242 ติกิจฉสูตร


    สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๒๔๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙


    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่า แล้วเมื่อไหร่เราจะรู้ แล้วทำอย่างไร แล้วเราจะไปจ้อง นั่นคือไม่รู้ว่ายาชนิดไหนเป็นยาถ่ายหรือยาระบายเชื้อโรคของความไม่รู้ หยิบยาผิดก็ลำบาก

    การที่จะรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ว่าเข้าใจแล้ว ก็เป็นอีกขั้นหนึ่งซึ่งเราเลือกไม่ได้เลยว่าเมื่อไหร่ บางคนอาจจะหวังรอว่าเมื่อไหร่จะถึงสักทีหนึ่งที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ที่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะนั้นเป็นความต้องการเป็นเครื่องกั้น เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญาที่รู้ว่า กว่าจะรู้อย่างนั้นได้ ต้องมีการเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏโดยไม่หลงลืม เพราะว่าวันหนึ่งๆ เราคิดมาก แต่ว่าคิดเรื่องอื่น หรือว่าบางคนขณะที่กำลังอ่านธรรม ก็อาจจะคิดเรื่องของธรรม แต่ว่าตัวจริงๆ ของธรรม เช่น เห็น เป็นธรรมที่กำลังทำกิจเห็น และการคิดนึกก็เป็นตัวจริงของธรรมซึ่งมีหน้าที่คิดไม่ใช่หน้าที่เห็น เพราะฉะนั้นซึ่งเป็นธรรมแต่ละอย่าง ตามที่เราเรียน กำลังอ่านด้วย แต่ตัวจริงๆ ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ต้องไปหวังแล้วไม่ต้องไปคิดว่าอยากจะให้มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งประจักษ์แจ้งได้ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างไรๆ จะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นหนทางนี้ ความยากอยู่ที่ว่า เป็นหนทางละ ไม่ใช่หนทางที่มีตัวตนที่พากเพียรที่คิดว่าเมื่อทำแล้วก็จะถึงหรือทำแล้วก็จะได้ เพราะเหตุว่าแม้แต่ปฏิบัติ ซึ่งภาษาไทยเราจะใช้คำว่า ทำ แต่ความหมายในภาษาบาลี ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่า ถึง ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏเกิดแล้วดับอย่างเร็วมาก อะไรจะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ปรากฏตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า สติ เป็นสภาพที่ระลึก คือขณะนั้นรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ และปัญญาจะเข้าใจถูกเห็นถูกก็ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ ที่มีการรู้ที่ลักษณะที่กำลังปรากฏและค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนั้นคือสติปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เป็นหนทางที่ปัญญาจะเห็นความจริงของสภาพธรรมซึ่งต่างกันแต่ละทาง ทางตาก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นสีสันต่างๆ ทางหู ก็เป็นแต่เพียงเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงปรากฏเมื่อไหร่ มีลักษณะตรงกันข้ามกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กลิ่นก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง รสก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เย็นร้อนอ่อนแข็งนี้จริงๆ กำลังปรากฏ เราก็พูด กำลังปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แต่ถึงกาลที่เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติ สัมปชัญญะ คือสติระลึกได้ คือรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ เพราะถ้าไม่ระลึกตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ลืมที่จะรู้ว่า ปัญญาความเห็นถูกก็คือเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแต่ละลักษณะ โดยที่ว่าไม่มีเราจะปฏิบัติ หรือว่าเราจะบังคับ เพราะว่าถ้าเป็นเราก็คือผิด เข้าใจผิดว่าธรรมเป็นเรา แต่ถ้ามีการรู้ว่าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจมาก่อนค่อยๆ เข้าใจขึ้น ต่อไปฟังอีกก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญาไปในขณะนั้น ปัญญาเริ่มที่จะละโลภะ ความเป็นเราที่จะทำ อันนี้เป็นสิ่งที่ละเอียด และก็ต้องรู้ว่าที่ธรรมจะต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่าเราเคยสะสมความไม่รู้กับความติดข้องความต้องการในทุกสิ่งทุกอย่างมามากมาย เพราะฉะนั้นพอฟังธรรมก็ไม่ละเว้นที่อยากจะรู้ความจริงของธรรม แต่นั่นยิ่งช้า เพราะว่าไม่ใช่หนทาง ขณะนั้น โลภะครอบงำ โดยที่ว่าไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นโลภะที่กำลังอยาก โดยที่ว่าไม่ได้รู้ว่าขณะนี้ธรรมปรากฏอย่างนี้แหละ ปัญญาก็รู้ความจริงอย่างนี้แหละ จะรู้สิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้ แต่กว่าจะถึงขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด และปัญญายังจะต้องเจริญอีกมากจนกว่าจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม นี่เป็นหนทางละ แต่ถ้าหนทางจะทำก็คือว่า เป็นหนทางของโลภะ เป็นมิจฉามรรค

