เหตุเกิดวิกฤตพระพุทธศาสนา


        คำ ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นวินัย ผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ทั้งพระธรรม และพระวินัย เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความมั่นคงในการเข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทั้งพระธรรม และพระวินัย

        ด้วยเหตุนี้ ก่อนอื่นเพียงแค่คำเดียว ความจริงของสิ่งที่มีจริงแค่นี้ รู้หรือยังถ้ายังไม่รู้ จากโลกนี้ไปก็ไม่รู้อีก มืดตลอดมืดมาในสังสารวัฏ แล้วก็มืดต่อไปแต่เพียงได้ฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้เริ่มมีความเข้าใจขึ้น เหมือนแสงสว่างให้รู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้มีเห็นแน่ๆ และมีได้ยิน

        เพราะฉะนั้น เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง ทั้งวันทุกวัน มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก มีสุขมีทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตรงกับพระธรรมที่ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขาร หมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งขณะนี้ปรากฏต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดไม่มี และการที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดได้ ไม่ใช่ใครบันดาลให้เกิดได้เลย ลองบันดาลให้ปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ซิ ไม่มีใครสามารถจะบันดาลได้ หรือแม้แต่เห็นก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเกิดไม่ได้

        ด้วยเหตุนี้ ชีวิตแต่ละชีวิตของแต่ละคนจึงหลากหลายประมาณไม่ได้เลยเพราะว่าแต่ละหนึ่งคนเป็นแต่ละหนึ่งธรรม สิ่งหนึ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น และก็ดับไป เพราะฉะนั้น ต้องค่อยๆ ฟัง ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง และต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เห็นมีจริง ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น ไม่มีเห็น และถ้าไม่มีตา เห็นไม่ได้เลย และถ้ามีตาแต่ไม่มีสิ่งมากระทบตา อย่างข้างหลัง ก็ไม่มีใครเห็น

        เพราะฉะนั้น แม้แต่หนึ่งขณะของชีวิตซึ่งเห็น ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ถ้าไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่เรา ก็หลงว่าเป็นเรา รักที่สุด คือรักตัวเอง ขวนขวายทุกอย่างเพื่อตัวเอง แต่รู้ไหม ว่าจะจากโลกนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่เต็มไปด้วยความไม่รู้ และ ความความต้องการ และ ความขวนขวาย ซึ่งถ้าไม่รู้ความจริง ความอยากความต้องการถึงกับให้ทำทุจริตต่างๆ ซึ่งเป็นโทษทั้งกับตนเอง และคนอื่นด้วย โดยไม่รู้เลย

        แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ละเอียดยิ่งทุกขณะทุกอย่างตามความเป็นจริง ให้รู้ว่าความถูกต้อง คืออะไร สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ความไม่รู้มีจริงๆ หรือเปล่า ใครบอกว่าไม่มีบ้างไหม ความไม่รู้ ก่อนฟังธรรมก็ไม่รู้ว่าอะไรจริง เห็นจริง ได้ยินจริง หมดแล้ว ดับแล้ว อยู่ไหนไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว เป็นอย่างนี้ตลอดตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นเมื่อสักครู่หมดแล้ว ได้ยินเมื่อสักครู่หมดแล้ว ทุกอย่างผ่านไปแต่ก็ต้องมีปัจจัยที่จะเกิด และความไม่รู้ก็เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถึงเวลาหรือยัง ที่จะได้รู้ความจริง เพราะเหตุว่า ไม่รู้กับรู้ต่างกันมาก

        ด้วยเหตุนี้ คำว่าธรรมไม่ได้บอกว่าคนไม่ได้บอกว่าสิ่งของ แต่ธรรมในภาษาบาลี ในภาษาไทยก็คือ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยขณะนี้ เพราะฉะนั้น แม้แต่ธรรมก็ต้องมีความมั่นคง โกรธ เป็นธรรมหรือเปล่า มีจริงก็เป็นธรรม มานะสำคัญตน มีจริงหรือเปล่า ทุกอย่างทั้งวัน เริ่มเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็หลงโลภ หลงโกรธ หลงไม่รู้ หลงทำทุจริตกรรมต่างๆ ต่อไป แต่ถ้ารู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเลย แล้วก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดับไป มีอะไรบ้างที่ไม่ดับไปไม่หมดไป พิจารณาด้วยตัวเองลองหาสิ เสียงเมื่อสักครู่นี้หมดแล้ว เห็นเดี๋ยวนี้หมด เพราะเหตุว่า มีคนเข้ามาใหม่ข้างหลังเห็นใหม่แล้ว ถ้าใครคนนึงออกจากห้องนี้ไป ก็เห็นอีกแต่ว่าไม่มีคนนั้นแล้ว

