241 ติกิจฉสูตร
สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๒๔๑
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ติกิจฉสูตร ว่าด้วยยาถ่ายของพระอริยะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แพทย์ทั้งหลายย่อมให้ยาถ่าย เพื่อบำบัดอาพาธอันมีดีเป็นสมุฏฐานบ้าง เพื่อบำบัดอาพาธอันมีเสมหะเป็นสมุฏฐานบ้าง เพื่อบำบัดอาพาธอันมีลมเป็นสมุฏฐานบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยาถ่ายนั่นมีอยู่ เรามิได้กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่ายาถ่ายนี้นั้นแล ย่อมสำเร็จบ้าง ย่อมเสียผลบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เราจักแสดงยาถ่าย อันเป็นของพระอริยะ ที่สำเร็จผลอย่างเดียว ไม่เสียผล ที่สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดาอาศัยแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความแก่ ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความตาย ผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจ เธอทั้งหลายจงฟังยาถ่ายนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยาถ่ายอันเป็นของพระอริยะ ที่สำเร็จผลอย่างเดียว ไม่เสียผล ที่สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดาอาศัยแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด ... จากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจ
ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นชอบ ถ่ายความเห็นผิดออก และถ่ายอกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย ที่เกิดขึ้นเพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยออก ส่วนกุศลธรรมทั้งหลายมิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความดำริชอบ ถ่ายความดำริผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการเจรจาชอบ ถ่ายการเจรจาผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการงานชอบ ถ่ายการงานผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการเลี้ยงชีพชอบ ถ่ายการเลี้ยงชีพผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความพยายามชอบ ถ่ายความพยายามผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความระลึกชอบ ถ่ายความระลึกผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความตั้งใจมั่นชอบ ถ่ายความตั้งใจมั่นผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความรู้ชอบ ถ่ายความรู้ผิดออก ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความหลุดพ้นชอบ ถ่ายความหลุดพ้นผิดออก และถ่ายอกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย ที่เกิดขึ้นเพราะความหลุดพ้นผิดเป็นปัจจัยออก ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความหลุดพ้นชอบเป็นปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยาถ่ายอันเป็นของพระอริยะนี้นั้นแล ที่สำเร็จผลอย่าง
เดียว ไม่เสียผล ที่สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดาอาศัยแล้ว ย่อมพ้น
จากความเกิด ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความแก่ ผู้มีความตายเป็น
ธรรมดา ย่อมพ้นจากความตาย ผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความ
โทมนัสและมีความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความโศก ความร่ำไร
ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจได้
จบติกิจฉสูตรที่ ๘
ผู้ฟัง ที่กล่าวว่า บุคคลมีความเห็นชอบ แล้วก็ถ่ายความเห็นผิดออก อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ความเห็นชอบกับความเห็นผิด อันนี้ครอบคลุมถึงอย่างไร
ท่านอาจารย์ อย่างที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน คือเห็นผิดจากความเป็นจริง ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ เห็นผิดจากความเป็นจริงของสิ่งนั้น มีการเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนเป็นสัตว์เป็นวัตถุต่างๆ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นไม่เที่ยงเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เห็นผิดว่าเที่ยง ยังไม่เห็นการเกิดดับเลย เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปหมายความถึงอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นที่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจถูก