เก็บไว้ในหทัย


        ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มีจิต ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น มีธรรมหลากหลายมาก เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปเท่านั้น แต่หลากหลายมากมาย แต่ต้องเข้าใจแต่ละหนึ่ง เช่นจิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธาตุรู้ ก็ต้องตั้งต้นใหม่ ทั้งหมด ตั้งต้นแล้วตั้งตนอีกๆ เพราะเหตุว่า แต่ละวัน ถูกทับถมด้วยเรื่องอื่นมากมาย แม้แต่จิตไม่เคยขาดไปเลย ก็ไม่รู้ อยู่ตรงไหน ก็ไม่รู้ ใช่ไหม

        เพราะฉะนั้น การทบทวนหรือการฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่าจิตมี และจิตเป็นธาตุรู้ จิตเกิดขึ้น ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และก็สิ่งที่ปรากฏให้เกิดความเข้าใจบ้าง หรือว่าเป็นอกุศล กุศลบ้างทั้งหมด ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมสืบต่อในจิตแต่ละขณะนั่นเอง แค่นี้ ก็เท่ากับเราทบทวนสิ่งที่เราฟังมาแล้ว ทุกอย่างที่ได้ฟัง เมื่อสักครู่ฟังว่าเป็นธรรม เก็บไว้ที่ไหน คำนี้ เห็นไหม ก็เก็บไว้ที่จิต เพราะฉะนั้น พอฟังอีก ก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

        เพราะฉะนั้น จิตก็สะสมแม้แต่ความเข้าใจถูก ความเข้าใจผิด ทุกอย่างที่จิตเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้แล้วดับไป ก็สะสมสืบต่อกุศล และอกุศล ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เป็นสังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งไป เพราะฉะนั้น เก็บไว้ที่ไหน ไม่สงสัยเลย ที่เดียวที่เก็บได้ ก็คือ จิต เพราะจิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งเกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ไม่ได้อยู่ที่ผิวหนัง ไม่ได้อยู่ที่ตา ไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่อะไรเลย แต่อยู่ที่ธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับ แม้ดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้สภาพรู้เกิดต่อสืบต่อกัน เพราะฉะนั้น จึงมีทุกอย่าง ที่ได้สะสมไว้ ในจิตขณะก่อนๆ นั่นคือ เก็บไว้ในหทัย

        อ.อรรณพ อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต บทว่า สุตสันนิจโย ได้แก่ผู้สั่งสมสุตตะ ก็สุตตะอันภิกษุใดสั่งสมไว้ในตู้คือ หทัย ย่อมคงอยู่ ดุจรอยจารึกที่ศิลา และดุจมันเหลวราชสีห์ ที่เขาใส่ไว้ในหม้อทองคำ ภิกษุนี้ชื่อว่าสั่งสมสุตตะ

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คงไม่ลืม โครงการของสังสารวัฏ ไม่ใช่แค่วันนี้ เดือนนี้ ๕ เดือน ๑๐ เดือน หรือแค่ชาติหน้า

        อ.อรรณพ ไม่มีใคร ที่จะเข้าไปลักขโมยความเข้าใจในจิตได้เลย

        ท่านอาจารย์ แดดก็ส่องไม่ถึง

        อ.คำปั่น อย่างไรที่จะเข้าใจธรรมสอดคล้องกันทั้งหมด ที่จะไม่หลงทาง ที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ที่จะควรค่าอย่างยิ่ง ที่จะสะสมสืบต่อไปในจิต แต่ละขณะครับ

        ท่านอาจารย์ ก็ฟังแล้ว ก็ต้องไตร่ตรองว่า จริงหรือเปล่า ถูกต้องหรือเปล่าไม่ใช่เชื่อตามๆ กัน จิตมีไหม

        อ.คำปั่น มีครับ

        ท่านอาจารย์ เห็นไหม เขาบอกหรือว่ามีจริงๆ จิตไม่ใช่เรา เป็นธรรม คือ มีจริงๆ จิตเกิดดับหรือเปล่า

        อ.คำปั่น เกิดดับ

        ท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็คือ ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วจะไปเก็บไว้ที่ไหน ความเข้าใจพวกนี้

        อ.คำปั่น ก็เก็บไว้ในหทัย ลึกที่สุด ในที่สุด ที่ไม่มีอะไร ในยิ่งกว่านี้ ก็คือ จิต

        ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่มีใครไปเก็บด้วย เป็นธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อสะสม ปรุงแต่ง ถ้าไม่สะสมไว้ในหทัย ผู้ที่ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ที่คุณอรรณพกล่าวถึงในพระสูตรนี้ ก็คงไม่สามารถที่จะเข้าใจคำของพระองค์ได้ หรือแม้แต่ท่านพระพาหิยะ เพียงได้ฟังไม่กี่คำ แต่อะไรที่สะสมอยู่ในใจ ที่พร้อมที่จะเข้าใจได้ ไม่ลืม เพราะว่าสะสมไว้มากพอที่จะเข้าใจ

        อ.อรรณพ ท่านโมริยะสิวกปริพาชก ท่านต้องมีสิ่งที่เก็บไว้ในหทัยพอเพียงที่จะเมื่อได้ยินพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า รู้ชัดโลภะที่มีอยู่ในภายในไหม หรือว่า รู้ชัดว่า โลภะไม่มีอยู่ในภายใน ก็คือ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

        ท่านอาจารย์ แม้แต่คำก็ต่างกัน รู้ไหม กับ รู้ชัดไหม

        อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น รู้โลภะไหม ตรงตามความเป็นจริงไหม ก็ยัง แล้วรู้ชัดโลภะนี่นะครับ

        ท่านอาจารย์ แล้วยังโลภะ ไม่ใช่เรา ก็ลึกลงไปอีก ว่าแม้เป็นโลภะที่มีก็ไม่ใช่เรา ตอบได้ว่ามีโลภะแต่เป็นเรามีใช่ไหม แต่นี่โลภะไม่ใช่เรา แล้วที่ว่าเป็นเราก็คือโลภะ ถ้าไม่มีโลภะจะเป็นเราหรือไม่ มีความติดข้องแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเรา


    หมายเลข 11785
    31 ธ.ค. 2566