ไม่มีความเห็นผิดว่าเที่ยง


        ผู้ฟัง ถ้าเราเกิดด้วยมหาวิบากที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เราก็จะเข้าใจธรรมจำกัด

        ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิตของคุณอรวรรณเป็นอะไร

        ผู้ฟัง เป็นมหาวิบากค่ะ

        ท่านอาจารย์ เป็นผลของกุศลที่เป็นขั้นกามาวจร ไม่ใช่รูปฌาน อรูปฌาน เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาแล้ว เปลี่ยนได้ไหม

        ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมที่ทำให้เกิดเป็น ๒ ท่านนี่ ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อเป็นอะไร

        ผู้ฟัง ป็นภวังคจิต

        ท่านอาจารย์ เหมือนเดิมเลยไหมคะ ประเภทเดียวกัน สะสมมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น จะเปลี่ยนไม่ได้ จะเอาของคุณสุกัญญาไปแลกกับคุณอรวรรณ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ทุกอย่างที่สะสมมาสืบต่อในจิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้น ลองคิดดูว่า รวดเร็วสักแค่ไหน นามธรรมไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สภาพของจิตที่เป็นกุศล และอกุศลเกิดแล้วสะสมสืบต่อ เพราะฉะนั้นอัธยาศัยก็ต่างกัน แม้ว่าจะเป็นระดับของกามาวจรกุศลที่ทำให้กามาวจรวิบาก หรือที่เราใช้คำว่า “มหาวิบาก” ทำกิจปฏิสนธิ แต่ก็หลากหลายตามการสะสม เมื่อได้สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบัน ภวังคจิตเปลี่ยนหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ไม่เปลี่ยนค่ะ

        ท่านอาจารย์ ยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ต่างจากเดิมหรือเปล่า ด้วยอะไรคะ ต้องเป็นชาติเดียวกัน คือเป็นวิบาก ต้องเป็นภูมิเดียวกัน คือ เป็นกามาวจรวิบาก แต่ต่างกันที่ดับอนุสัยกิเลสที่สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ ทุกขณะ ด้วยโสตาปัตติมรรคจิต

        เพราะฉะนั้น เมื่อโสตาปัตติมรรคจิตเกิดรู้แจ้งนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนั้นดับอนุสัยกิเลสที่เป็นทิฏฐานุสัย และวิจิกิจฉานุสัย ไม่เกิดอีกเลย นี่คือความต่างกันของคำสอนของผู้ตรัสรู้ กับผู้ไม่ได้ตรัสรู้ ถ้าผู้ที่ไม่ได้ตรัสรู้ จะรู้ไหมว่า ขณะนี้แต่ละคนสะสมธรรมฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี ทั้งอาสยะ และอนุสยะมากน้อยแค่ไหน แต่เวลาที่มีปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น สามารถค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง สามารถประจักษ์ธาตุซึ่งเป็นนามธาตุ และรูปธาตุ แสดงให้เห็นว่า ปัญญาขณะนั้นรู้ถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม จนกระทั่งสามารถที่ประจักษ์การเกิดดับเมื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร แม้วิปลาสที่เห็นผิดว่าเป็นตัวตน ว่าเที่ยง ว่างาม ว่าสุข ไม่มีเลย ที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด และจิตที่เกิดสืบต่อที่ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ก็จะไม่มีอัตตา หรืออัตตวิปลาส หรือวิปลาสไม่มี และไม่มีความเห็นผิดว่าเที่ยง หรือว่าเป็นตัวตน แต่ยังมีวิปลาสที่เห็นว่างาม และเป็นสุข สัญญาวิปลาสว่าเที่ยง ไม่มี สัญญาวิปลาสว่าเป็นตัวตน ไม่มี เพราะว่าได้อบรมจนกระทั่งดับเป็นสมุจเฉท แต่วิบากจิตเปลี่ยนไม่ได้เลย ที่ทำปฏิสนธิกิจ ยังต้องเป็นอย่างนั้นไปจนกว่าจะถึงจุติ แต่ถ้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ภวังคจิตก็เป็นภวังคจิตประเภทนั้นแหละแต่ว่าดับกิเลสที่เป็นอนุสัยหมด เมื่ออนุสัยกิเลสดับหมด กิเลสอื่นเกิดไม่ได้เลยทั้งสิ้น

        เพราะฉะนั้นแม้กุศล และอกุศลก็ไม่มี มีแต่กิริยาจิต

        ผู้ฟัง ถ้าเรามาอบรมปัญญา ชวนจิตที่เป็นกุศลก็จะมากกว่าอกุศล และทำให้กิเลสที่พอกอยู่ลดลงไปตามที่เราอบรมเข้าใจ

        ท่านอาจารย์ ทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น แต่ว่าอนุสัยก็ยังคงมีเหมือนเดิม จนกว่าจะถึงโลกุตตรจิตเมื่อไร จึงจะสามารถดับอนุสัยกิเลสได้ตามขั้นของโลกุตตรจิตนั้นๆ

        ผู้ฟัง แต่ต้องเริ่มด้วยการค่อยๆ สะสมกุศล และอกุศลหรือกิเลสของเราก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ

        ท่านอาจารย์ ที่เป็นคุณอรวรรณวันนี้ ก็มาจากการสะสมในแสนโกฏิกัป ที่จะเป็นคุณอรวรรณชาติหน้า ก็สะสมสิ่งที่มีในวันนี้ต่อไปด้วย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 302


    หมายเลข 12250
    27 ม.ค. 2567