหนก็อาจจะถามกันได้ ขณะนี้ขันธ์อะไร ถามได้ไหม ขณะนี้ขันธ์อะไร ไม่มีสักขันธ์ ใช่ไหม เพราะว่าไม่ได้รู้ขันธ์ แต่รู้ชื่อขันธ์ นี่ก็เป็นความต่างกัน ถ้าถามอีกว่าขณะนี้ขันธ์อะไร แล้วก็สติปัฐานกำลังรู้ลักษณะของขันธ์นั้นจึงตอบได้ว่าขันธ์อะไร ก็นี่ก็เป็นความต่างกันใช่ไหมว่า ไม่ใช่เรียนเรื่องชื่อ แต่ว่าเป็นการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจได้ถึงการสนทนาของบุคคลในครั้งโน้น กับแม้เราในสมัยนี้ เราไม่จำเป็นต้องถามว่าสติปัฏฐานอะไร เพียงถามว่าเดี๋ยวนี้ขันธ์อะไร ถ้าผู้ใดที่สติปัฎฐานเกิดก็จะตอบได้ว่าขันธ์อะไร แต่ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด จะมีขันธ์ไหนปรากฏให้รู้หรือเปล่า ทั้งๆ ที่กำลังฟังเรื่องขันธ์ แล้วก็ขันธ์ก็เกิดดับด้วย
ผู้ฟัง ถามว่าขณะนี้ขันธ์อะไรปรากฏ ดิฉันก็จะตอบว่า ขันธ์ทั้ง ๕
ท่านอาจารย์ และปรากฏทีละขันธ์ ไม่ปรากฏทั้ง ๕ ขันธ์ ใช่ไหม เท่านี้ก็เป็นเรื่องที่แม้ว่าจะตอบว่ารูปขันธ์ ก็ถามว่ารูปอะไร แล้วก็ปรากฏทางไหน และก็สติ ระลึกรู้ลักษณะของรูปนั้น ขณะนั้นไม่ได้คิดว่าทางไหน แต่ว่ามีลักษณะของรูปนั้นปรากฏ ด้วยเหตุในการฟัง สำคัญที่สุดคือความเข้าใจของเราที่จะสะสมจริงๆ ในเรื่องของความรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ มิฉะนั้นก็สูญเปล่า ตลอดชีวิตคือจำชื่อ พอฟังใหม่ชาติต่อไปก็จำชื่ออีก โดยที่ว่าไม่รู้ความหมายหรืออรรถของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย จะรู้เลย ไม่ว่าจะพบคำว่า ขันธ์ที่ไหนก็รู้ได้ แล้วก็ตอบได้ตรงเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการที่เรามาสนทนากันที่มูลนิธิซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่องตรงนี้ เพราะเป็นเรื่องที่จะสำคัญแล้วเราก็ยังไม่รู้ ยังรู้ไม่ได้ใช่ไหม ตรงนี้
ท่านอาจารย์ ก็ให้มีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะสิ่งอื่นยังไม่ได้เกิด ไม่ปรากฏ และสิ่งที่ล่วงไปแล้วก็ไม่ปรากฏ เพราะว่าหมดไปแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสภาพธรรมจริงๆ เป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมปรมัตถสัจจะ ซึ่งถ้าพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของปรมัตสัจจะได้เลย ก็เป็นแต่เพียงชื่อ แล้วก็เป็นเรื่องราวเป็นสัตว์เป็นบุคล ตลอดชาติ ถามได้ไหม ขณะนี้ขันธ์ไหน ขณะนี้ขันธ์อะไร ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ เป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็ไม่ใช่สักขันธ์เดียว ใช่ไหม เพราะว่าไม่รู้ความเป็นขันธ์ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ถ้าแข็งปรากฏ รู้ตรงแข็ง ตอบได้เลยขันธ์ไหน รูปขันธ์ รูปขันธ์อะไร แข็งใช่ไหม ทางไหนเราก็อาจจะตอบได้ว่าทางกาย แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องกล่าว เพราะว่าขณะนั้นแข็งกำลังปรากฏเเล้วหมดดับทันที หมดแล้วขันธ์นั้น มีขันธ์อื่นแล้ว แล้วแต่ว่าสติสัมปชัญญะจะรู้ขันธ์ไหนต่อไป หรือว่าไม่รู้ไปอีกนาน เพราะฉะนั้นฟัง จนกว่าสติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็รู้ด้วย นี่เป็นหนทางเดียวที่จะเข้าถึงธรรมที่ได้ทรงแสดง ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเรื่องราวเท่านั้น
