243 เจโตขีลสูตร


    สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๒๔๓

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙


    เจโตขีลสูตร ว่าด้วยตะปูตรึงใจ ๕ ประการ

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตะปูตรึงใจ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในศาสดา ภิกษุใดย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในศาสดา จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นตะปูตรึงใจข้อที่หนึ่ง

    อีกประการหนึ่ง คือ ภิกษุย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในธรรม ภิกษุใดย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในธรรม จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นตะปูตรึงใจข้อที่ ๒

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ ภิกษุใดย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นตะปูตรึงใจ ข้อที่ ๓

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา ภิกษุใดย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร นี้เป็นตะปูตรึงใจข้อที่ ๔

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมโกรธ มีจิตไม่แช่มชื่น มีจิตอันโทสะกระทบแล้ว กระด้างในพวกเพื่อนพรหมจรรย์ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียรนี้ เป็นตะปูตรึงใจข้อที่ ๕

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตะปูตรึงใจ ๕ ประการนี้แล จบเจโตขีรสูตรที่๕

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นขยะ เดี๋ยวก็จะกลับบ้านหาขยะ แต่ว่าความจริง พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง เพื่อให้เข้าใจ และก็ระลึกได้ แม้แต่คำที่ใช้คำว่า ขยะ ก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นขยะก่อน มิฉะนั้นเราก็จะไม่รู้ว่าอะไรที่ตรึงใจ ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย เพราะฉะนั้นขยะคืออะไร เราไม่ข้าม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด การฟังพระธรรม จะเห็นได้ว่า ทำไมเราต้องฟังบ่อย แล้วทำไมเราต้องฟังเรื่อยๆ เพราะว่าความละเอียดของธรรมมีมาก ถ้าเราฟังใหม่ๆ จะรู้สึกหยาบ แต่ว่ายิ่งฟังก็ยิ่งเห็นความละเอียด และความละเอียดเป็นความเข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะเห็นสภาพธรรมที่ละเอียดได้ เพราะว่าสภาพธรรม ทุกคนก็ทราบว่าละเอียดมาก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พูดถึงอะไร ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรก่อน เพราะฉะนั้น อะไรเป็นขยะตรึงใจ

    ผู้ฟัง พระสูตรนี้ท่านจะพูดถึงเรื่อง คนพาล กับ บัณฑิต เข้าใจความต่าง เพราะฉะนั้นก็ขยะนี้คือพาลหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ยังไม่อย่างงั้น ขยะคืออะไรก่อน ต้องรู้ว่าขยะคืออะไร ขยะคือคนพาล แต่ตัวขยะคืออะไร และใครมีขยะ หาขยะไม่เจอ ก็พระสูตรนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะว่าถึงแม้ว่าจะทรงแสดงไว้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าขยะคืออะไร เพราะฉะนั้นขยะคืออะไร

    ผู้ฟัง กราบอาจารย์ ขอตอบ ขยะคืออกุศลเจตสิก ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ กิเลสทั้งหลาย เป็นตะปูเครื่องตรึงใจ ตรึงไว้ไม่ให้กระดุกกระดิกออกไปพ้นจากขยะได้เลย เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ทรงแสดงโดยละเอียดว่า ขณะไหนเป็นอกุศลขณะไหนเป็นกิเลส เราก็จะไม่รู้ว่ากำลังสะสมขยะที่ใจ แล้วก็ขยะ มากมายมั่นคง ยากที่จะไม่ให้ตรึงใจได้ เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียว คือปัญญาเท่านั้น พระธรรมที่ทรงแสดงจะแสดงให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกในชีวิตประจำวันจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า ความไม่รู้ของเรามากแค่ไหน แม้แต่สิ่งที่มีกับตน ก็ทรงแสดงว่า ขณะไหนเป็นขยะ และถ้าสะสมไว้มากๆ ไม่มีทางที่จะพ้นไปได้เลย ตรึงใจไว้ไม่ให้ไปสู่ความเห็นหรือการพ้นจากกิเลสได้

    ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงสภาพธรรมที่เป็นตะปูตรึงใจไว้ เพื่อที่จะให้รู้ว่า แม้ว่าแต่ละคนก็มีกิเลส แต่กิเลสไหน ถ้าไม่ค่อยค่อยเอาออก กิเลสอื่นก็ออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมซึ่งเป็นกิเลสก็ยังจะคงสะสม และก็มีสภาพธรรมที่ตรึงใจไว้ด้วย ด้วยเหตุนี้ต้องทราบ ตามลำดับที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า ความเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ถ้าพูดถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนสงสัยไหม หรือว่าพอพูดก็เชื่อว่าเป็น หรือมีจริงๆ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นความละเอียด เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่า พุทธะ คนที่เชื่อทันที แต่ว่าไม่รู้ความหมายก็มี เพราะว่าได้ยินคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วก็เป็นที่เคารพสักการะ แต่เมื่อไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงพระคุณของความเป็นพุทธะได้เลย พุทธะเป็นปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมด้วยพระองค์เอง แล้วก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงแสดงธรรมเพื่อเกื้อกูลอนุเคราะห์ผู้ที่ไม่รู้ความจริงนั้น ให้สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา จนสามารถที่จะรู้ความจริงได้ จึงทรงพระนามว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามพระคุณที่ได้ทรงสั่งสมพระบารมี ที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ด้วยพระองค์เอง และมีพระมหากรุณาที่จะแสดงธรรมนั้นเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกด้วย ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่รู้เลย พระพุทธเจ้า แต่ว่าพระคุณเป็นอย่างไร ไม่รู้ ถ้ายังไม่รู้จะสงสัยไหม หรือว่าไม่สงสัย เชื่อตามไปเลย

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียด เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีการศึกษาธรรมนี้ อาจจะกล่าวว่าเชื่อในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็จะไม่เชื่อคำสอนของพระองค์ เช่น พระองค์ทรงแสดงว่า ธรรมไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็เหตุกับผลต้องตรงกัน ที่ที่จิตเจตสิกสภาพธรรมนี้ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในโลกนี้ โลกอื่นก็มีด้วย ในขณะที่กล่าวว่า เชื่อในพระปัญญาคุณของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แสดงว่าผู้นั้นเข้าใจพระปัญญาคุณของพระหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องความเชื่อ พอได้ยินก็เชื่อ พอได้ยินก็คิด เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่เป็นเรื่องที่จะหมดความสงสัยได้ ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจธรรมตรงตามเหตุตามผล ก็จะทำให้หายความสงสัยความเคลือบแคลงในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ถ้ายังไม่ได้เข้าใจ ถ้าไม่สนทนา ก็จะไม่รู้เลยว่า ยังสงสัยไหม สงสัยเรื่องอะไร และก็เคลือบแคลงในปัญญาคุณของพระหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงพระธรรมให้เห็นความจริง เพื่อที่จะได้รู้และหมดความสงสัยความเคลือบแคลงในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงเรื่องขยะแล้ว ดิฉันคิดว่ามันน่าขยะแขยงเลย พูดถึงอย่างงั้นเลย ในชีวิตประจำวัน แต่คนส่วนใหญ่บางทีก็พอกขยะ

    ท่านอาจารย์ คุณบุษบงรำไพชอบ หรือใครชอบ

    ผู้ฟัง คิดว่าตัวเองชอบอยู่ มันสะสมมา

    ท่านอาจารย์ ที่บ้านสะสมขยะไว้เยอะไหม ถ้าชอบ หรือว่าเอาออกไปทิ้ง แล้วจะกลายว่าชอบขยะอะไร