        เพราะฉะนั้น มาจากเห็น และก็ความจำต่างๆ และ ความไม่รู้จึงทำให้ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แค่คำว่าธรรมคำเดียว ไตร่ตรองเข้าใจแค่ไหนมั่นคงแค่ไหนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตา คือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตา คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงเลย พูดเท่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้ใครเห็นจริงได้ เพราะว่าการยึดมั่นว่าเป็นเรา และนานแสนนานมาแล้ว

        เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ด้วยเวลาซึ่งเช้า สาย บ่าย ค่ำ เย็น ดึก ก็ยังทรงแสดงธรรมกับเทวดาหรือพรหมที่มาเฝ้า เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ยินคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษาเลย แม้แต่คำชินหูว่า ธรรม เราก็ไม่ได้ไตร่ตรองว่า ธรรม คืออะไร

        เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีความเข้าใจธรรม และวินัย บวชได้ไหม บวชเพื่ออะไร เพราะว่าคนที่เห็นกิเลสของตนเอง คือ ความไม่รู้ ก็จะฟังพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส ในครั้งนั้นผู้ที่ไปฟังพระธรรม ก็มีทั้งคฤหัสถ์ไปเฝ้าฟังธรรม ฟังแล้วต่างกันมากเลยบางคนเป็นพระโสดาบัน เพราะสะสมความรู้ทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะได้ยินบ่อยๆ กี่ภพกี่ชาติจนชิน เพราะฉะนั้น พอได้ยินว่าธรรมทั้งหลาย เขารู้เลย ไม่มีอะไรที่ขณะนี้ไม่ใช่ธรรม เห็นเป็นดอกไม้แต่ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งที่อ่อนแข็ง สีสัน วรรณต่างๆ

    จะเรียกได้ไหมว่าเป็นดอกไม้ ก็ไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงประมาทไม่ได้ ที่จะต้องมีความเคารพจริงๆ มั่นคงในพระรัตนตรัย คือศึกษาทุกคำให้เข้าใจ มิฉะนั้น ก็เป็นอย่างที่ปรากฏในประเทศไทย และทั่วโลกคือไม่ได้มีใครเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมเจ้าตรัส มีแต่คำบอกเล่าของคนอื่น และก็ทำตามซึ่งเป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เคารพในพระรัตนตรัย

        เพราะฉะนั้น ต้องละเอียด และต้องไม่ประมาท และต้องรู้ว่าความเข้าใจเพียงวันนี้ ไม่พอเลย เพราะเหตุว่ายังมีอีกมากที่พระองค์ทรงแสดง ๔๕ พรรษา แต่ทุกคำเป็นความจริง ทุกขณะด้วย เพราะขณะนี้ ก็มีสิ่งที่มีจริงหลากหลายมากก็ ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น มิฉะนั้นก็หวังว่าจะเป็นพระโสดาบัน หวังว่าจะรู้ธรรมใครบอกให้นั่งก็นั่ง ใครบอกให้เดินก็เดิน แล้วรู้อะไร วิกฤตไหม เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่มีเลย ทุกคำของพระองค์เป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้สิ่งซึ่งไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ทั้งๆ ที่ปรากฏทุกวันเป็นความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้น รู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และดำเนินตามรอยพระบาท โดยการเข้าใจธรรมยิ่งขึ้นเพื่อละกิเลส เพราะกิเลสทั้งหมดมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ใครจะหวังว่าจะเป็นพระโสดาบัน จะละกิเลสโดยการนั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง แต่ไม่เข้าใจธรรมเป็นไปได้ไหมลองคิดดู


    หมายเลข 11810
    31 ธ.ค. 2566