    ผู้ฟัง ดิฉันคิดว่ายาที่ทานอยู่ทุกวันนี้ยังอ่อน เพราะฉะนั้นมันก็ยังไม่ได้ระบายออก ที่ว่าอ่อนเพราะอะไร เพราะว่ายังเข้าใจผิดอยู่ จากที่ว่าพอฟังธรรมเเล้ว ทำไมเราไม่ดีขึ้นนะ ทำไมเรายังชอบอาหารอร่อย ยังอยากสวยงาม แล้วก็ยังติดอย่างนี้เสมอ ก็เหมือนกับว่าฟังธรรมมาแล้วมันไม่ได้ผลเลย จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างตรงนี้ก็คือเข้าใจผิดใช่ไหม ที่จะมีตัวตนที่จะไปละสิ่งต่างๆ เหล่านี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปกติคือลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม แล้วท่านอาจารย์ก็บอกว่าก็ฟังธรรมเเล้ว แต่ยังหาตัวธรรมไม่เจอ เพราะยังไม่เข้าใจเลยว่าอะไรเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ จะรู้ว่า สะสมความไม่รู้มามากแค่ไหน ก็คือขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแม้ฟังก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม เรียกว่าสามารถที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา คลายความติดข้อง ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเหมือนกันหมด จากไม่มีไม่ปรากฏ แล้วก็เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะแยกออกเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละทางจริงๆ ปะปนกันไม่ได้เลย และต้องปรากฏทีละอย่าง เมื่อสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นปรากฏ สิ่งนั้นหมดแล้ว สิ่งอื่นจึงจะเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ว่ามีสิ่งนั้น ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ จะมีความติดข้องในสิ่งที่มีเพียงชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดไปเลยไม่กลับไปอีกเลยได้ไหม แต่นี่ก็คือขั้นฟัง และขั้นพิสูจน์ความจริงก็คือว่า แม้กำลังฟัง แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ อยู่ที่ว่าได้อบรมความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏแม้เพียงเล็กน้อย แต่เริ่มที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจขึ้น เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การศึกษาหรือศาสนา มี ๓ ขั้น ปริยัติคือขั้นฟังถ้าไม่อาศัยการฟังจะไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม เพราะว่าเมื่อมีการฟังแล้วมีความเข้าใจแล้ว ไม่คลาดเคลื่อนด้วย มีความมั่นคงเป็นสัจจญาณ ก็จะทำให้มีการระลึกได้ ซึ่งไม่ใช่เรา แม้จะมีข้อความว่า สัมมาสติ หรือว่าสติปัฎฐานก็ตามแต่ แต่ให้ทราบว่าขณะนั้นเป็นสภาพที่ระลึก เลือกไม่ได้เลย จะให้ระลึกขณะไหน จะให้ระลึกอะไร จะให้ระลึกเมื่อไหร่ เหมือนกับสภาพธรรมทั้งหมด ไม่มีใครไปเลือกให้สิ่งนั้นเกิดหรือไม่เกิด แต่เมื่อมีปัจจัยสิ่งนั้นจึงเกิด ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะเข้าใจว่าสติปัฎฐานไม่ใช่สติขั้นฟังเข้าใจ แต่เป็นขั้นที่กำลังรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าความจริง ลักษณะของธรรมต้องปรากฏตามเหตุตามปัจจัย ที่กายมีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว เมื่อมีสิ่งที่กระทบกายปสาท ขณะนั้นอะไรรู้อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นเรา หรือว่า เป็นสภาพธรรม เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วเป็นธาตุสามารถรู้สิ่งที่ปรากฏหรือลักษณะที่อ่อนลักษณะที่แข็งลักษณะที่เย็นที่ร้อน ถ้าไม่มีการฟัง จะไม่มีการรู้ตรงนั้น จะไม่มีความเข้าใจถูกขณะนั้น จะไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าธรรมดาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏได้ ต้องมีธาตุรู้หรือสภาพรู้ซึ่งเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม เมื่อเกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดทางตาหรือทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ถ้าไม่มีการฟังอย่างนี้ ความรู้ขั้นที่สูงกว่านี้คือปฏิปัตติก็มีไม่ได้ ก็จะมีแต่ปริยัติไม่มีปฏิบัติ ถ้าความรู้ขั้นปฏิบัติคือเริ่มที่จะรู้ลักษณะแต่ละลักษณะซึ่งปรากฏสั้นมาก ไม่ต้องกังวลว่าทำไมเรารู้นิดเดียว ทำไมเป็นปกติอย่างนี้เป็นธรรมดาอย่างนี้ ไม่ว่าความจริงต้องเป็นธรรมดา จนกว่าจะถึงกาลที่ประจักษ์ความจริงคือการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมนั้น เป็นปฏิเวธ ซึ่งความจริงต้องเป็นอย่างนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีพระอริยบุคคลเลย ถ้าไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นจากการฟัง ก็จะมีความเข้าใจความรู้ ๓ ระดับนี้ได้ถูกต้อง โดยที่ว่าไม่หลอกตัวเอง ถ้าเป็นขั้นปริยัติ ก็คือว่า แม้ขณะนี้มีแข็งก็ไม่รู้ตรงนั้น แม้ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ได้เข้าใจความจริงตรงนั้น แม้มีเสียงที่ปรากฏเกิดแล้วก็ดับไปก็ไม่รู้ตรงนั้น ก็ยังคงมีการลืมที่จะรู้ว่าลักษณะแต่ละลักษณะนั้นเป็นธรรมแต่ละอย่าง

