กุณฑลิยสูตร - ฑีฆนขสูตร
สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๑๘๓
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ท่านอาจารย์ พระองค์ต้องทรงสอนให้บุคคลอื่นสามารถที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉทด้วย ไม่ใช่เพียงแค่กายสุจริตวจีสุจริต
ผู้ฟัง แต่ว่าจริงๆ แล้ว สติปัฏฐานยังไม่ได้เกิด สติก็ระลึกรู้แค่เพียงความคิดนึกว่าจิตขณะนั้น หรือว่าสภาพธรรมขณะนั้นเป็นอกุศล แต่ว่าเนื่องจากว่าเราไม่ให้เกิด ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็บังคับบัญชาไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่บริบูรณ์ จนกว่าจะบริบูรณ์ ไม่ใช่เพียงให้กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตเล็กๆ น้อยๆ เวลากุศลจิตเกิดอย่างที่คุณสุกัญญา กล่าว ประเดี๋ยวก็เป็นอกุศลแล้ว ก็เป็นทุจริตไปอีกเรื่อยๆ เป็นมโนทุจริตไปอีกเรื่อยๆ จึงไม่บริบูรณ์ ต้องมีอินทริยสังวรด้วย ที่กล่าวว่าสำรวมสำรวม เมื่อกี้นี้ เข้าใจว่าไง สำรวมตาทำอย่างไร กำลังเห็นอยู่ละเดี๋ยวนี้สำรวมตาเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง ก็หมายความว่าไม่ไปใฝ่หาสิ่งที่จะมาเพิ่มพูนกิเลสให้ตนเอง
ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรได้ เกิดแล้ว ไม่ได้ใฝ่เลยเพราะว่าสะสมมา พอเห็นก็เกือบโลภะแล้วไม่ได้ไปใฝ่ แต่ว่ามีแล้วสะสมมาแล้ว แล้วจะทำอย่างไรถึงจะหมดได้ เพราะเหตุว่า เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ สะสมโลภะมามาก สะสมโทสะมาด้วย สะสมอวิชามหาศาล แล้วจะไม่ให้เกิด ทำอย่างไรที่จะให้ดับหมดเป็นสมุจเฉท มีหนทางหรือว่าไม่มีหนทาง จะอบรมไหม
ผู้ฟัง แล้วจริงๆ แล้ว อกุศลจิตนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ เราสะสมมาที่จะให้เกิด มันก็เลยเกิดคำถามเหมือนกับว่า ลวงตัวเองหรือว่าปลอบใจตัวเองว่า มันก็สบายมาก ก็เป็นโลภะที่เกิดอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เห็นโทษของอวิชาไหม เมื่อกี้นี้ไม่เห็นโทษของโลภะ เพราะว่าเพลินดี สบายดี ไม่เห็นเป็นอะไร เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เข้าใจจริงๆ เลย เพียงแต่เลียนคำว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าจะเข้าใจจริงๆ ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ คือรู้ลักษณะที่ไม่ใช่เรา จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนี้ที่ว่าบังคับบัญชาไม่ได้เพราะเห็นแล้ว ไม่ให้เห็นไม่ได้ คิดแล้วไม่ให้คิดไม่ได้ นี่คือต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแต่เลียนคำพูดว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าไม่รู้อะไรเลย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าขณะนั้น ไม่ได้รู้ความจริง อย่างที่บอกว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าพูดคำนี้ ต้องเป็นผู้ที่ตรง บังคับบัญชาอะไรไม่ได้ แม้แต่คิดขณะนั้นที่คิดอย่างนั้น ก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรม คือต้องมีปัญญาประกอบด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่ามีเราบังคับบัญชาไม่ได้ แต่เราไม่มี ที่กล่าวว่าบังคับบัญชาไม่ได้เพราะเป็นธรรมแต่ละอย่าง ต้องมีปัญญาที่เจริญขึ้น ถึงจะมั่นคงขึ้น