ว่าสภาพธรรมเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ ก็ยึดถือสภาพธรรมที่มีที่ตน เป็นสักกายะ คือเป็นเรา ไม่ว่าจะเห็นจะได้ยินก็ตามแต่ ยังไม่มีความเห็นถูกว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นสภาพธรรมเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่ว่าฟังเพียงชื่อ แต่ต้องไตร่ตรอง ต้องคิดว่า แม้แต่คำว่า ธรรม เรามีความเข้าใจในความจริงของคำนั้นแค่ไหน เข้าใจถูกเพียงว่า ทุกอย่างที่มี เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม เข้าใจเพียงขั้นการฟัง แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าเมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ ขณะนี้อะไรเป็นธรรม มาแล้วก็เห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมนั้นหรือเปล่า นี่ก็เป็นความเห็นที่ต่างกันใช่ไหม ความเห็นถูกก็คือเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น เห็นผิดคือไม่เห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น แล้วก็มีการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเที่ยง เป็นตัวตน
ผู้ฟัง จากการฟังพระธรรม แล้วก็มีความรู้ความเข้าใจขั้นคิดนึกว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน แล้วก็ทุกอย่างเป็นธรรม แต่จริงๆ เรายังไม่ได้มีความประจักษ์ในลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ อันนี้จะกล่าวได้ไหมว่า เรามีความเห็นชอบ
ท่านอาจารย์ ธรรม ผู้ที่ฟังพิจารณาเข้าใจ ไม่ใช่เพียงจำ เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดที่มีความเข้าใจถูก ขณะนั้นเป็นปัญญาหรือเปล่า ถูกต้องเป็นถูก จะเป็นผิดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นไหนก็ตาม ต้องมีความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็คือว่าเข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจผิด
ผู้ฟัง ที่นี้ ในวันหนึ่งๆ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะการหลงลืมสติ ที่นี้เป็นไปได้อย่างไรว่า ความเห็นชอบในชีวิตประจำวันแม้แต่ขั้นพื้นฐาน หรือว่าขั้นเข้าใจ กับความเห็นผิด มันสะสมอยู่ด้วยกัน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่พร้อมกันใช่ไหม ไม่พร้อม ความเห็นถูกจะเกิดพร้อมความเห็นผิดไม่ได้ ความคิด ใครห้ามได้ไหม ห้ามไม่ได้ ความคิดมี ๒ อย่าง คือ คิดถูก กับ คิดผิด เพราะฉะนั้นขณะใดที่คิดถูก ขณะนั้นก็อาศัยการฟัง การคิด การพิจารณา จึงมีความเข้าใจหรือมีความคิดที่ถูกต้อง แม้ความเข้าใจถูกความคิดถูกในขณะนั้นก็เกิดเพราะการสะสมจากการได้ยินได้ฟังและไตร่ตรอง แล้วก็เมื่อมีปัญญาก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้น เพียงเข้าใจคำที่ได้ยิน แล้วก็มีสัญญาความจำไม่ลืม จึงทำให้คิดไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ว่าไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพียงแต่ว่าได้ฟังเรื่องราว แล้วก็เป็นปัจจัยสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้ไม่คิดเรื่องอื่น ในขณะที่เกิดคิดเรื่องสภาพธรรม แต่ตามความจริงธรรมเป็นสิ่งที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทุกวัน เป็นสภาพธรรมทั้งหมด ที่มีลักษณะต่างๆ กัน อันนี้เห็นด้วยไหม ทั้งหมด ทางตาเป็นสภาพธรรมลักษณะหนึ่ง เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทางหูเสียงมีจริง เป็นสภาพธรรมลักษณะอย่างหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจว่า ทั้งวัน เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับตลอดเวลา โดยไม่รู้ นี่เริ่มรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง แค่ฟังเรื่องของสภาพธรรม ทั้งๆ ที่สภาพธรรม กำลังเกิดดับ ตลอดวันตลอดเวลา ขณะนี้ก็ไม่ได้รู้เลย ด้วยเหตุนี้เพียงขั้นการฟังไม่พอ ต้องมีความเข้าใจว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ทำให้บุคคลที่ได้ฟังมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น หน้าที่ของปัญญาตรงกันข้ามกับโลภะ โลภะเป็นสภาพที่ติดข้องต้องการ หน้าที่ปัญญาก็คือว่ารู้ความจริง แค่ไหนก็แค่นั้น รู้เกินกว่านั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ก็รู้ว่ายังไม่มีปัจจัยพอ แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงแน่นอนสำหรับผู้ที่พิจารณาไตร่ตรอง ลองคิดถึง เพียงแค่ว่าไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วเกิดมีขึ้นปรากฏได้ โดยไม่มีใครบังคับบัญชาได้ แค่นี้ ถ้ามีปัญญาพอ อาศัยการฟังการไตร่ตรอง แล้วจะมีใครเป็นตัวตนไปทำอะไรได้ เพียงแค่สภาพธรรมที่ไม่นี้แล้วมี ปรากฏความเป็นอนัตตา ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น ถ้าปัญญาคม พอที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมประจักษ์ความเป็นธรรม แล้วจะไปทำอะไรได้ ไม่มีการที่จะมีความเป็นเราเป็นตัวตนที่จะไปทำอะไร เพราะรู้ว่าทุกๆ ขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดและดับไป แต่ต้องอาศัยการตรึก การพิจารณา แล้วก็มีสภาพธรรมปรากฏ ค่อยๆ น้อมไปที่จะรู้ความจริงว่า เป็นอย่างนี้ อย่างเสียงนี้ ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ใครทำได้ที่จะให้จากไม่มี แล้วเป็นมี ความเป็นอนัตตาต้องปรากฏชัดเจน เพราะฉะนั้นใครจะไปทำอะไร ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้ปัญญาก็สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกว่าธรรมเป็นธรรม จนกว่าจะถึงมั่นคงจริงๆ คือไม่มีธรรมไม่มีเรา แต่มีธรรม และก็มีสติที่กำลังรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะชินจนกว่าจะคลายความไม่รู้ จนกว่ายาถ่ายจะสำเร็จ อันนี้ก็ยาก เพราะว่าบางคนก็ยังไม่รู้ว่ายาถ่ายจริงๆ เป็นอย่างไร อาจจะมียาเยอะแยะ มองไปก็ยาที่โน่นก็ยา ที่นี่ก็ยา แต่อันไหนเป็นยาถ่ายจริงๆ ที่จะถ่ายความไม่รู้ ค่อยๆ ระบายความไม่รู้ออก
ผูัฟัง สติปัฐาน ๔ ที่ท่านอาจารย์ถามว่าคืออะไร สติก็คือการระลึกรู้ความเป็นจริงที่ปรากฏ ฐานทั้ง ๔ นี้ก็คือ กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน จิตตานุปัสนาสติปัฎฐาน และ ธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน นี่ก็คือตอบตามที่ได้ศึกษามาแล้ว ก็ความทรงจำ แต่สภาพธรรมจริงๆ หรือว่าสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏสติปัฎฐานคืออะไร นี่อยากจะขอคำอธิบายจากท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ โดยมาก คนจะได้ยินคำว่าสติปัฐาน มุ่งที่จะให้เข้าใจสติปัฎฐาน แต่ว่าขณะนี้ มีสภาพธรรมปรากฏหรือเปล่า ก่อนที่จะใช้คำว่า สติปัฐาน ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏแน่นอน มีความเข้าใจความเป็นธรรมของสิ่งที่ปรากฏว่าไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ แต่ลักษณะของธรรม แต่ละอย่างไม่ได้ปะปนกัน และก็ปรากฏแต่ละทาง เช่นขณะนี้ เห็น เห็นตลอด เมื่อเช้านี้ เมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ ต่อไปก็เห็นอีก แล้วก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏต่างๆ ให้เห็น ผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย จะไม่ใส่ใจสนใจว่า การรู้ความจริงก็คือรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของลักษณะนั้น เสียงไม่สงสัยใช่ไหม มีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น และก็ถ้ามีความสามารถที่จะเข้าใจถึงลักษณะของเสียงที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่คิดเรื่องเสียง เสียงมีจริง ซึ่งเสียงเกิดแล้วดับไป ถ้าเรามีความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแต่ละทาง จะต้องห่วงกังวลถึงสติปัฎฐานไหม เพราะเหตุว่าในขณะที่มีความเห็นถูกต้องขณะที่กำลังฟัง มีสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาเจตสิก ซึ่งเป็นความเห็นถูกแน่นอน ไม่ใช่เรา มีการตรึก วิตักกะเจตสิกเกิดร่วมกัน ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ มีวิริยะเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว แล้วก็มีสติเจตสิก และก็มีเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นลักษณะของสมาธิแน่นอน ตั้งแต่ขั้นของการฟัง ถ้าไม่มีการที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ ปรุงแต่ง จนกระทั่งเป็นการสามารถระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในความเป็นธรรมว่าเป็นธรรมจริงๆ เป็นลักษณะที่มีจริงๆ เท่านั้น จนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้น จะใช้คำว่าสติปัฎฐาน เมื่อเป็นสติสัมปชัญญะ ซึ่งกำลังรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ แล้วก็ตามปกติด้วย แต่ให้ทราบว่ากว่าจะปรุงแต่ง มีการที่ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งมีการระลึกได้ จนกระทั่งมีการค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งขณะนี้สามารถที่จะเข้าใจว่าลักษณะที่กำลังปรากฏนี้ เป็นเพียงธรรม นั้นคือสติปัฎฐาน