    ผู้ฟัง ถ้าเอาไปทิ้ง มันเหมือนชอบ เพราะเดี๋ยวมันก็เอาเข้ามาอีก กอบโกยเข้ามาอีกในแต่ละวัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระธรรมให้เห็นว่า ชอบสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่รู้ ก็ยังคิดว่าสิ่งที่พอใจยังคงเป็นประโยชน์ แล้วก็แสวงหาไว้เยอะๆ ไม่คิดที่จะเอาออก แต่เมื่อทรงแสดงพระธรรมว่าอะไรเป็นขยะ อะไรเป็นสภาพที่กระด้าง อะไรเป็นหลักตอที่ตรึงไว้ ก็จะยิ่งเห็นความเป็นโทษของขยะ แต่ว่าหนทางที่จะนำขยะออก ก็ไม่ใช่ว่ามีความเป็นตัวตนที่ สามารถที่จะเอาออกได้ เพราะว่ายังไม่รู้ขยะตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง คราวนี้มาพูดถึงอย่างข้อที่ ๑ บอกว่า ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ตรงนี้ดิฉันคิดว่าก่อนที่จะมาศึกษา ก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่า โลกที่พระอริยะกล่าวว่ามีอยู่ ๖ ทาง ไม่หนีไปไหนเลย ในแต่ละขณะ ถ้าเผื่อว่าเรายังไม่ระลึกรู้ในแต่ละทาง มันก็ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ตรงนี้จะถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะปัญญาที่ทรงแสดง แสดงความจริงที่ได้ทรงประจักษ์แจ้ง และทุกคนที่ได้ฟังก็สามารถที่จะค่อยๆ เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นข้อที่ ๑ นี่ก็ใช่เลย คือที่เรามาเรียนตรงนี้ ก็คือเพื่ออบรมที่จะทราบว่า สภาพธรรมใดปรากฏในแต่ละขณะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าถามท่านผู้ฟังขณะนี้ว่า เคลือบแคลงสงสัยในสภาพธรรมที่กำลังเกิดและดับจริงๆ หรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ยังเคลือบแคลงอยู่

    ท่านอาจารย์ ยังเคลือบแคลงสงสัย เพราะพระผู้มีพระภาคทรงประจักษ์แจ้ง แต่คนที่ยังไม่ประจักษ์จะหมดความสงสัยไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่า จริง จากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงโดยละเอียด

    ผู้ฟัง แม้แต่ว่าเราเรียน บางครั้งเราก็ยังเคลือบแคลง แต่เราเห็นในพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า รู้ตามเท่านั้น แล้วจะประจักษ์รู้เมื่อไหร่ ต้องใช้เวลาอีกนาน คนอีกประเภทนี้เขาทนไม่ไหว เขาก็คิดของเขาขึ้นมาเอง อันนี้เจอมาก

    ท่านอาจารย์ เราคงไม่คิดถึงคนอื่น ถ้าคิดถึงอื่นกี่พันล้านคน อัธยาศัยต่างๆ กัน แต่ว่าผู้ฟังธรรม ต้องไม่ลืม ฟังธรรม ไม่ใช่คิดเอง ด้วยเหตุนี้เวลาฟังธรรมจริงๆ เป็นผู้ที่ตรง สัจจะคือความตรง ฟังอะไร ฟังธรรม เพื่ออะไร เพื่อเข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือเปล่า เป็นความจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเอาความเห็นของคนอื่น โดยที่ไม่คิดไม่พิจารณาเลย กล่าวตามความเห็นของคนอื่น เขาจะบอกว่าถูกเขาจะบอกว่าผิด ไม่ใช่ให้กล่าวตามอย่างนั้น แต่หมายความว่าเมื่อฟังแล้ว ฟังเหตุผล ฟังสิ่งที่มีจริงๆ ให้เป็นความเข้าใจของเรา ด้วยเหตุนี้ ถ้าได้ยินคำว่า สัจจะบารมี จะคิดอย่างไร อาจจะเป็นข้อความที่ได้ยินได้ฟังเพียงว่า พูดจริง ทำจริง คิดอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น แต่ความจริงต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ ตรงต่อการที่ขณะที่กำลังฟังธรรม คือฟัง ไม่ใช่ไปคิดเรื่องที่เราเคยคิดมาก่อน หรือว่าคิดว่าเราคิดอย่างนี้ แล้วธรรมกล่าวว่าอย่างนี้ แต่ขณะที่ฟังคือฟัง เพื่อที่จะได้พิจารณาด้วยความตรง ขณะที่กำลังเข้าใจ จะไม่มีใครรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วการอบรม คือการค่อยๆ น้อมไป ด้วยเหตุด้วยผลในความเป็นจริงนั่นเอง จนกว่าปัญญาสามารถที่จะเจริญขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าขณะที่ฟัง แล้วก็ไม่พิจารณาในสิ่งที่ฟัง ไม่มีความเห็นถูก จะน้อมอะไรไป ประโยชน์ของการฟังอยู่ที่ไหน แต่ขณะที่กำลังฟังนั่นเอง เพียงคำว่า ธรรม ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเข้าใจ ได้ยินแล้วเข้าใจว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ นี่แหละ กำลังฟังเรื่องนี้ และสิ่งที่มีจริงนี่ก็เป็นสภาพที่เกิดและปรากฏ เกิดแล้วก็ดับไป การฟังเพียงเท่านี้ แม้ยังไม่ประจักษ์ แต่ว่ากำลังสะสมที่จะคล้อยตามความจริง ที่จะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความจริง

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ใช้คำว่า น้อมไป ไม่ได้หมายความว่า ตัวเรากำลังน้อม แต่จากเหตุจากผลที่ได้ฟังได้เข้าใจนั่นเอง เป็นสังขารขันธ์ เป็นสภาพที่น้อมไปสู่การที่จะเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นให้เห็นความเป็นธรรมว่า ธรรมต้องเป็นธรรม แล้วก็ลืมไม่ได้ว่า ธรรมไม่ใช่เรา แต่ว่าธรรมเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าสามารถที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ ทั้งหมด ผู้นั้นดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ กำลังฟังและก็กำลังน้อมไปสู่การที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมยิ่งขึ้น นี่คือความตรงต่อการที่รู้ว่าขณะนี้มีธรรม แล้วก็ฟังเรื่องธรรม เพื่อให้เข้าใจธรรม เพื่อรู้ความจริงของธรรม นี่คือสัจจญาณ สัจจบารมีด้วย ไม่อย่างนั้นจะเอาปัญญาที่รู้ความจริงอะไรมากล่าวใช่ไหม แต่ก็ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็จะรู้ว่า เป็นผู้ที่จริง เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่จริงและตรงต่อการฟัง จริงและตรงต่อการที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ อันนั้นก็จะเป็นสัจจบารมี

    ผู้ฟัง ที่บอกว่า ฟังไม่พอ ใช่ไหม จิตถึงได้ไม่น้อมไป ที่จะทำให้สติเกิด

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังว่า เป็นธรรม จิตน้อมหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็น่าจะน้อมแล้วว่ามันไม่ใช่เรา มันเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ จับด้ามมีด เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่า พอได้ยินปุ๊บ น้อมไปจนถึงความเป็นอนัตตาได้ แต่จากการฟังทีละเล็กทีละน้อย นี่คือสภาพของธรรม กำลังน้อมไปสู่ความเข้าใจ แต่จะเอาอะไรมาขีดมาคั่น มาบอกว่าตอนนี้ตอนนั้นหรืออะไร ก็มีความจริงที่กำลังปรากฏ เป็นเครื่องยืนยันว่าเข้าใจหรือเปล่าว่า กำลังฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ก็ฟังแล้วก็หวังว่า จะให้สติเกิด ก็ฟัง

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ตัวเราฟังธรรม กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเป็นตัวเราฟังธรรม แต่ไม่ใช่ กำลังฟังเพื่อเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรม เอาตัวเข้ามาแทรกอีก เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ กำลังฟังธรรมไม่ได้คิดถึงตัวไม่คิดถึงเรา จะมีกิเลสมากน้อยสักเท่าไหร่ แต่ขณะที่กำลังฟัง คือฟังสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วพิจารณาให้เข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง เริ่มฟังใหม่ๆ ก็พบได้ยิน สติ สติ ก็อยากจะสติ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือไม่เป็นไปตามลำดับ คงจะต้องจริงที่ว่าไม่เป็นไปตามลำดับ เพราะพอฟังมานานๆ เข้าก็เข้าใจว่าสติจะเกิดได้อย่างไร ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ยังไม่เข้าใจเลยว่าธรรมคืออะไร เห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสนี้ก็ไม่เคยที่จะน้อมเข้ามาที่จะรู้ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นอย่างนี้สติก็ต้องเกิดไม่ได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นอะไรแล้วสติจะเกิดได้อย่างไร เช่น ผู้ที่เพิ่งมา หรือว่าเพิ่งฟัง ถ้าพูดถึงเรื่องสติ จะเข้าใจได้ไหม ก็เห็นได้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามไปทำอะไร เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ถ้าฟังตอนใหม่ๆ ก็เข้าใจผิดเรื่องสติ นึกว่านึกอะไรขึ้นมาได้แล้วก็ นั่นสติเกิดแล้ว ที่ว่า ลืมไป หาของอยู่ที่ไหนอะไรต่าง พอนึกขึ้นมาได้ก็บอกว่า เออ สติเกิดแล้วนะ รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนตรงนี้ก็ไม่ใช่อีกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ นั่นคือผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรม

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังกันไปเรื่อยๆ ถึงความละเอียด าคำว่า มานะ ในทางโลก สอนเลยว่าต้องมีมานะ ก็เลยคิดว่ามานั้นเป็นเรื่องดี พอมาฟังธรรม มานะนี่แย่มากเลย ก็เลยให้คุณอรรณพอธิบายตรงนี้ ความหมายของคำว่า มานะ ในทางพุทธศาสนาเป็นอย่างไร

    อ. อรรณพ สำหรับ มานะ จริงๆ โดยสภาพธรรมก็คืออกุศลเจตสิกชนิดหนึ่ง คือ มานะเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพที่สำคัญตน สำคัญว่าตัวเรามีความสำคัญ ไม่ว่าตัวเราจะมีฐานะ ด้อยกว่าเขา เสมอเขา หรือว่าสูงกว่าเขา ก็มีความสำคัญตน แต่ว่าทางโลกเอาคำว่ามานะไปใช้ ก็คือเหมือนกับว่า ขยันหมั่นเพียร ก็เป็นความเพียรที่เป็นอกุศลเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เพียรด้วยความสำคัญตนก็ได้ เพราะมานะก็เกิดกับวิริยะได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็คือการไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อการกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร คำถามก็คือว่า เพียรอะไร

    อ. อรรณพ ผู้ที่มีความลังเลสงสัย ในพระรัตนตรัย ในสิกขา เมื่อเขาไม่น้อมใจเชื่อ แล้วเขาก็ไม่เลื่อมใสแล้ว เขาจะน้อมไปที่จะมีความเพียรในการฟังธรรมไหม ฟังไปก็สงสัยไปว่า อันนี้ใครเขียนขึ้นมา อันนี้ใครมาแทรก ใครมาเพิ่มเติม พระพุทธเจ้ามีหรือเปล่า อ่านไปก็สงสัยไปหมด เพราะฉะนั้นในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เขาย่อมที่จะไม่เพียร ความเพียรที่เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ที่จะเริ่มตั้งแต่ไม่ว่าขั้นการฟัง ขั้นการเจริญกุศลทุกประการเพื่อเป็นไปในการดับกิเลส เขาไม่มีล่ะ เพราะว่าเขามีความลังเลสงสัยซะแล้ว