อ. อรรณพ อย่างข้อความในพระสูตรนี้ เป็นสติปัฏฐานตั้งแต่เบื้องต้นเลยไหม ตั้งแต่อินทริยสังวร สุจริต ๓ ก็จะต้องประกอบด้วยสติปัฐาน แต่ระดับแตกต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดง ให้ถึงที่สุดคือดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉทจึงจะชื่อว่าบริบูรณ์ ถ้าสติปัฎฐานเกิด สุจริต ๓ จะค่อยๆ บริบูรณ์ขึ้นหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าเป็นสุจริตจริงๆ ก็คือว่าไม่มีทุจริตเลย อย่างพระอรหันต์ไม่มีทุจริตเลย แต่ว่าจากความเป็นปุถุชน แล้วก็บางกาลอกุศลจิตก็เกิดจะชื่อว่ามโนสุจริตหรือเปล่า เพราะว่าโดยมาก พอพูดถึงทุจริตจะคิดถึงแต่กายวาจา แต่ว่ามี ๓ สุจริต ๓ ไม่ใช่สุจริต ๒ คือมีกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ซึ่งเราจะไม่ค่อยคิดถึงความหมายของมโนสุจริต ความเห็นถูก ก็เป็นมโนสุจริตด้วย การไม่เพ่งเล็งของบุคคลอื่นเป็นโลภะ ไม่พยาบาท อันนั้นก็เป็นสุจริตทางใจ แต่ก็ต้องไม่ลืมมโนสุจริตที่ ๓ คือมีความเห็นถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะเหตุว่าถ้ายังมีอวิชชาอยู่ นำมาซึ่งอะไร นี่เรารู้แล้วใช่ไหม และถ้าวิชชาเกิดจะนำมาซึ่งอะไร จนกว่าจะถึงความบริบูรณ์
อ. อรรณพ ถ้าศึกษาแยกไว้เป็นส่วนๆ ๑. อินทริยสังวร ๒. สุจริต ๓ ๓. สติปัฐาน ๔ ๔. โพชฌงค์ ๕. วิชชาและวิมุตติเขาก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่า สติปัฎฐาน ๔ แสดงไว้แล้วในกลุ่มที่ ๓ ในขั้นตอนที่ ๓ เพราะฉะนั้นก็เลยอาจจะเข้าใจว่า ที่ท่านกล่าวถึงอินทริยสังวรกับสุจริต ๓ ก็จะต้องไม่เกี่ยวกับสติปัฐาน แต่จริงๆ แล้วจะต้องเกี่ยวและเกื้อกูลกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ลองคิดกลับก็ได้ ก็กล่าวว่า ขณะนี้ มีวิชชาและวิมุตติไหม ยังไม่มี ไม่มีเพราะอะไรเห็นไหม ต้องรู้เหตุด้วยว่าทำไมไม่มีวิชชาและวิมุตติ ขณะนี้เพราะอะไรจึงไม่มี คำตอบคือ
อ. อรรณพ เพราะว่ายังไม่ได้มีองค์ของการตรัสรู้
ท่านอาจารย์ ไม่มีโพชฌงค์ แล้วทำไมโพชฌงค์ไม่มี หรือไม่บริบูรณ์ เพราะว่ายังไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏญาน
ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะไปถึงสุจริตเห็นไหม จะต้องพูดถึงอีกนัยหนึ่งก็ได้ คือกล่าวถึงนัยที่ว่าทำไมจึงไม่มี เพราะเหตุว่าไม่มีสติปัฎฐาน แล้วทำไมสติปัฎฐานไม่บริบูรณ์
อ. อรรณพ ตรงนี้ต้องเป็นตรงที่คงจะต้องเรียนท่านอาจารย์ได้อธิบายให้ละเอียด เพราะว่าเพราะบางคนเขาจะคิดว่า เพราะฉะนั้นต้องไปทำกาย ทำวาจา ทำใจ ให้สุจริตเสียก่อน จึงจะเกิดสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์ แล้วทางใจทำอย่างไรจะสุจริต ที่กล่าวไว้ว่าทำไมสุจริต ๓ ๓ ไม่ใช่ ๒ ทำไมสุจริต ๓ ไม่บริบูรณ์
อ. อรรณพ ก็เพราะว่าไม่มีการรู้ลักษณะสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ ไม่มีอินทริยสังวร เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่จะพยายามทำให้สุจริต ๓ บริบูรณ์โดยไม่มีอินทริยสังวรเป็นไปไม่ได้เลย ต้องเข้าใจในเหตุในผลด้วย ไม่ใช่ว่า เป็นเราที่พยายามจะทำให้สุจริต ๓ บริบูรณ์โดยไม่รู้เรื่องของอินทริยสังวร ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่สุจริต ๓ จะบริบูรณ์ ถ้าไม่มีอินทริยสังวร
อ. อรรณพ อย่างนั้นก็คือ ทั้งหมดก็มีสติปัฏฐานเป็นพื้น แต่ระดับสติปัฏฐานที่ค่อยๆ บ่มตั้งแต่เป็นการสำรวมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วละเอียดขึ้นก็จึงทำให้กายวาจาค่อยๆ สุจริตขึ้น