    ผู้ฟัง เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว เราได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวถึง สังขารนิมิต คำว่าสังขารนิมิตนี้ก็คือปรมัตถธรรม ซึ่งเกิดอยู่ขณะนี้ และการที่เรามาฟังกัน อบรมเจริญสติปัฏฐานก็คือให้รู้ลักษณะของสังขารนิมิตนั้นเอง

    ท่านอาจารย์ นิมิต กำลังปรากฏ เพราะว่าถ้าไม่มีสภาพธรรมใดเกิดขึ้นมาเลย สิ่งนั้นก็จะปรากฎไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏก็หมายความว่ามีสภาพธรรมเกิดปรากฏ แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดปรากฏ ดับเร็วมาก เกินที่จะประมาณได้ ขณะที่ทรงแสดงไว้คือ รูปที่เป็นสภาวรูป รูปที่มีจริงรูปหนึ่ง มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ๑๗ ขณะนี้ก็คือถ้าจะเปรียบให้เข้าใจ จิตเห็นกับจิตได้ยินซึ่งปรากฏเสมือนพร้อมกัน แต่ว่ามีจิตที่เกิดดับขั้นจิตเห็นและจิตได้ยิน เกินกว่า ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปรูปหนึ่งดับแล้ว ที่เราคิดว่ายังมีทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างภูเขาต้นไม้หรืออะไรก็ตามแต่ ก็เป็นเพราะเหตุว่าสิ่งนั้นมีการเกิดดับสืบต่อดำรงสภาพให้ปรากฏเป็นนิมิตของสิ่งนั้น ให้จำได้ในรูปร่างสัณฐาน เช่นในขณะนี้ ถ้าไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏก็คือ นิมิต สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเหมือนไม่ได้ดับเลย และสัญญาความจำ ก็จำในรูปร่างสัณฐานของสิ่งซึ่งปรากฏทางตาในขณะนี้ตามปกติ ซึ่งถ้ามีการเข้าใจเรื่องการเกิดดับของสภาพธรรม ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็น รูปนิมิต นิมิตของรูปทางตา ซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน

    ก็อยู่ในโลกของนิมิต คือสิ่งที่มีปรากฏ แต่ว่าความเป็นจริงก็คือว่าสิ่งนั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา จึงใช้คำว่า สังขารนิมิต นิมิตของสังขารทั้งหลายซึ่งมีการเกิดขึ้นปรากฏ

    พระคุณเจ้า ในเรื่องของจิตเจตสิก ถ้าเกิดมีใครถามมาบอกว่าโลภจิต ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ประกอบด้วยเจตสิกกี่ดวงๆ อันนี้ เราตอบให้เขาไม่ได้เลย แล้วก็บอกว่าเอ๊ะ ทำไงดี มันเป็นข้อบกพร่อง

    ท่านอาจารย์ เขาต้องการทราบจำนวนดวงเพื่อจะนับหรือเพื่ออะไร

    พระคุณเจ้า ก็เขาก็ถามว่ามีเจตสิกเท่าไหร่ แล้วทำไมต้องมารุมอยู่ตรงนี้ด้วย

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่มารวม ไม่ได้ไปรวมอยู่ตรงกระดาษ หรือว่า ไม่ได้รวมอยู่ที่แถว แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัย จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ และการที่จิตจำแนกเป็นชาติและภูมิและประเภทต่างๆ ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จึงทำให้จิตต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอกุศลจิตต้องมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วถ้าไม่รู้ว่าเจตสิกมีจำนวนเท่าไหร่ เรานับไม่ถูกเพราะว่าเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภทก็จริง แต่ต้องรู้ตามสมควรว่า ถึงแม้ว่าเจตสิกมี ๕๒ แต่ต่างกันไปเป็น ๓ ประเภท คือ เจตสิกที่เป็นสาธารณะเกิดกับจิตส่วนใหญ่ หรือว่าต้องเกิดกับจิตแน่นอน เป็นอัญญสมานาเจตสิก อัญญสมานา หมายความถึงเจตสิกที่เสมอกับเจตสิกอื่น ซึ่งเกิดร่วมกัน อย่างความรู้สึกเฉยๆ ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นกุศล เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศล เกิดกับจิตภูมิอื่นก็ต้องเป็นภูมิอื่น จะเป็นภูมิกามาวจรไม่ได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อไปจำเพื่อที่จะตอบ หรือว่าตอบแลว คนนี้ขาดไปดวงหนึ่งหรือเปล่า ไม่หายไป ๒ ดวงอยู่แถวไหนไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าพระคุณเจ้าจะต้องมีความเข้าใจว่า นอกจากอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตแล้ว ยังมีเจตสิกอื่นเกิดกับอกุศลนั้นหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่จะต้องเข้าใจว่า เจตสิกที่เป็นอัญญสมานาเจตสิกก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือประเภทหนึ่ง ต้องเกิดแน่นอน มี ๗ ประเภทเป็นเจตสิกที่ต้องเกิดกับจิตทุกประเภท ภาพฟังอย่างนี้จะไม่มีการเว้นเลย ถ้าจะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอความกรุณาว่าให้มีการเข้าใจในสิ่งนั้นอย่างมั่นคงและชัดเจน ถ้าพูดถึงธรรมก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม ถ้าพูดถึงจิตต่างกับเจตสิกอย่างไร และเจตสิกที่ต่างกันเป็นประเภทๆ นั้นจำแนกเป็นอะไรเพราะอะไร เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงเจตสิกประเภทที่ เป็นอย่างเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกันเป็นอัญญสมานาก็ยังต่างกันเป็น ๒ พวก คือพวกหนึ่งต้องเกิดกับจิตทุกประเภท มีเจตสิก ๗ ประเภท ๗ ดวงก็ได้ ที่ต้องเกิดกับจิตทุกประเภท โลกกุตระจิตก็ต้องมีเจตสิก ๗ ดวงนี้ รูปฌานจิตก็ต้องมีเจตสิก ๗ดวงนี้ อกุศลจิตก็ต้องมีเจตสิก ๗ ดวงนี้ จึงชื่อว่า สัพพจิตตสาธารณ เจตสิก และถ้าพระคุณเจ้าจะจำไปทีละประเภทด้วยเหตุผล ก็อาจจะต้องคิดที่จะไม่ลืม แต่ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่คิดด้วยจำแล้วก็ไม่รู้ความหมายว่า หมายความว่าอย่างไร อย่างถ้ากล่าวถึง ผัสสเจตสิก ต้องรู้เลยว่า ทำไมเป็นผัสสเจตสิก และ ผัสสเจตสิกมีอะไรเป็นอารมณ ์ เมื่อเกิดกับจิตทุกประเภทได้ ผัสสเจตสิกก็มีอารมณ์ทุกประเภทได้ แล้วแต่ว่า ผัสสเจตสิกนั้นจะเกิดกับจิตอะไร นี่คือการที่จะ เข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่เป็นการที่จะจำเพื่อที่จะตอบ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ ถ้าพระคุณเจ้าจะค่อยๆ เข้าใจจะจำได้ทั้งหมดเอง ด้วยความเข้าใจด้วย ไม่ใช่จำแล้วเดี๋ยว ๒-๓ วันก็ลืม แล้วก็เหตุผลอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ จริงๆ แล้วทุกคนต้องจริงใจต่อการที่จะฟังธรรมคือ เพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เราไม่ได้มุ่งหมายว่าเราจะต้องไปจำทุกอย่างในพระไตรปิฏก หรือว่าในอภิธัมมัตถสังคหะ ซึ่งเรียบเรียงไว้ แต่หมายความว่าเราเป็นผู้ที่จริงใจที่ว่า ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ตามกำลังของสติปัญญา เราอาจจะเรียนจากตำราว่าจิตดวงนี้ประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ นั่นคือจากขั้นการฟังการอ่าน การรู้โดยขั้นปริยัติ แต่ว่าขณะนี้ใครรู้ผัสสเจตสิก พระคุณเจ้าแตะที่เก้าอี้ แต่ความจริงแล้ว ผัสสเจต สิกเกิดกับจิตทุกประเภท ไม่ใช่เวลาที่ไปสัมผัสเก้าอี้แล้วก็เป็นผัสสเจตสิก นี่คือ ความเข้าใจ ต้องละเอียดที่ว่า เมื่อสภาพธรรมเป็นนามธรรม ทั้งจิตและเจตสิก ไม่มีรูปร่างเลย แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ คือ ลักษณะของอารมณ ์โดยผัสสะกระทบอารมณ์นั้น ผัสสะเป็นนามธรรม ไม่ใช่ มือที่เอื้อมไปสัมผัสเก้าอี้ แต่ขณะใดก็ตามที่จิตเกิด ต้องมีผัสสเจตสิกกระทบอารมณ์ที่จิตรู้ ก็แยกกันไปเป็นลักษณะของจิตและเจตสิก ค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็ ๗ ดวง นี้ ก็ไม่ยากเลย วัน จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ยังจำได้ เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็น ๗ ก็ไม่ยากที่จะจำ แต่ชื่ออาจจะแปลก แต่ว่าจริงๆ แล้ว ความเข้าใจเดิมๆ ของเราก่อนศึกษา ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการคิดโดยที่ว่าไม่ได้ เข้าใจสภาพธรรม แต่เมื่อเข้าใจสภาพธรรมแล้วต้องทราบว่า ผัสสะไม่ใช่การ กระทบกันของ รูป กับ รูป แต่ต้องเป็นเจตสิกที่กระทบอารมณ์ เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกเกิดในแสนโกฏิกัปไม่หยุดเลย แล้วก็จะเกิดต่อไปอีก เพราะว่าทุกขณะที่จิตเกิด ต้องมีผัสสเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง อย่างเวลาเราเดินไปกระทบกับก้อนหิน

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญา ทำไมไม่พูดถึงเดี๋ยวนี้ กำลังกระทบ ทำไมต้อง เดินไปกระทบก้อนหิน

    ผู้ฟัง เพราะว่า กำลังจะถามท่านอาจารย์ถึงลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏคือเจ็บ

