กุณฑลิยสูตร


    สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๑๘๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘


    กุณฑลิยสูตร

    ตถาคตมีวิชชาและวิมุตติเป็นผลานิสงส์

    สมัยหนึ่ง กุณฑลิยปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง กำลังกล่าวถ้อยคำมีวาทะและการเปลื้องวาทะว่าดังนี้เป็นอานิสงส์ และมีความขุ่นเคืองเป็นอานิสงส์ ส่วนท่านพระโคดมมีอะไรเป็นอานิสงส์อยู่เล่า? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ดูกรกุณฑลิยะ ตถาคตมีวิชชาและวิมุตติเป็นผลานิสงส์อยู่

    ดูกรกุณฑลิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปที่ชอบใจด้วยจักษุแล้ว ฯลฯ ภิกษุฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ ดมกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ที่ชอบใจด้วยใจแล้ว ย่อมไม่ยินดี ไม่ขึ้งเคียด
    ไม่ยังความกำหนัดให้เกิด และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว อนึ่ง เธอรู้ธรรมารมณ์ ที่ไม่ชอบใจด้วยใจแล้ว ไม่เก้อ ไม่มีจิตตั้งอยู่ด้วยอำนาจกิเลส ไม่เสียใจ มีจิตไม่พยาบาท และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว.

    ดูกรกุณฑลิยะ อินทรีย์สังวรอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
    ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์.

    ดูกรกุณฑลิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญกายสุจริตเพื่อละกายทุจริต เจริญวจีสุจริตเพื่อละวจีทุจริต เจริญมโนสุจริตเพื่อละมโนทุจริต สุจริต ๓ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์.

    ดูกรกุณฑลิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

    ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
    ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.

    ดูกรกุณฑลิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัย
    วิเวก อาศัยวิรา อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิรา อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้สมบูรณ์.

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว กุณฑลิยปริพาชกได้กราบทูลพระผู้มี
    พระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
    จบ กุณฑลิยสูตรที่ ๖

    อ. อรรณพ ปัญญาและความหลุดพ้น จะถึงได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเพียงนักคิดนักตรึก ก็เป็นเพียงคุยกันแล้วก็ลงเอยด้วยความขัดแย้งกัน เกิดความขุ่นใจเป็นผลเป็นอานิสงส์ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และสามารถแสดงได้ว่า การจะถึงปัญญา แล้วก็ถึงซึ่งความหลุดพ้นได้นั้นก็ต้องมีการอบรมเจริญกุศลธรรม อบรมเจริญปัญญา ตั้งแต่ขั้นต้นเลย ตั้งแต่การสำรวมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยที่ไม่หวั่นไหว เป็นไปด้วยความติดข้อง หรือด้วยความขุ่นเคือง แม้ในขั้นต้น สิ่งใดที่เมื่อเห็นแล้วเป็นอกุศล เมื่อได้ยินแล้ว เมื่อได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส หรือคิด นึกถึงเรื่องที่ไม่เป็นกุศล อย่างเช่นเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้เราเกิดโลภะ หรือทำให้เราเกิดโทสะโมหะเหล่านี้ คือ สิ่งที่ทำให้อกุศลเจริญในแต่ละวัน แต่ถ้ามีการสำรวมทางตาหู จมูกลิ้นกายใจ ในทุกระดับ แม้แต่ในระดับขั้นต้นที่จะไม่เป็นอกุศล ในการเห็น จนกระทั่งถึงการคิดนึก ก็เป็นผู้ที่สำรวมอินทรีย์ หรืออินทรีย์สังวร เพราะฉะนั้นก็จะเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้นที่จะค่อยๆ มีกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เพิ่มขึ้น แล้วก็เป็นผู้ที่สะสมการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นไปเพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเห็นประโยชน์ที่จะไม่เป็นอกุศล ในเมื่อเห็นในเมื่อได้ยินจนกระทั่งคิดนึก ก็เป็นผู้ที่มีกายวาจาใจที่ค่อยๆ ดีขึ้น พร้อมไปกับการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แล้วผู้ที่มีความเป็นสุจริตทางกายวาจาใจเพิ่มขึ้น ก็เป็นผู้ที่สติปัฐานก็ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้น จนกระทั่งสติปัฏฐานนั้นมีกำลังเพิ่มขึ้น องค์แห่งการตรัสรู้นั้นก็ค่อยๆ บ่มขึ้น ถ้าถึงขั้นที่เต็มที่ ก็เป็นไปเพื่อปัญญาในขั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา แล้วก็ถึงซึ่งความหลุดพ้น คือประจักษ์ในลักษณะของพระนิพพาน เพราะฉะนั้นการที่จะถึงซึ่งปัญญาขั้นสูง แล้วก็จะหลุดพ้นก็จะต้องมีเหตุมีการอบรมเจริญกุศลธรรมในขั้นต่างๆ นี่ก็คือในพระสูตรนี้