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นเรื่องของการอบรมความรู้ที่เป็นฝ่ายวิชชา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จะพ้นไปไม่ได้เลย ที่จะมีวิชชาและวิมุตติโดยไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าท่านจะกล่าวโดยนัยของสุจริต ๓ โดยนัยของโพชฌงค์ โดยนัยของอินทริยสังวร ก็ตามแต่ แต่ทั้งหมดก็คือว่า วิชชาและวิมุตติ การรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏนั่นเอง
อ. อรรณพ มีข้อความในอรรถกถา ท่านกล่าวถึงวจีสุจริต ท่านกล่าวว่า เมื่อพูดด้วยจิตอันประกอบด้วยวิปัสสนาว่า มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จัดเป็นวจีสุจริต อย่างนี้เป็นต้น นั่นก็คือสุจริตนั้นต้องเป็นไปกับการรู้สภาพธรรม หรือการเจริญวิปัสสนา
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่านำไปสู่โพชฌงค์ นำไปสู่วิชชาและวิมุตติ ข้อความในหน้า ๔ ข้อความในอรรถกถาที่ว่า
ส่วนภิกษุนี้มั่นคงอยู่ในการพิจารณาภาวนาของตน ต้องเป็นผู้มีปกติ รู้ลักษณะของสภาพธรรม ย่อมประพฤติสุจริตเหล่านี้ให้เป็นสุจริตธรรม (คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตน แม้ว่าสภาพธรรมนั้นเป็นกุศลก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง) ถามว่าประพฤติอย่างไร กล่าวว่า เมื่อไม่ยังส่วนกายและวาจาให้เคลื่อนไหว เมื่ออารมณ์อันน่าปรารถนามาสู่คลองในจักขุทวารครั้งแรก (เมื่อเห็น จักขุทวารวิถีจิตเกิด) ปรารถนาอยู่ซึ่งวิปัสสนาอันมีรูปเป็นอารมณ์ จัดเป็นมโนสุจริต
เพราะว่าไม่มีการเคลื่อนไหวทางกายทางวาจา แต่ในขณะนั้นพูดได้ไหม ในขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นถ้าพูดเรื่องของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นวจีสุจริต แล้วก็มีปัญญาที่จะรู้ว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่อย่างงั้นจะพูดกันไม่ได้เลยใช่ไหม ก็ต้องนั่งนิ่งเฉยๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือคำพูดที่มีประโยชน์เป็นวจีสุจริต และขณะนั้น สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ที่กำลังมีการเคลื่อนไหวคำพูด ขณะนั้น ก็จะทำให้วิชชาและวิมุตติ ค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น บริบูรณ์ขึ้นได้
ฑีฆนขสูตร
เรื่องที่ฑีฆนขบริพาชก
ปริพาชกชื่อทีฆนขะ ได้กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ความจริงข้าพเจ้ามีปกติกล่าวอย่างนี้ มีปกติเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัคคิเวสสนะ แม้ความเห็นของท่านว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรานั้น ก็ไม่ควรแก่ท่าน. อัคคิเวสสนะ ในความเห็นของสมณพราหมณ์ผู้ที่มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรานั้น แล้วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี้ คือ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เรา ๑. เมื่อความถือผิดกันมีอยู่ดังนี้ ความทุ่มเถียงกันก็มี ความแก่งแย่งกันก็มี ความเบียดเบียนกันก็มี. วิญญูชนนั้นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกัน และความเบียดเบียนกัน ในตนดังนี้อยู่ จึงละทิฏฐินั้นเสียด้วย ไม่ยึดถือทิฏฐิอื่นด้วย การละ การสละคืนทิฏฐิเหล่านี้ ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.