    ท่านอาจารย์ ทางที่จะรู้อารมณ์มีกี่ทาง ทางที่จะรู้อารมณ์มี ๖ อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีไหม หรือ ต้องไปเดินกระทบก้อนหิน ขณะนี้ก็มี เพราะฉะนั้น ทำไมถึงต้องไปยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้กำลังมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว ผัสสเจตสิกก็มี กายปสาทก็มี ทุกขเวทนาก็มีได้ หรือว่าสุขเวทนาก็มีได้ ทำไมต้องไปคิดถึงตอนนั้น ในเมื่อขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้จะเข้าใจมากกว่ากล่าวถึงสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้วหรือเปล่า ถ้าคุณสุกัญญา จับข้าว เจ็บไหม

    ผูฟัง จับข้าวนี้ก็ไม่เจ็บ

    ท่านอาจารย์ อะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง อาจจะเป็นความอุ่น ถ้าข้าวร้อนหรือนิ่ม

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ทำไมจะต้องไปเลือกว่าให้เจ็บปรากฏ แล้วแต่ว่าขณะนั้นอะไรปรากฏ ข้อสำคัญก็คือ ขณะนั้นมีปัจจัยที่อ่อนจะปรากฏแล้ว จิตกำลังรู้อ่อน และเราก็จะไปสงสัยว่าแล้วทำไมไปรู้อื่น เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าใจความเป็นอนัตตาของธรรมได้ แต่ถ้าเราตามรู้ หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว ถ้าอ่อนกำลังปรากฏ คุณสุกัญญาไม่ได้คิดถึงสุขหรือทุกข์ที่กระทบอ่อน เวลาที่เจ็บ ปรากฏ คุณสุกัญญาไม่ได้คิดถึงอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน นั่นคือการตามรู้ลักษณะของสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏให้รู้ ไม่ใช่เป็นนึกอ่อน ไม่ใช่เป็นนึกเจ็บ แต่สิ่งนั้น กำลังปรากฏให้รู้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจว่าปัญญาจะรู้ในสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ

    ผู้ฟัง แม้จะเป็นปัญญาขั้นฟังและขั้นเข้าใจ แล้วก็มีเราที่นุ่ม หรือว่าเราที่ร้องย่างนี้หรือ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า จากการฟัง ถ้าไม่ได้ฟัง เป็นเราแน่นอน เดี๋ยวตรงนั้นแข็ง เดี๋ยวตรงนี้นุ่มใช่ไหม ฝ่าเท้าฝ่ามือก็แล้วแต่ แต่เมื่อฟังแล้ว เริ่มเข้าใจว่า สิ่งนั้นปรากฏเมื่อกระทบ ถ้าไม่กระทบจะปรากฏไหม ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า มีอะไรอ่อนด้วยแข็งขณะนี้บ้าง มี ตรงไหน ตรงนี้ ที่กระทบ ไม่ใช่ทั้งตัว

    ผู้ฟัง ทีนี้ ถ้ากระทบก็คือทราบว่ามันก็อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว แต่ว่าลักษณะของเจ็บ มันเป็นการกระทบด้วย

    ท่านอาจารย์ ก็กำลังจับสิ่งที่นุ่ม แล้วก็เจ็บไม่ปรากฏ พอเจ็บ นุ่มหรือแข็ง ทำไมไม่ปรากฏ ใช่ไหม เมื่อกี้นี้คำถามแรกถามว่า ขณะที่เจ็บปรากฏ ทำไมอ่อนแข็งไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็ให้คุณสุกัญญาจับข้าว เจ็บไหม ไม่เจ็บ อะไรปรากฏ อ่อนหรือแข็งปรากฏ เพราะฉะนั้นความสงสัยของคุณสุกัญญาก็จะเปลี่ยนเป็นเวลาที่อ่อนแข็งปรากฏทำไม่เจ็บไม่ปรากฏ เรื่องอะไรที่จะต้องไปคิดในสิ่งที่ไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏทำไมไม่รู้ว่าขณะนั้นมีสภาพที่รู้อ่อน อ่อนปรากกฏเพราะมีสภาพที่กำลังรู้ในลักษณะที่อ่อน เวลาเจ็บปรากฏ ก็มีสภาพที่กำลังรู้ลักษณะที่เจ็บ บังคับไม่ได้เลยว่า จะให้รู้อะไร เมื่อไร เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมาก นี้คือการฟังธรรมและเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ละเอียดขึ้น