    ท่านอาจารย์ ผลของการสนทนาธรรม และการฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็จะทำให้เรามีความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น แต่ว่าจะเห็นความละเอียดแม้แต่สูตรสั้นๆ ก็จะต้องอาศัยการฟัง หรือการอ่าน หรือการสนทนา การไตร่ตรอง ให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ว่า พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ คือวิชชา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นอวิชา แม้สภาพธรรมมี ทางตาเห็นทางหูได้ยิน แต่ก็ไม่ได้รู้สัจจะคือความจริงของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม เพื่อให้มีความเข้าใจจริงๆ มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะหลุดพ้นจากความเห็นผิดและความไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้นยากไหม แต่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะท้อถอย เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมปรากฏ แล้วก็มีพระธรรมที่ทำให้ได้ยินได้ฟังค่อยๆ พิจารณาจนกว่าจะเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูก

    พระสูตรนี้ละเอียดไหม แล้วก็ยากไหม ไม่ใช่ว่าเพียงแต่เราฟังแล้วก็จบไปแล้ว แต่ได้อะไรจากการที่ได้สนทนาธรรมในพระสูตรนี้ คือเห็นว่า เป็นเรื่องของสัจจะ ความจริงทุกขณะ แต่ว่าอวิชชาไม่สามารถจะรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงนั้นได้ ต่อเมื่อไหร่ที่มีการฟัง กว่าจะเข้าใจถูกตามที่เราฟังตั้งแต่ต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แค่นี้ ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะเหตุว่าถามโดยชื่อบอกได้ว่าอะไรเป็นธรรมบ้าง แต่ถ้าลักษณะจริงๆ ที่เป็นธรรม ขณะนี้เดี๋ยวนี้ คืออะไร อันนี้ก็เป็นสิ่ง ซึ่งแต่ละคนก็จะต้องพิจารณาเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ลักษณะของสุจริต ๓ ที่ได้อ่านพระสูตร ก็ไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจได้ง่ายๆ หรือว่าประจักษ์ในง่ายๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบว่ามี ๓ อย่างคือ กาย วาจา ใจ สุจริตแค่กายวาจา หรือว่าต้องถึงใจด้วย นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องพิจารณา ไม่ใช่ว่าเราแค่กายไม่กระทำทุจริตก็คือสุจริตแล้ว หรือว่า วาจาไม่กล่าวว่าวจีทุจริตก็เป็นสุจริตแล้ว ยังมีมโนสุจริตด้วย นี่เป็นความละเอียดขึ้นที่แสดงให้เห็นว่า การที่จะมีความรู้ถูกต้องจริงๆ จนสามารถที่จะมีวิมุตติความหลุดพ้นจากอกุศลทั้งหลายได้ เป็นสมุจเฉท ต้องอาศัยความเห็นถูกความเข้าใจถูกจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อสุจริตมี ๓ แล้วทุกคนก็รู้จักแต่กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตยังไม่ได้รู้จัก เพราะฉะนั้นในขณะที่กายไม่ประพฤติผิด ใจเป็นอย่างไร เป็นทุจริต หรือว่าเป็นสุจริต ในขณะที่กายไม่ได้กระทำทุจริตเลย ขณะนั้นใจเป็นสุจริตหรือทุจริต นั่งเฉยๆ ขณะนี้ ทุกคนทำกายทุจริตหรือเปล่า ไม่ได้ทำ แต่มโนสุจริตหรือเปล่า ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นมโนสุจริต แต่ถ้าขณะใดเป็นอกุศล ขณะนั้นจะกล่าวว่า เป็นมโนสุจริตไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นความละเอียดที่จะรู้ว่า แม้กายวาจาเป็นไปตามจิตก็จริง แต่ก็มีระดับขั้นที่ต่างกัน ถ้าเป็นการล่วงศีล กายทุจริต เป็นอกุศลกรรมบถ ถ้าทางวาจาก็เป็นวจีทุจริต เป็นอกุศลกรรมบถ แต่ทางใจในขณะที่เกิดความขุ่นใจ หรือในขณะที่เกิดความพอใจ ไม่สุจริต เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดถึงทั้ง ๓ สุจริต ไม่ใช่แต่เพียงกายสุจริต หรือว่าวจีสุจริต เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า กว่าที่จะเป็น กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ครบถ้วนท่านใช้คำว่า บริบูรณ์ ไม่ได้หมายความว่าให้เราเพียงมีนิดๆ หน่อยๆ วันนี้กายสุจริต วจีสุจริต ละเว้นวจีทุจริตบ้าง แค่นั้นไม่พอ ต้องถึงความบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นความบริบูรณ์จะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีปัญญา ด้วยเหตุนี้ ก็เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ถูกเห็นถูก แม้ขณะที่ใจไม่สุจริตคือขณะนั้นเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง อย่างนี้แสดงว่ามโนสุจริตนี้ก็หมายถึงกุศลจิตทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ ระดับไหน เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด ไม่พ้นจากสติปัฏฐาน เพราะว่าสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จึงจะเป็นความเข้าใจธรรมที่ได้ยินได้ฟัง มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นเพียงเรื่องราว แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด ไม่พ้นนจากวิชชาและวิมุตติ คือจะทำให้เกิดปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท พระสูตรนี้สั้นมาก แต่ก็จากชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถึงการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ยิ่งฟังพระธรรมยิ่งเข้าใจความละเอียดขึ้น