ท่านอาจารย์ อย่างลักษณะการเห็น เราเห็นตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เราเห็น เราก็คิดนึกว่าสิ่งนั้นคือสัตว์บุคคลตัวตน หรือว่าสิ่งของต่างๆ ทีนี้ ถ้าวันหนึ่งวันใดเราจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ปรากฏทางตา วันหนึ่งเราก็มีความรู้สึก เราใกล้จะบ้าหรือเปล่า ที่จะมองเห็นในสิ่งที่เดียวปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์ คลาดเคลื่อน ถ้าเราจดจ้อง ที่ฟังมาว่า เป็นธรรม อยู่ที่ไหน ที่ฟังว่ามีความเข้าใจขั้นฟัง จนกระทั่งสามารถค่อยๆ เข้าใจเป็นปกติ นี่ไม่ใช่การที่เป็นเราจดจ้อง แต่ให้ทราบถึงความต่างว่า การฟังธรรมนี้ จริงใจต่อการที่จะเข้าใจธรรม และธรรม คือสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นความจริงใจที่จะฟังให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นธรรมดา เป็นปกติ ไม่ใช่เราจดจ้อง ถ้าเราจดจ้อง มีเจตนาเกิดขึ้นใช่ไหมที่จะจดจ้อง แล้วก็มีเราด้วย จะเป็นมรรคองค์หนึ่งองค์ใด ไม่เป็นเลย แล้วทำทำไม เพราะความเห็นผิด เพราะฉะนั้นจะมีสัมมามรรค ๘ มิจฉามรรค ๘ แล้วก็มิจฉัตตะ ๑๐ สัมมัตตะ ๑๐ ความเป็นผิด ๑๐ และความเป็นถูก ๑๐ ซึ่งมาจากมรรค ๘ ซึ่งเป็นมิจฉามรรคและสัมมามรรค ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด คือการฟังธรรมไม่ใช่ฟังด้วยเราอยากเข้าใจ เราทำอย่างไรถึงจะพยายามเข้าใจ เพราะว่าความเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นการที่เริ่มเข้าใจตั้งแต่ต้น แล้วก็ไม่ละเลยไม่ละทิ้งคำหนึ่งคำใดที่ได้ยินได้ฟัง เช่น สิ่งที่มีกำลังปรากฏเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ เป็นธรรม แต่ละลักษณะ แค่นี้ ไม่ไปไหนเลย ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เพื่อว่าเราสามารถที่จะเข้าถึงความเป็นธรรมของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า แต่ถ้ามีเราจะจดจ้อง นี้ก็คือว่าลืมแล้วว่า ธรรมขณะนี้เกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมาก
ท่านอาจารย์ ถ้าบอกว่า เราไม่ได้ทำ แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ อย่างนี้ จริงๆ เลย เพราะว่าฟังมาก็รู้ว่ามันทำไม่ได้ แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดจริง
ท่านอาจารย์ เราบอกว่า ใครบอก แล้วใครไม่ได้ทำ ก็คือเราบอก แล้วก็บอกว่าอย่างไร บอกว่าเราไม่ได้ทำ ก็ยังคงเป็นเราทั้งหมด ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะปัญญาของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ ทรงแสดงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นจะปรากฎได้อย่างไร แค่นี้เราคิดหรือเปล่าว่า ขณะนี้ ทุกอย่างที่ปรากฏ เกิด แล้วก็ไม่มีใครไปบังคับด้วย อย่างเสียง ใครไปบังคับให้เกิด เกิดแล้วหมดไป ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาให้มีความเห็นถูก ไม่ไปที่อื่นเลย ความเห็นต้องถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรม แล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจากการฟังและไตร่ตรอง จนกระทั่งไถ่ถอนคือระบายความเห็นผิดออก ระบายความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเสมือนว่าไม่ได้ดับเลย แล้วก็เสมือนว่าไม่ได้เกิดขึ้นด้วย เสมือนว่ามีอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะให้เห็น นี่คือไม่รู้จักโลก โลกะ ตามความเป็นจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นโลก เพราะสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไป ต่างกับสภาพธรรมที่เป็นโลกุตตระพ้นจากโลก กำลังฟังก็กำลังเห็นด้วยใช่ไหม เป็นปกติ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ให้คุณสุกัญญาไปเข้าใจเรื่องอื่นที่ไม่มีจริงในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ ชีวิตประจำวันคือตรงนี้มีเห็น ก็มีได้ยิน แล้วก็มีคิด ความจริงมีมากกว่านี้อีก มีความรู้สึกต่างๆ ด้วย แต่ว่า มีความเข้าใจตามที่ได้ทรงแสดง