อ. ธิดารัตน์ อย่างในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ท่านก็มีอธิบายปรมัตถเทศนา หรือว่าปรมัตถสัจจะ ท่านอธิบายว่า มีรูปอย่างนี้ชื่อว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ และสติปัฐานเป็นต้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราศึกษาเรื่องธาตุ อายตนะ หรือว่าสติปัฐาน โดยแต่ชื่ออย่างเดียวใช่ไหม หมายถึงว่าเราจะต้องเข้าใจลักษณะด้วยใช่ไหม ถึงจะเป็นปรมัตถกถา
ท่านอาจารย์ นี่คือการพิจารณา ฟังแล้วต้องพิจารณา แล้วจะพิจารณาอะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ จะมีอะไรให้พิจารณา แต่เมื่อฟังก็มีความเข้าใจจริงๆ อย่างรูปขันธ์ปรากฎทางตารูปหนึ่ง ทางหูอีกรูปหนึ่ง ทางจมูกอีกรูปหนึ่ง ทางลิ้นอีกรูปหนึ่ง ทางกายอีกรูปหนึ่ง แต่ถ้าจะกล่าวถึงขันธ์ ความเข้าใจขันธ์จริงๆ ต้องขณะที่สติสัมปชัญญะกำลังรู้รูปหนึ่งรูปใด จึงจะกล่าวได้ว่า เป็นรูปขันธ์ มิฉะนั้นก็เพียงจำชื่อเพราะว่าไม่รู้ลักษณะใดๆ เลย ทั้งๆ ที่ลักษณะนั้นมี กระทบปรากฏกับวิญญาณ ซึ่งรู้สภาพธรรม แต่ก็ดับไป โดยที่ว่าสติสัมปชัญญะไม่ได้ตามรู้ลักษณะนั้น
ผู้ฟัง มีปัญหาจากท่านผู้ฟัง ถามถึงเรื่องการเกิดดับ ถามว่า การรู้การเกิดดับของสภาพธรรมขณะนี้ จะเห็นว่าเป็นทุกข์ได้อย่างไร ดิฉันมองไม่ออก กรุณาช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วย
ท่านอาจารย์ ก็เพราะไม่เห็น จะมองออกได้อย่างไร ในเมื่อไม่เห็น การเกิดดับ ใครจะเห็นนอกจากปัญญาที่ได้อบรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละลักษณะ เพราะว่าไม่ได้เกิดดับพร้อมกัน แล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดเกิด สภาพธรรมนั้นดับ แล้วก็ต้องเป็นสติสัมปชัญญะที่รู้ทั่ว จนไม่มีเราที่เป็นผู้รู้ แต่เป็นนามธรรมที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น คงจะมีคนที่ชอบแจกันแก้วสวยๆ ใช่ไหม แตกกระจายละเอียดยิบเป็นอย่างไร ชอบอันไหน ยังมีความงาม ยังเห็นว่างามหรือเปล่า ที่ไม่งามเพราะไม่มีเหลือ ไม่เที่ยง ลักษณะที่เคยประชุมรวมกัน เป็นรูปร่างสัณฐานหนึ่งสัณฐานใดที่สวยงาม แม้แต่สุภวิปลาสเห็นว่างาม ก็เพราะเห็นว่า ยังคงมีรูปร่างสัณฐานที่เที่ยงอยู่ ต่อเมื่อใด ไม่เที่ยงเลยสักรูปเดียวนามเดียว เมื่อนั้นจึงจะไม่มีความงามในขณะนั้น ด้วยความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สำหรับพระโสดาบัน ท่านก็ละวิปลาสทั้ง ๔ ที่เห็นผิดยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นสำหรับแต่ละคนก็จะรู้ได้ คิดไปเถอะว่าไม่เที่ยง แต่แค่คิด เวลานี้ทุกคนคิดตามได้ใช่ไหม จิตเกิดแล้วดับ แน่นอน รูปแต่ละกลาปที่เกิดเพราะสมุฏฐานแต่ละสมุฏฐาน รูปที่เกิดจากกรรมมีอายุ ๑๗ ขณะของจิต แล้วก็ดับเร็วมาก รูปที่เกิดจากจิต รูปที่เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากอาหาร เร็วจนกระทั่งใครจะประมาณได้ ระหว่างเห็นกับได้ยินซึ่งดูเสมือนว่าพร้อมกัน เกิน ๑๗ ขณะ รูปรูปหนึ่งก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปเห็นรูปไหนดับที่ว่าเป็นทุกข์ ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่อบรมจนกระทั่งวิปัสสนาญาเกิดตามลำดับ จึงสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ เพราะฉะนั้นเพียงฟังอย่างนี้ ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง เพียงแต่เข้าใจในเหตุในผลตามที่ทรงแสดงอย่างละเอียด