    ท่านอาจารย์ หน้า ๒๐๙ รู้ธัมมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้คงที่ ไม่เสียใจ มีจิตไม่พยาบาท เพราะธัมมารมณ์ที่ชอบใจและไม่ชอบใจ

    ท่านอาจารย์ คงที่ คือ ขณะนั้นทั้งจิตและเจตสิกรู้อยู่ที่ลักษณะของอารมณ์นั้น ถ้ากำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะหวั่นไหวอะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นกำลังรู้และค่อยๆ เข้าใจถูกตามความเป็นจริง แม้แต่พยัญชนะที่แสดง ก็จะทำให้ผู้ที่ได้ศึกษาเข้าใจหนทางที่ถูกต้องว่า เป็นผู้ที่มีปกติ เห็นบ้างได้ยินบ้าง และสิ่งที่ปรากฏทางตาทางหู ก็มีทั้งสิ่งที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ ปกติหวั่นไหวนี่แน่นอน ไม่มีใครสามารถที่จะกันไม่ให้โลภะหรือโทสะเกิด แต่ขณะใดก็ตามที่สติสัมปชัญญ นามกายและจิตมั่นคงอยู่ที่อารมณ์ ขณะนั้น กำลังมีเฉพาะลักษณะนั้นกำลังปรากฏ ขณะนั้นไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้น ต้องเป็นเรื่องของการที่จะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม มิฉะนั้นแล้วจะมั่นคงอยู่ขณะนั้นได้อย่างไร ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งบางคนอาจจะเห็นว่า เป็นไปตามลำดับอย่างที่ทรงแสดงว่า อันนี้จะบริบูรณ์ได้อย่างไร เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้ แต่ความจริงในขณะนี้เดี๋ยวนี้ ก็คือว่าแล้วแต่ว่าขณะนั้นสติสัมปชัญญะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด จะไม่ให้จิตหวั่นไหวเป็นอกุศลไม่ได้ เมื่อจิตหวั่นไหว ขณะนั้นก็เป็นสุจริตไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเพราะเหตุว่ามีอินทริยสังวรจึงสามารถที่จะทำให้สุจริต ๓ ถึงความบริบูรณ์ได้ในที่สุด วันนี้อาจมีสุจริตทางกายทางวาจา นิดๆ หน่อยๆ ไม่บริบูรณ์ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่ให้เพียงเล็กน้อยไม่บริบูรณ์ แต่แสดงให้เจริญมั่นคง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แต่ต้องด้วยความรู้และความเข้าใจ เวลาที่ฟังพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองและสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือพระธรรมที่ทรงแสดงในเรื่องนั้นๆ นั่นเอง ไม่ใช่ว่าแสดงเปล่าๆ แล้วไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เข้าใจได้ แต่ขณะใดก็ตามที่ตรัสพระธรรมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดฟัง หมายความว่าขณะนั้นมีสภาพธรรมปรากฏ และคนนั้นกำลังฟังเรื่องสภาพธรรมนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของบุคคลนั้นว่าสามารถที่จะเข้าใจได้แค่ไหน ที่จะรู้ลักษณะของสุจริตและทุจริตที่เป็นมโนสุจริตและมโนทุจริต