หรือว่าฟังแล้วก็คิดอย่างอื่น แม้ว่าได้ฟังว่า ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและก็ดับไป ชั่วขณะที่เห็น สิ่งนี้ปรากฏ เมื่อไม่เห็น ก็มีแต่ความจำในสิ่งที่ปรากฏแล้ว และมีความคิดมีการปรุงแต่ง เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏ นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งเนื่องมาจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีใครไปห้ามใครคิด แต่ว่าให้รู้ตามความเป็นจริง นี่คือขณะนี้ กำลังฟังแล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏว่า ต้องมีเห็นแน่นอน แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏแน่นอน แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว ไม่ใช่ขณะเห็น เป็นขณะที่จิตเกิดดับสืบต่อ จนสามารถที่จะจำได้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นอะไร นี่คือจิตขณะนี้ แต่พอถึงหลับสนิท ไม่มีเหลือเลย เพราะว่าจิตไม่ได้ทำหน้าที่เห็น จิตไม่ได้ทำหน้าที่จำ จิตขณะนั้นไม่ได้คิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นลืมหมด เหมือนไม่เคยเห็นในขณะที่กำลังหลับสนิท ไม่มีเรื่องใดๆ เลย แต่พอตื่น เห็นอีกก็มาอีก นี่คือชีวิตจริงๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้เห็นความจริงว่า แต่ละขณะเป็นสภาพธรรม แต่ละอย่างมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะไปคิดเรื่องอื่น เรื่องนิวรณ์ หรือว่าเรื่องปฏิจจสมุปปาทหรืออะไร แต่ว่ากำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจ ฟังแม้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจ แม้เพียงลางๆ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็ว ไม่มีใครสามารถจะประมาณได้ จนกระทั่งการเกิดดับไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นกว่าใครจะได้ฟังพระธรรม และก็สะสมความเห็นถูกจากชาติก่อนๆ ที่ได้เคยฟังมาแล้ว จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ผู้นั้นก็จะมีปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับขั้น ขณะนี้ ยังไม่ทันที่จะคลายความไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ เพราะติดกันเเล้ว ใช่ไหม มีสิ่งที่ปรากฏ กับ มีความคิดเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนแยกไม่ออกเลย แต่ว่าความจริง เป็นจิตแต่ละประเภท แล้วก็เกิดแล้วก็ดับสืบต่อทีละ ๑ ขณะ จะพร้อมๆ กันหลายขณะไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า แม้สิ่งนี้จะปรากฏเหมือนมายา ไม่มีใครจะรู้ความจริงได้ แต่จากการตรัสรู้และการทรงแสดงธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำให้ผู้ที่ฟังได้เริ่มมีความเข้าใจ ขั้นฟัง แม้ขั้นฟังก็ต้องพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นไม่รู้ไม่เคยได้ฟังเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย เป็นอะไรก็ไม่รู้ เกิดดับสืบต่ออย่างไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าเมื่อเริ่มฟัง ก็มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็รู้ว่า ปัญญามีหลายระดับ ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ขั้นฟัง ปัญญาขั้นต่อๆ ไปเจริญไม่ได้เลย ที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ที่จะมีการละคลายความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏก็มีไม่ได้ เพราะเหตุว่าเพียงคิด แต่ว่าตัวจริงๆ ของธรรม กำลังเกิดดับ ก็ทั้งวันทั้งคืน ทุกขณะในชาติหนึ่งๆ ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับตลอดเวลา ตลอดวันตลอดคืน แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมไม่ใช่ใจร้อน แต่ได้ยินได้ฟังแล้วพิจารณาว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ผู้ที่ทรงแสดงไม่ใช่ผู้ไม่รู้ เป็นผู้ที่ทรงประจักษ์ความจริงถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงขั้นฟัง เริ่มมีความเข้าใจนิดหน่อยใช่ไหม ถูกต้องใช่ไหม แล้วก็ถ้าฟังต่อไปความเข้าใจนี้จะเพิ่มขึ้นได้ เพราะว่ามีการไตร่ตรองการฟังที่ละเอียดขึ้น นี่คือการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ว่าแล้วเมื่อไหร่เราจะรู้ แล้วทำอย่างไร แล้วเราจะไปจ้อง นั่นคือไม่รู้ว่ายาชนิดไหนเป็นยาถ่ายหรือยาระบายเชื้อโรคของความไม่รู้ หยิบยาผิดก็ลำบากเลย