    ผู้ฟัง สักครู่ กล่าวเหมือนกับว่า ไม่ต้องไปคิดถึงอดีตอนาคต ไม่ต้องไปคำนึงถึง ตกลงไม่ต้องถามกันใช่ไหมเรื่องที่ผ่านมาแล้ว หรือว่าอดีต เอาตรงนี้เลยอะไรปรากฏ เอาตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เคยห้ามใครเลย มีใครบ้างไหมที่ไม่คิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว หรือว่าสิ่งที่ยังไม่มาถึง แต่ว่าถ้าจะรู้ความจริงจะเข้าใจว่าเป็นธรรม จะเข้าใจเมื่อไหร่ เพียงคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วว่า ขณะนั้น เป็นกุศลวิบาก หรือเป็นอกุศลวิบาก หรือว่าเป็นทุกขเวทนา หรือเป็นอะไรอย่างนี้ กับการที่ต่อไปพรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น เราจะต้องไปที่ไหนอย่างไร นั่นก็คือไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่เคยห้ามใคร แม้ในพระไตรปิฏกทั้งหมด ไม่มีคำว่า ห้ามเป็นอนัตตา ทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริงให้รู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงจะทำ ก็ลืมที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้นจึงมีหนทางเดียว สิ่งใดที่ปรากฎสิ่งนั้นเกิดแล้ว ไม่ใช่ไปทำให้เกิด หรือไม่ใช่อยากจะให้เกิดให้เป็นอย่างที่ต้องการ แต่สิ่งที่มีแล้วในขณะนี้ เป็นจริงทุกอย่าง และเวลาที่สติสัมปชัญญะไม่เกิดก็เพียงเข้าใจชื่อ ขณะนั้นชื่อโลภถ ขณะนั้นชื่อทิฏฐิ ขณะนั้นชื่อมานะ ทั้งๆ ที่ตัวสภาพธรรมอย่างนั้นๆ ก็เกิดดับแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จริงๆ ไม่ใช่ไปนึกถึงชื่อ ไปนั่งท่องนั่งจำ แต่ว่ามีลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งความรู้ต้องเจริญขึ้นตามลำดับด้วย ขณะนี้ ถ้าจะรู้ว่า เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ รู้ด้วยวิธีไหน หรือว่าไปจำมาจากตำราว่า ขณะที่เป็นกุศล ก็จะเป็นขณะที่มีความเข้าใจสภาพธรรมจากการได้ยินได้ฟัง ขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมที่เป็นกุศลระดับกามาวจร มีเจตสิกประกอบด้วยเท่าไหร่ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจลักษณะของธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำว่า ธรรม ประมาทไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ จนถึงทุกอย่างเป็นธรรมนั้นคือ ละความไม่รู้ กำลังระบายความไม่รู้ออกไป จนกว่าความไม่รู้จะหมด เพราะว่ามีความรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ อย่าเข้าใจผิด คิดว่าห้ามให้ทาน ห้ามรักษาศีล ห้ามคิดห้ามพูด ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ทุกอย่างขณะนี้ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย รู้ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง พอท่านจารกล่าวอย่างนี้บ่อยๆ จนกระทั่งดิฉันเข้าใจ เข้าใจว่าขณะนี้สภาพธรรมอะไรปรากฏ แม้ถึงจะคิดถึงอดีต หรือว่าอนาคตก็เป็นสภาพคิดนึกปัจจุบันขณะนี้คือคิดนึก ก็เข้าใจได้ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะหมดความเป็นเรา เพราะรู้จริง

    ผู้ฟัง เรื่องราวก็ไม่มีอะไร แต่สภาพคิดมีอยู่กับปัจจุบันตอนนี้ กราบขอบพระคุณ


    หมายเลข 13339
    22 มิ.ย. 2568