    ผู้ฟัง สุจริต ๓ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้วย่อมยังสติปัฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ จากตรงนี้ คือที่ได้ยินกัน กล่าวๆ มา ก็คงจะเคยพูดกันอยู่แล้วล่ะว่าเหมือนกับว่า ทางกายวาจาต้องให้สุจริตก่อน สติปัฏฐานถึงจะเกิดได้ ถ้าอย่างนั้นขณะนี้ ถ้าดิฉันกายวาจายังไม่สุจริตจริงๆ ก็อบรมเจริญสติปัฎฐานไม่ได้น่ะสิ ถ้าเผื่อเข้าใจกันอย่างงั้น แต่นี้ที่ดิฉันเข้าใจว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่า ขณะที่สติปัฐานเกิดแน่นอนตรงนี้ กายวาจาต้องสุจริตตรงนี้ จะเป็นอย่างนี้แน่นอนใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ กายวาจาเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ตอนนี้ ดี เพราะสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เวลาที่เราฟังธรรมทั้งหมด ถามจริงๆ ว่าเข้าใจแค่ไหนในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เข้าใจเรื่องเล็กน้อยหรือว่าทั้งหมด แต่ที่ยังไม่เข้าใจก็คือลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจเรื่องราวไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แม้แต่ข้อความที่กล่าว เช่นขณะนี้ถามว่า เป็นสุจริตหรือเปล่า ตอบตามตำราได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงตอบได้ไหม ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด อินทริยสังวรไม่มี จะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้ที่จะตอบว่า เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ก็ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นฟังเรื่องราวของสภาพธรรม แต่รู้และเข้าใจธรรมที่กำลังฟังแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ พระสูตรนี้ประมวลแล้วก็คือว่า เป็นเรื่องของการเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง สุจริตจึงบริบูรณ์ได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีอินทริยสังวร ไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ จะตอบได้อย่างไรว่า สุจริตหรือไม่สุจริต ใช่ไหม ก็ตอบเพียงเรื่องราวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมคำว่าบริบูรณ์ ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ถ้าสติสัมปชัญญะขณะนี้กำลังเกิด กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่กำลังปรากฏ เล็กน้อยหรือบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นยิ่งฟังก็ยิ่งจะเข้าใจว่าความบริบูรณ์ต้องหมายความถึง ความสามารถที่จะมีความคงที่ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งขณะนั้น จะไม่ยินดียินร้ายในสิ่งที่กำลังปรากฏได้ จนกว่าจะดับกิเลสได้หมดเป็นสมุทเฉท

    เพราะฉะนั้นก็ชีวิตจริงๆ ในขณะนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ กำลังฟังเข้าใจระดับไหน เข้าใจอะไร แม้แต่เรื่องสุจริต ๓ แม้แต่เรื่องอินทริยสังวร แม้แต่ในเรื่องของโพชฌงค์ เหล่านี้เป็นต้น ต้องเป็นความเข้าใจตั้งแต่ขั้นต้นจริงๆ แล้วก็สัมพันธ์กันเกี่ยวข้องกัน ผู้ที่วันหนึ่งกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นกุศล สติปัฎฐานเกิดหรือเปล่าใช่ไหม ถ้าสติปัฐานไม่เกิด ไม่มีวันจะบริบูรณ์ เดี๋ยวๆ ก็มีอกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ว่าจะเป็น กายทุจริต หรือว่าวจีทุจริต หรือมโนทุจริต เพราะฉะนั้นพระสูตรนี้แสดงให้เห็นถึงความบริบูรณ์ด้วยวิชชาและวิมุตติ ก็เป็นเรื่องที่ว่าจะขาดกายสุจริตไม่ได้ แต่ว่า ถึงแม้มีกายสุจริต แต่ถ้าไม่มีอินทริยสังวร ก็ไม่สามารถที่จะถึงมโนสุจริตได้ และขณะที่มีกายสุจริต มโนสุจริต วจีสุจริต และมีสติปัฎฐาน กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ก็จะค่อยๆ ถึงความสมบูรณ์ขึ้น แต่ถ้าปราศจากอินทริยสังวร ปราศจากปัญญา อย่างไรๆ สุจริต ๓ ก็บริบูรณ์ไม่ได้ ไม่ใช่มีใครมุ่งไปตั้งใจทำให้สุจริต ๓ บริบูรณ์โดยไม่มีอินทริยสังวรเลย นี่ก็คือเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจเหตุผลว่า เป็นไปไม่ได้ ถึงความบริบูรณ์ไม่ได้ ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น