    ท่านอาจารย์ วันนี้คุณสุรีย์เพียรอะไรหรือเปล่า ที่คนถามเสมอ

    ผู้ฟัง เพียรที่จะถาม

    ท่านอาจารย์ แล้วเพียรอะไรอีก เพียรที่จะฟังเห็นไหม โดยที่ว่าขณะที่กำลังฟังรู้เลย ขณะนั้น เพียรเพราะว่าเห็นว่า เป็นสิ่งที่สมควรฟัง สำหรับคนที่ไม่ฟังธรรมเลย แม้ว่าจะกล่าวว่ามีศรัทธา แต่เราเห็นไหมว่าจริงหรือเปล่า บอกว่ามีศรัทธาเลื่อมใส แต่ไม่ฟัง แล้วอย่างไรกัน และศรัทธาอะไร เพียงแต่คิดว่าตัวเองมีศรัทธา แต่ว่าไม่ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ว่า ถ้ามีศรัทธาจริงๆ ในบุคคลที่เลื่อมใสว่า เป็นผู้ที่เป็นพระบรมศาสดา ก็คือฟังบุคคลนั้น ฟังพอไหม ก็ไม่พอ เพราะว่ายิ่งมีความเลื่อมใสก็ยิ่งเห็นประโยชน์ที่ได้รับจากการฟังคือความเข้าใจถูก ก็จะมีการเพียรฟัง ซึ่งเข้าใจว่าทุกคนที่ได้เข้าใจธรรมก็จะเพียรฟังธรรม เพราะรู้ว่าเข้าใจเพียงเท่านั้นไม่พอเลย เพียงได้ยินได้ฟัง แต่ส่วนที่ไม่ได้ยินได้ฟังดีมากกว่า เพราะฉะนั้นก็จะเป็นผู้ที่มีความเพียรในการฟัง แล้วก็รู้จักตัวเองด้วย เพียรมากและเพียรน้อยในการฟังและฟังแล้วเพียรจริงๆ ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูก ในสัจจะ เป็นผู้ที่จริงใจและมั่นคงในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่าขั้นฟังไม่สามารถที่จะเพียงพอที่จะดับกิเลสได้เลย หนทางที่จะดับกิเลสได้นั้นมี เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจจริงๆ ในหนทางที่จะดับกิเลส ก็เพียรฟัง เพื่อที่จะเข้าใจถูกต้องในหนทางที่ดับกิเลสด้วย เพราะฉะนั้นการเพียรฟัง ก็จะไม่มีการหยุด แต่เพียรแล้วก็พิจารณาแล้วก็รู้ตามความจริง แล้วก็เขียนจนกว่าที่จะดับกิเลสเป็นสมุทเฉท

    กล่าวถึง มานะ เมื่อกี้นี้ เข้าใจแล้วใช่ไหม มานะเป็นสภาพที่สำคัญตน และก็หยาบกระด้าง เพราะฉะนั้นมานะดีหรือไม่ดี ถ้าศึกษาธรรมและยังจะเข้าใจว่ามานะดีได้ไหม ไม่ได้ เป็นขยะหรือเปล่า เป็นเกิดเมื่อไหร่รู้ได้ไหม ถ้าเรารู้ว่ากำลังมีโทสะ เรารู้ลักษณะของโทสะได้ แล้วเวลาที่มีความสำคัญตน จะไม่รู้หรือ แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้เลย แต่คนที่ความสำคัญตนกำลังมี แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะที่ต่างออกไปจากสภาพธรรมอื่น เพราะฉะนั้นผู้นั้นเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็ยังสามารถที่จะเข้าใจความละเอียดของลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันว่าขณะไหนเป็นความสำคัญตน แม้เพียงเล็กน้อย ยังมีอยู่ เพราะว่าผู้ที่จะดับหมดเป็นสมุจเฉทต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น อรหัตตมรรคจึงสามารถที่จะดับมานะได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงอรหัตตมรรค ความสำคัญตนก็จะมีตั้งแต่อย่างหยาบที่ปรากฏออกมาทางกายทางวาจา แต่ถ้าไม่ปรากฏแม้ทางใจก็มี ผู้นั้นจะรู้ได้เองว่าความสำคัญตนในขณะนั้น มีมากหรือมีน้อย แล้วก็มีความกระด้างกระดับไหน การศึกษาธรรม ไม่ใช่เพียงฟังชื่อฟังเรื่อง แต่ว่าไม่รู้จักตัวเอง นั้นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า จะเห็นธรรมที่ไหน จะรู้จักธรรมที่ไหน จะหาธรรมที่ไหน ไม่ใช่ที่อื่นเลย การฟังพระธรรมทำให้สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งมีจริง เกิดขึ้นปรากฏเมื่อไหร่ ก็จะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคน ถ้าได้ฟังเรื่องของมานะ และมานะเกิด จะรู้ไหมว่า เป็นมานะ โทสะเกิดรู้ไหม เป็นโทสะ นี่ก็คือค่อยๆ เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม


    หมายเลข 13340
    20 มิ.ย. 2568