อัคคิเวสสนะ สุขเวทนาไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. แม้ทุกขเวทนาก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไป
เป็นธรรมดา. แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
อย่างนี้มิได้มี. อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฏฐิ.
ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่ทีฆนขปริพาชกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา.
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเรื่องในครั้งอดีต แต่ว่าไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตาม ธรรมที่จริงก็ต้องเป็นธรรมที่จริง ถ้าไม่คิดถึงทีฆนขปริพาชก หรือว่าพวกที่มีความเห็นต่างๆ คิดถึงยุคนี้สมัยนี้ เรามีความเห็นอย่างไร เหมือนกับในสูตรนี้บ้างหรือเปล่า เช่น มีความเห็นว่าเที่ยง คิดอย่างนี้หรือเปล่า คิด เห็นไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าถ้าเรามีความเห็นว่าเที่ยง ขณะนี้ไม่มีอะไรเกิดดับ เราก็จะมีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะว่ายังคงเป็นสิ่งที่น่าพอใจอยู่ เพราะฉะนั้นก็ทุกคนทุกวัน ก็แสวงหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่าพอใจ เพื่อความเป็นเรา
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย เกิดมานี่เที่ยงไปนานเลย ใช่ไหม ตั้งแต่เกิดจนตายก็เข้าใจว่า เป็นเรานั่นแหละ ทุกอย่าง แล้วก็เวลาที่มีความคิดภายหลังก็คิดว่า บางอย่างก็เที่ยงบางอย่างก็ไม่เที่ยง เช่นความรู้สึก ก็เปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ ก็เห็นว่าแม้เราซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ เที่ยง เป็นตัวเรา แต่ในขณะนั้นก็ความรู้สึกของเราก็เปลี่ยนไป สุขบ้างทุกข์บ้าง นี่คือความเห็นต่างๆ แต่อีกพวกหนึ่งก็ยังคงเป็นคนที่มีความเห็นผิด เพราะเหตุว่ายังไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็คิดว่า ไม่เที่ยง ถูกต้องไหม ทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวได้ลาภเดี๋ยวเสื่อมลาภ ก็มีความเห็นต่างๆ กันไป เพราะฉะนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดอกุศลและกุศล ถ้าคนที่เห็นว่าเที่ยง แล้วก็มีความเห็นในเรื่องของกรรม เป็นอย่างไร มีหรือไม่มี พูดมีวาทะว่า เที่ยง ย่อมไม่รู้โลกนี้และโลกหน้าว่ามีอยู่ ย่อมรู้ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วว่ามีอยู่ จึงทำกุศล เวลาเห็นว่าเที่ยง ทำไหมกุศล จะได้รับผลที่เป็นสุข เพราะเหตุว่ามีตัวเราที่เที่ยง ก็เป็นเรื่องของความคิดความเห็นธรรมดา เห็นต่างๆ กันไป จนกว่าจะมีความเห็นถูก แล้วก็ละความเห็นผิดทั้งปวงได้ ความเห็นผิดทั้งปวงก็คือขณะที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา
ผู้ฟ้ง เกี่ยวกับเรื่องเกิดดับ ตามความคิดเห็นของตัวเอง ก็คิดว่า โลภะก็ไม่เที่ยง เช่นเราไปซื้อของอะไรมา ตอนนั้นก็ชอบมาก พอกลับมาบ้าน ไม่ชอบเสียแล้ว แต่จริงๆ แล้วลักษณะของความเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันอยู่ในขณะของตัวมันเองใช่ไหม ขณะนั้นเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงเลย จึงมีความเห็นเป็นแต่เพียงความเห็นว่าเที่ยงกับไม่เที่ยง หรือว่าบางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง
ผู้ฟัง อีกเรื่อง การที่เราจะเห็นว่าเป็นตัวทั้งคนหรือเป็นของทุกอย่าง มันเป็นเพราะว่าจากการเกิดดับต่อเนื่องกันมา คือมันก็ดับจริง แต่เดี๋ยวมันก็เกิดต่อ เรา ก็เลยรู้สึกว่า มันก็มีอยู่ มันไม่ได้ดับอะไรไปเลย
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นจริงๆ ว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะละความยึดถือในความเป็นตัวตน หรือว่าในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้
ผู้ฟัง มาถึงตรงนี้แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องเกี่ยวกับสติปัฏฐานนั่นแหละ
ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่ใช่หนทางอื่นเลย เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังเป็นอย่างนั้น แล้วแต่ว่าสติสัมปชัญญะจะรู้ตรงลักษณะไหน เป็นธรรมดา เป็นปกติ เกิดได้ ไม่ใช่ว่าเกิดไม่ได้ หรือว่าเกิดยากเหลือเกิน เพียงแต่ว่าให้เข้าใจตามความเป็นจริงที่มั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรม ที่เกิดปรากฏ เเล้วก็ดับไป ไม่ว่าจะเป็นลักษณะหนึ่งลักษณะใดก็ตาม เห็นก็กำลังเกิดดับ ได้ยินหรือเสียงก็กำลังเกิดดับทุกอย่างก็กำลังเกิดดับ แต่ฟังเรื่องความไม่เที่ยงความเกิดดับ แล้วก็เริ่มเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ปัญญาจริงๆ ก็จะต้องเห็นตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ด้วยการอบรมขั้นฟังเข้าใจ จนกระทั่งไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น รู้ว่าสภาพธรรมขณะนี้จะปรากฏลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ ต่อเมื่อมีการรู้ตรงลักษณะนั้น ซึ่งการที่จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นสติ เป็นเจตสิก เป็นสิ่งที่มีจริงชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เกิดขึ้นแล้วรู้ตรงลักษณะนั้น ถ้าเป็นภาษาที่แปลก็บอกว่า ระลึก เพราะเห็นว่าก่อนนั้นไม่ได้ระลึก หลงลืม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นระลึกเป็นหน้าที่ของสติ ระลึกอย่างไร ระลึกคือรู้ตรงลักษณะ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งความจริงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ กำลังมีแน่นอน แตแล้วแต่ว่าสติจะเกิดหรือไม่เกิดเท่านั้นเอง แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วย แล้วถ้ารู้ตรงลักษณะนั้น ลักษณะนั้นไม่เปลี่ยน แต่ว่าความเข้าใจเริ่มเข้าใจว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่ปรากฏ ซึ่งต่างกับสภาพธรรมอื่นๆ ซึ่งก็ปรากฏแต่ละทาง แล้วก็มีลักษณะต่างๆ กันไป เมื่อไหร่เป็นอย่างนี้ เมื่อนั้นก็คลายความเป็นเราทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ แต่พิสูจน์ได้ว่า ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ไม่รู้ตรงลักษณะ ความรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่ตัวเรา จะมีได้อย่างไร ก็เป็นแต่เพียงขั้นคิด เพียงขั้นเข้าใจว่าไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า สติเกิดนี่คือรู้ตรง ดิฉันกราบเรียนถามว่า ในลักษณะของกายวิญญาณเกิด ก็น่าจะกล่าวว่ารู้ตรงเหมือนกัน