    ผู้ฟัง ดิฉันมีความมั่นใจตรงนี้ก็คือว่า ก็ขณะที่อกุศลจิตเกิด สติปัฏฐานก็ระลึกได้

    ท่านอาจารย์ เพื่อความบริบูรณ์ เพราะเหตุว่า ตอนที่เป็นอกุศล เป็นมโนทุจริต แต่จะถึงความบริบูรณ์ได้ เมื่อมีปัญญารู้ความจริงว่า ขณะนั้น ก็ไม่ใช่เรา จนกว่าจะละอกุศลหมด

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่า จะต้องไม่มีอกุศลเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะกล่าวแล้วว่า เหตุที่จะให้สมบูรณ์ คืออินทริยสังวรศีล

    ผู้ฟัง ตรงนี้ที่ดิฉันมั่นใจเลยก็คือสติปัฏฐานระลึกอกุศลได้ เพราะฉะนั้นก็สบายๆ หมายความว่า ไม่ใช่ว่าจะต้องไม่มีอกุศลแล้วเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไร

    อ. ธิดารัตน์ ขออนุญาตเพิ่มเติมในคำถามของคุณบง ก็จะมีข้อความในพระสูตรที่ว่าด้วยบุคคลผู้ที่เป็นพระเสกขะนี้ ท่านก็อธิบายว่า เพราะอบรมสติปัฐานได้บางส่วน อธิบายว่า คือผู้ที่กำลังทำมรรค ๔ และผล ๓ ให้เกิดขึ้น พระอเสกขบุคคลคือผู้ที่เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้บริบูรณ์ ตรงนี้ก็หมายถึงอรรถกถาขยายความว่า ผู้ที่กำลังทำอรหัตตผลให้เกิดขึ้น ชื่อว่าอบรมสติปัฐานได้บริบูรณ์ เพราะฉะนั้นข้อความตรงนี้ก็ชัดเจน ความบริบูรณ์ของสติปัฏฐานทั้ง ๔ คือต้องเป็นพระอรหันต์ และท่านก็หมายถึงอรหัตตผลด้วย

    ผู้ฟัง ขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์เพิ่มเติม ในที่นี้ที่พระพุทธพจน์ทรงแสดงไว้ อินทริยสังวรนี้ก็คือสติปัฎฐานหรือ

    ท่านอาจารย์ แสดงโดยพยัญชนะ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการสังวรอินทรีย์ แล้วสติจะไปรู้อะไร เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาธรรมก็ควรเข้าใจอย่างนี้ด้วย เพราะว่าสติปัฎฐานคือรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่จะปรากฎได้ต้องทางทวารหนึ่งทวารใด เมื่อปรากฏแล้ว ก็สังวรที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นในขณะนั้น

    ผู้ฟัง อย่างสุจริต โดยทั่วไปเราก็เข้าใจกันว่า มีกายวาจาที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แล้วก็จิตใจก็มีความคิดนึกที่ดี แต่ว่าเราไม่ได้เบียดเบียนคนอื่น แต่ว่าโลภะความพอใจในกิเลสของตัวเองที่เกิดขึ้น ในวันหนึ่งๆ มีมาก แล้วเราก็พอใจอยู่ในอารมณ์นั้นๆ มันก็ไม่ได้ทำให้เป็นมโนสุจริต หรือว่าอะไรพวกนี้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นกายวาจาในเบียดเบียนคนอื่น แล้วคุณสุกัญญาจะเบียดเบียนคนอื่นด้วยใจหรือเปล่า หรือทำอย่างไร โดยสภาพจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เรามีความรู้สึกว่าเราไม่ได้เบียดเบียนใคร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกายเบียดเบียนได้ วาจาเบียดเบียนได้ แต่ใจจะเบียดเบียนคนอื่นได้อย่างไร นอกจากเบียดเบียนตนเอง เพราะเป็นอกุศล คุณสุกัญญาลองเบียดเบียนคนอื่นด้วยใจ เขาเดือดร้อนหรือเปล่า กายวาจานี้ เบียดเบียนได้แน่ใช่ไหม จึงเป็นกายทุจริตวจีทุจริต ส่วนใจที่เป็นอกุศล ไม่ได้เบียดเบียนคนอื่น แต่เป็นอกุศลจึงเป็นทุจริต ด้วยเหตุนี้ธรรมไม่ใช่เพียงแต่ว่าให้เรามีอกุศลเต็มที่อย่างเดิม แต่เว้นไม่กระทำกายทุจริตวจีทุจริตเท่านั้น นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์ต้องทรงสอนให้บุคคลอื่นสามารถที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉทด้วย ไม่ใช่เพียงแค่กายสุจริต วจีสุจริต



    หมายเลข 13294
    23 มิ.ย. 2568