แต่ว่าไม่ได้เห็นลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นจึงถามว่า ขณะนี้ขันธ์อะไร คำตอบมีหรือยัง ขันธ์ไหน หรือยังไม่มี ต้องเป็นพูดตรงๆ ถ้าไม่มีก็ไม่มี ใช่ไหม เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นขันธ์ที่เกิดดับ เพราะสติสัมปชัญญะไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ แต่ตอบได้ขั้นฟัง รูปขันธ์ก็ตอบได้ เวทนาขันธ์ก็ตอบได้ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ตอบได้หมด แต่ไม่รู้ลักษณะของขันธ์หนึ่งขันธ์ใด นี่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้รู้ว่า การศึกษาธรรม ปัญญาต้องเจริญขึ้นตามลำดับ ถ้าไม่มีการฟัง หรือฟังแล้วไม่ได้ไตร่ตรอง ก็ไม่สามารถที่จะถึงการอบรมปัญญาที่จะรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถสัจจะได้ ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีหนทางเลย ที่จะประจักษ์ความจริงของปรมัตถ์
ผู้ฟัง บทว่า เป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ ได้แก่ ผู้ทำศีลให้เป็นเบื้องต้น และปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
ท่านอาจารย์ ก็ขอให้พิจารณาว่า ศีลของผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ กับ ศีลของผู้ที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต่างกันไหม
ผู้ฟัง ต่างกันมาก
ท่านอาจารย์ เพราะว่าผู้ที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะก็มีศีลได้ แต่ว่าไม่มีการเข้าใจอะไรเลย เพียงแต่ว่าไม่กระทำทุจริตกรรม เพราะอาจจะเป็นข้อห้าม อย่างบางลัทธิ ก็จะมีข้อห้ามต่างๆ แต่ว่าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่สำหรับผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จากการที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต้องมีพระธรรมเป็นสรณะด้วย เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมรู้ความจริงของธรรม ปัญญาที่เกิดจากการฟัง หรือว่าการอ่าน หรือการสนทนาด้วย การสอบถามก็ตาม จะทำให้เป็นผู้ที่มีศีลเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เพราะว่ามีความรู้ มีความเข้าใจว่าอะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล แล้วก็เป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นอนัตตา แต่ถ้ามีความเป็นตัวตน ต้องการที่จะได้ผลของศีล แต่ว่าไม่ได้ขัดเกลาอะไรเลย เพราะเหตุไม่มีความเห็นถูก นั่นก็คือศีลของผู้ที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ หรือแม้แต่ผู้ที่กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต้องตรงว่ามีความเข้าใจ ธรรมเป็นสรณะ เพราะฉะนั้นศีลนั้นเพื่อการขัดเกลา เพื่อการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งผู้นั้นจากการฟัง ก็จะรู้ได้ว่าอกุศลต่างกับกุศล แล้วถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็ย่อมมีมาก ยากต่อการที่จะละคลายขัดเกลา ด้วยปัญญาอย่างนี้ ศีลของผู้นั้นก็จะต้องต่างกับศีลของพวกที่ไม่มีปัญญา นี่เป็นความต่างกันประการหนึ่ง และสำหรับเรื่องของศีลก็เป็นเรื่องความประพฤติทางกายทางวาจาเป็นปกติ ถ้าเป็นผู้ที่มีสติเกิดขึ้นในขณะนั้น ก็จะทำให้เป็นกุศล วิรัตทุจริต ผู้นั้นก็รู้ด้วย จากปัญญาว่า เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นศีลนั้น ก็จะต่างกับผู้ที่รักษาศีลด้วยต้องการผลของศีล และคิดว่า ศีลเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ามีความเป็นตัวตน ซึ่งก็ยังคงเป็นไปในสังสารวัฎ จะกล่าวว่าผู้นั้นเข้าใจธรรมได้ไหม