รู้ตรงนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความต่างก็คือว่า กายวิญญาณเป็นจิต ไม่ใช่เป็นสติเจตสิก กายวิญญาณเป็นธาตุรู้ ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นตามสภาพของวิญญาณนั้นๆ เช่น ถ้ามีกายปสาทที่เกิดแล้วยังไม่ดับ กระทบกับรูปที่เกิดและยังไม่ดับ ซึ่งเป็นรูปที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เป็นปัจจัยให้จิตเกิดรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้าขณะนั้นเป็นภวังคจิต กำลังหลับสนิท ขณะนั้นอะไรกระทบก็ไม่รู้ แต่ว่าเวลาที่ไม่ใช่ภวังค์ ขณะนั้น จิตก็เกิดขึ้น แล้วก็รู้สิ่งที่กำลังกระทบกายปสาท ซึ่งไม่ต้องไปเรียกอะไรเลยทั้งสิ้น ใช่ไหม ไม่ต้องเรียกว่ากายปสาท ไม่ต้องเรียกว่ารูป แต่มีลักษณะที่ปรากฏที่กาย และถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะที่รู้ลักษณะนั้น จะไม่รู้อะไรเลยที่เป็นสภาวธรรม ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องมีสติสัมปชัญญะที่กำลังค่อยๆ เข้าใจในขณะที่ฟังนี่เอง อย่างฑีฆนขปริพาชกกำลังฟังเรื่องนี้ แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังด้วยความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นก็หมายความว่าสติสัมปชัญญะเกิด ที่ใช้คำว่า รู้ตรง จะใช้คำว่า รู้ลักษณะ ด้วยความเข้าใจถูก ซึ่งต่างกับกายวิญญาณ ซึ่งเพียงแต่รู้ลักษณะของ สภาพที่อ่อนหรือแข็งซึ่งต้องเกิดก่อน เมื่อกายวิญญาณดับ ธรรมดาปกติ มโน ทวารวิถีจิตก็จะรู้อารมณ์ต่อจากกายทวารวิถีจิต ซึ่งดับแล้ว และมีภวังค์คั่น ให้คิดถึงการเกิดดับอย่างรวดเร็วของจิต ซึ่งสืบต่อกัน ไม่ปรากฏเลย ภวังค์ก็ไม่ได้ ปรากฏ แม้กายทวารที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ว่า เป็น กายทวารวิถี หรือ มโนทวารวิถี เพราะรู้อารมณ์เดียวกัน นี้คือการตามรู้ นี่คือสติ ซึ่งรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ขณะนี้มีแล้ว ฑีฆนขปริพาชกก็รู้แล้วเพราะว่ามีการรู้ตรงลักษณะนั้น และมีการเข้าใจถูกด้วย แต่กว่าจะคลายความเป็นเราหรือความเป็นตัวตนที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่า เป็นเรา ก็ต้องเป็นผู้ตรงที่จะต้องรู้ว่า แมขณะนั้น ความรู้เป็นขั้นกำลังไม่หลงลืม เพียงเริ่มที่จะรู้ลักษณะนั้น หรือว่ารู้แล้วละ ไม่มีความสงสัย ไม่มีความเยื่อใย เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมอื่นเกิดแล้ว หมายความว่าสิ่งนั้นต้องดับไปแล้ว แต่ความรู้ ไม่ใช่ความรู้ชัด เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะประจักษ์การดับไปของขณะก่อน และก็กำลังมีสภาพธรรมอื่นที่กำลังปรากฏ แต่นี้เป็นการอบรม แต่ละภพ แต่ละชาติไม่มีอะไรเกินปกติ ไม่มีอะไรเกินธรรมดาๆ อย่างนี้ คือรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏเท่านั้นเอง ขณะนี้เป็นอย่างงั้นบ้างหรือเปล่า เป็นได้ไหม ไม่ใช้ไม่ได้ อย่าคิดว่าเป็นไม่ได้เลย ธรรมดาอย่างนี้ ปกติอย่างนี้ มีแข็ง กายวิญญาณเกิดและรู้แล้ว สติก็รู้ตรงนั้นแหละ ไม่ใช่รู้ตรงอื่น และผู้นั้นก็จะรู้ว่าขณะนั้น ต่างกับขณะที่ไม่ได้รู้ตรงนั้น เพราะว่าเพียงกายวิญญาณเกิดแล้วก็ผ่านไป แต่ขณะใดที่กำลังรู้ตรงลักษณะนั้น นั่นก็คือสติกำลังระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกายต่อจากกายวิญญาณ
