อารมณ์ของจิต


        ผู้ฟัง ขอเรียนถามเรื่องอารมณ์ของจิต คือ จิต ๑ ขณะเกิดขึ้นก็ต้องรู้อารมณ์ ทีนี้จิตขณะต่อไปที่เกิดต่อ จะต้องมีอารมณ์เดียวกับจิตขณะที่เพิ่งดับไป เป็นไปได้หรือเปล่า

        ท่านอาจารย์ ก็ถามกว้าง แต่จะต้องรู้ว่า ขณะนั้นกล่าวถึงจิตอะไร ขณะไหน เช่น ถ้ากล่าวถึงปฏิสนธิจิต เกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป ซึ่งเป็นผลของกรรมเดียวกัน เป็นวิบากจิตเกิดสืบต่อทำภวังคกิจ มีอารมณ์เดียวกัน แต่เวลาที่ภวังคจิตดับหมดแล้ว ภวังคุปัจเฉทะดับแล้ว จิตซึ่งเกิดต่อ ไม่ได้มีอารมณ์เดียวกับภวังคุปัจเฉทะ ซึ่งเป็นภวังค์สุดท้ายของกระแสภวังค์ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียด แล้วต้องรู้ว่า ที่ถามนี่หมายความถึงขณะไหน จิตประเภทไหน ถ้าตอบไปก็ไม่ตรง ใช่ไหมคะ จะตอบว่ามีเหมือนกัน หรือไม่เหมือนกันก็ไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่า ที่เหมือนกัน คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต และภวังค์ทุกขณะก็มีอารมณ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนทั้งสิ้น ปฐมภวังค์ ภวังค์แรก ซึ่งเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิ หรือว่าภวังคุปัจเฉทะ กระแสภวังค์ขณะสุดท้าย ก็มีอารมณ์ของภวังค์ แต่จิตที่เกิดต่อจากภวังคุปัจเฉทะ ไม่ได้มีอารมณ์เดียวกับภวังคุปัจเฉทะ

        เพราะฉะนั้นคำตอบจะรวมๆ หรือปนๆ กันไม่ได้ ต้องชัดเจน

        อ.วิชัย ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องอารมณ์ของปฏิสนธิ และภวังค์ ซึ่งก็เป็นอารมณ์ก่อนจุติของชาติที่แล้ว ซึ่งก็มีอารมณ์เดียวกัน คือ ขณะปฏิสนธิจิตมีอารมณ์ก่อนจุติของชาติที่แล้ว ภวังคจิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์เดียวกัน แต่ขณะที่เป็นวิถีจิตเกิดขึ้น วาระจะเป็นทางปัญจทวารหรือทางมโนทวารก็ตาม ในวาระหนึ่งๆ ซึ่งวิถีจิตเกิดขึ้นเป็นไปในอารมณ์นั้น ตลอดวิถีจิตที่เกิดขึ้นมีอารมณ์เดียวกัน เพราะเหตุว่าอารมณ์มี ๖ อย่าง ก็คือ รูปารมณ์ ๑ สัททารมณ์ ๑ คันธารมณ์ ๑ รสารมณ์ ๑ โผฏฐัพพารมณ์ ๑ และธัมมารมณ์ ๑ ขณะใดก็ตามที่วิถีจิตเกิดขึ้นทางจักขุทวาร ตลอดนั้นตลอดทั้งวิถี จิตที่เกิดขึ้นต้องมีอารมณ์เดียวกันทั้งหมด ก็คือมีรูปารมณ์เป็นอารมณ์ ทางโสตทวาร ทางฆานทวาร ทางชิวหาทวาร ทางกายทวาร ซึ่งก็มีอารมณ์ทางทวารนั้นๆ ส่วนธัมมารมณ์ซึ่งเป็นอารมณ์รู้ได้ทางใจเท่านั้น ขณะที่มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวาร ชวนจิตที่เกิดสืบต่อ และตทาลัมพนจิตที่เกิดสืบต่อนั้น ก็มีอารมณ์เดียวกัน คือ วิถีจิตทางมโนทวารก็มีอารมณ์เดียวกัน แล้วแต่ว่าจะมีรูปารมณ์เป็นอารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ หรือว่ามีธัมมารมณ์เป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่าวิถีจิตทางมโนทวารรู้ได้ทั้ง ๖ อารมณ์

        ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ในแต่ละวาระของวิถีจิต ก็จะมีอารมณ์เดียวกันตลอด และถ้าเป็นธัมมารมณ์ก็จะมี ๖ อย่าง

        อ.วิชัย ธัมมารมณ์ก็คืออารมณ์ที่รู้ได้เฉพาะทางใจทางเดียว ก็มีจิต เจตสิก ปสาทรูป สุขุมรูป นิพพาน และบัญญัติ ธรรมเหล่านี้รู้ได้เฉพาะทางใจ

        ผู้ฟัง ซึ่งทางปัญจทวารที่รู้ได้ทางมโนทวารด้วย ก็ไม่นับเป็นธัมมารมณ์

        อ.วิชัย รูปารมณ์ก็ต้องเป็นรูปารมณ์ แม้จะรู้ได้ ๒ ทวาร ก็ต้องเป็นรูปารมณ์อย่างเดียว จะเปลี่ยนอารมณ์นั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่เป็นรูป ที่เป็นอารมณ์ รูปที่เป็นอารมณ์ คือ วัณณรูป สามารถรู้ได้ ๒ ทวาร อันนี้เรากล่าวถึงตัวที่เป็นอารมณ์ สิ่งที่จิตรู้ แต่สิ่งที่จิตรู้ สามารถรู้ได้ทางตาก็ได้ รู้ได้ทางใจก็ได้ สิ่งนั้นก็ต้องเป็นรูปารมณ์ ส่วนสัททารมณ์ก็เช่นเดียวกัน เสียง จิตเกิดขึ้นทางโสตทวารรู้เสียง ทางมโนทวารก็สามารถรู้เสียงได้ด้วย สัททารมณ์ก็เป็นสัททารมณ์ คือ รู้ได้ ๒ ทวาร คือ ทางโสตทวาร และทางมโนทวาร

        ผู้ฟัง สรุปแล้ว อารมณ์ที่รู้ทางปสาทรูป ๕ จะรู้ได้ทั้งปัญจทวาร และมโนทวาร เป็นอารมณ์ของทั้ง ๒ ทวาร รู้ได้ ๒ ทางใช่ไหม

        อ.วิชัย แล้วแต่ว่าจะกล่าวถึงอารมณ์ไหน ถ้าเป็นรูปารมณ์ ก็รู้ได้ทางจักขุทวาร และทางมโนทวาร


        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 359


    หมายเลข 12518
    11 ม.ค. 2567