ผู้ฟัง ก็กล่าวไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็มีความต่างกันอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะและมีศีล เพราะเป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นจากการเข้าใจธรรม
ผู้ฟัง เมื่อกี้พูดถึงศีลก็เลยอยากเรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมว่า ศีลสมาธิ ปัญญา และ อธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา
ท่านอาจารย์ โดยทั่วไป เมื่อมีจิตแล้วก็มีรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็จะต้องมีกุศลจิตอกุศลจิต ซึ่งทำให้กายและวาจาเป็นไปตามสภาพของจิต เพราะฉะนั้นก็มีทางกายวาจาที่ดีและกายวาจาที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการละเว้นงดเว้นความประพฤติทุจริตทางกายทางวาจา อันเป็นกุศลศีล เพราะว่า เป็นไปตามสภาพจิต ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล กายวาจาเป็นอกุศลศีล เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีทั้งกุศลและอกุศลกายวาจาก็เป็นอัพยากตศีล เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าความประพฤติทางกายวาจามาจากจิต ถ้าจิตเป็นกุศล ก็มีการวิรัติทุจริต ต่างๆ แล้วก็ยังมีการประพฤติสิ่งที่สมควรประพฤติด้วย เป็นจาริตศีล แต่ถ้าเว้นก็เป็นวาริตศีล
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องของศีลเป็นเรื่องของกายวาจา ที่เป็นไปตามจิต แต่ว่า ผู้ที่มีการงดเว้นกายวาจา ขณะนั้นเป็นกุศลก็จริง แต่ว่าไม่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จะต่างกับผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แล้วเป็นผู้ที่กุศลจิตเกิด ถูกต้องไหม เพราะมีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกด้วย ในเหตุและในผล ในเรื่องของกรรมและผลของกรรม เพราะฉะนั้นการที่เราจะดูว่ามีศีลมากน้อยเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ใช่เพียงแต่ว่าศีล ๕ เป็นศีลสำหรับคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน แต่ว่าจิตเป็นกุศลตลอดเวลาหรือเปล่า เพราะว่าแม้จะงดเว้นทุจริตก็จริง แต่จิตก็เป็นโลภะเป็นโทสะได้ แต่ไม่ประพฤติทุจริต เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้เข้าใจธรรมด้วย ก็จะมีศีลที่ละเอียดขึ้น ถ้ารู้หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้ขณะที่กุศลจิตขั้นสติปัฐานเกิด ขณะนั้น มีศีลหรือไม่มีศีล มีการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นการสังวรสำรวม ด้วยปัญญาและสติสัมปชัญญะที่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้าเป็นเพียงศีลที่ไม่ใช่อธิศีล ก็จะมีการเพียงวิรัติทุจริต แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร เป็นธรรมอะไร นี่เป็นความต่างกันของอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา กับศีลธรรมดา ซึ่งไม่ใช่ศีลที่เป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ถ้าผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา มีศีลได้ แต่ว่าศีลนั้นเป็นที่ติดข้องของโลภะหรือตัณหาได้ เพราะเหตุว่าไม่มีอะไรจะละโลภะเลย นอกจากปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรม
ผูฟัง จากที่กล่าวว่า ผู้ที่เพลิดเพลินความสุขอยู่นั่นแหละ ชื่อว่า ย่อมเพลิดเพลินทุกข์ ต้องสนใจตรงนี้จริงๆ เพราะรู้สึกว่า จะเพลิดเพลินอยู่กับความสุขอยู่เสมอ ที่จริงแล้วมันก็คือเป็นความทุกข์นั่นเอง
ท่านอาจารย์ คุณบุษบงรำไพ เวลาเพลิดเพลินก็มี เวลาฟังธรรมก็มีใช่ไหม ไม่ใช่เพลิดเพลินอย่างเดียว เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ที่จะไม่ให้เพลิดเพลินในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เป็นไปไม่ได้ แต่แม้กระนั้นก็มีฉันทะในการที่จะศึกษาในการที่จะประพฤติปฏิบัติตามธรรมด้วย
ผู้ฟัง แต่ที่เข้าใจผิดอยู่ก็คือ นึกว่าความเพลิดเพลินเป็นสิ่งดี
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเป็นสุขเวทนา โสมนัสเวทนา
ผู้ฟัง ขณะนั้น เป็นสุขจริงๆ แต่ว่าความจริงคือความทุกข์ ใช่ไหม ในการที่เราจะเพลิดเพลินไปในความสุข เพราะว่าสุขมันก็เกิดก็ดับ
ท่านอาจารย์ ถ้าปัญญาไม่ถึงระดับขั้นที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม จะดับกิเลสไม่ได้เลย
ผู้ฟัง มีคำถามที่เกี่ยวกับบอกว่า ความฟุ้งซ่านเป็นวิบากผลของกรรมหรือเปล่า จากที่ศึกษาตรงนี้ เราก็ได้ประโยชน์ในขั้นคิด ดีจริงๆ เลยเกี่ยวกับเรื่องชาติ ดิฉันทราบว่าคนไปโรงพยาบาล พอทราบตรงนั้นก็ความดันขึ้น ตรงนี้ นี่มันไม่ใช่วิบากนะ มันเป็นกุศลและอกุศล นี้ใช่ไหม เพราะว่าความห่วง ตอนนั้นมันค่อยๆ ลง แล้วเข้าใจ มันเป็นการปรุงแต่งของจิตที่เป็นอกุศล นี้หาประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ก็ยังช่วยได้ คือได้ทราบ เพราะแยกชาติของจิต ไม่ทราบจะมากไปหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย จะไม่มีการปรุงแต่งแม้จะคิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ใครจะคิดอะไรก็ตาม ให้ทราบว่าเกิดขึ้นเพราะการสะสม เคยชำนาญในทางอกุศล คิดในอกุศล ชำนาญมาก คิดขึ้นมาได้อย่างไร ใช่ไหม ดูไม่น่าจะคิดได้อย่างนั้น แต่ก็คิดได้เพราะการสะสม ฉันใด ทางฝ่ายกุศลก็เช่นเดียวกัน ไม่เคยที่จะคิดว่า นี่เป็นผลของกรรม ทางตาหรือทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย แต่เวลาที่ได้รับประสบกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่ไม่น่าพอใจ ทำไมคิดได้ ถ้าไม่มีการฟังมาก่อน เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจความหมายของสังขารขันธ์ ทุกคำที่ได้ยินลืมไม่ได้ คือต้องเข้าใจจริงๆ ว่าในบรรดาเจตสิก ๕2 เวทนาความรู้สึก เป็นขันธ์หนึ่ง เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิกความจำ ซึ่งขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลย กำลังเกิดตลอดเลย ใช่ไหม เห็นก็จำ ได้ยินก็จำ ได้กลิ่นก็จำ ลิ้มรสก็จำ กระทบสัมผัสก็จำ คิดนึกก็จำ เรื่องราวต่างๆ ที่คิดนี่ถ้าจำไม่ได้ไม่คิด ใช่ไหม แต่เพราะจำไว้ วิตักกเจตสิกจึงตรึกถึงเรื่องนั้นๆ ได้ เป็นความคิดถึงเรื่องนั้น ฉันใดสิ่งที่เราสะสมทั้งฝ่ายอกุศลและกุศล ไม่ได้สูญหายไปเลย การฟังธรรมจะทำให้เกิดคิดถูกต้องที่เป็นกุศล แม้ในขั้นของการพิจารณาธรรม จนกว่าจะถึงปรุงแต่งให้เป็นการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้
