พระธรรมรัตนะ


        พระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว สามารถที่จะทำให้แต่ละคน ได้สะสมความเข้าใจ รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้ว เราก็คงจะไม่ สามารถกล่าวคุณของพระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ มีจริงทุกกาลสมัย ในสมัยก่อน ก็มีการเห็น มีการได้ยิน เหมือนอย่างนี้ และคนในครั้งนั้น มีโอกาสได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรม ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง มีทุกกาลสมัย แต่มีกับความไม่รู้ ไม่เข้าใจมานานแสนนาน แล้วก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เปิดสิ่งที่ถูกปกปิดไว้นาน ไม่ให้ใครได้เข้าใจตามความเป็นจริง จนกว่าคำของพระองค์ทั้งหมด ๔๕ พรรษา จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง มีโอกาสเหมือนเกิดใหม่ ที่ได้รู้จักสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ว่าจะนานแสนนานในสังสารวัฎ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ด้วยเหตุนี้ ประโยชน์สูงสุดของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งความจริงในชาตินี้ เป็นความจริงทุกขณะ ตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ขณะนี้

        เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน หรือว่าเพิ่งเริ่มที่จะได้ยินได้ฟัง และก็สำหรับการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน พอได้ยินคำธรรมดาๆ ก็เกิดความสงสัยว่า คือ อะไร ทั้งๆ ที่กำลังมีในขณะนี้ นี่แสดงให้คนฟังได้รู้สึกตัวว่า ไม่เคยรู้คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ตามความเป็นจริง เช่น เห็น ถ้าเปิดดูในพระไตรปิฏกไม่ว่าจะเสด็จจาริกไปที่ไร ก็มีผู้ที่ทูลถาม เรื่องของสิ่งที่มีในขณะนั้น และพระองค์ก็ตรัสพูดถึงความจริงของสิ่งนั้นจนกระทั่งสามารถเข้าใจ ในขณะนั้นทันที แต่ว่าการที่จะเข้าใจคำที่ลึกซึ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ก็ต้องคิด พระองค์ตรัสคำเดียวกับที่เราพูด แต่ว่าปัญญาห่างกันแค่ไหน

        เพราะฉะนั้น กว่าจะได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถึงคุณค่าที่เปรียบกับสิ่งใดไม่ได้เลย เมื่อได้มีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่รู้มาแสนนาน แล้วก็ได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ หาใช่เป็นอย่างที่คิดไม่ เพราะเหตุว่า คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นบ้าน เห็นมารดาบิดา เห็นมิตรสหาย แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำที่ต้องไตร่ตรอง ว่าเห็นเกิดจึงเห็น และเห็นไม่สามารถจะเป็นอื่นได้เลย นอกจากเป็นเพียงรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้ ฟังอย่างนี้ กว่าจะเข้าใจจริงๆ เฉพาะเห็น เพราะว่า ขณะนี้มีทั้งเห็นด้วย คิดด้วย ได้ยินเสียงด้วย หลายอย่างแล้วก็เป็นรูปร่างสีสันต่างๆ แต่ถ้าไตร่ตรองตามความจริงค่อยๆ พิจารณา เห็นเกิดขึ้นขณะหนึ่ง มีสิ่งหนึ่งปรากฏ ถ้าเพียงหนึ่งขณะจิตนั้นไม่เกิด สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลย นี่ค่ะแต่ละคำๆ เป็นคำธรรมดา ในภาษาของตนๆ แต่กว่าจะเข้าใจได้จริงๆ ว่าความจริงแท้ ก็คือว่า ขณะนี้เอง เห็นเกิดขึ้นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ในขณะที่เห็นแล้วก็หมดไป แต่การหมดไปของสิ่งที่มีในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่า ไม่เคยเข้าใจเลยว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครรู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงแสดงว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่เว้นเลยซักอย่าง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าจะเปรียบเทียบดู สิ่งที่เกิดและดับเร็วมาก ไม่ปรากฏว่าดับ แต่ก็มีสิ่งอื่นที่เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย แนบแน่นสนิทเหมือนกับสิ่งที่ดับไปแล้ว ไม่ได้ดับไป จึงปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั่นคง ไม่เคยปรากฏการเกิดดับเลย

        เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นผู้ที่ได้ฟังคำจริง ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจของตนเอง จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ได้ว่า เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ทุกคำที่เอ่ยถึง กล่าวถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นความกตัญญู เป็นผู้ที่รู้คุณของคำนั้นๆ ที่สามารถที่จะทำให้ความเข้าใจ ซึ่งไม่เคยเกิดมีมาก่อน ได้เกิดมีขึ้น เพราะฉะนั้น คุณของพระธรรมแต่ละคำ ผู้ใดกล่าว หมายความว่า ผู้นั้นรู้คุณของธรรมนั้น

        เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ต้องศึกษากัน บางคนบอกว่าฟังครั้งแรกไม่เข้าใจเลย ฟังเป็นปีๆ บางคนก็บอกว่าหลายปี หรืออย่างไรก็ตาม แม้ตลอดชีวิตก็ยังไม่พอ เพราะรู้ความลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทุกขณะที่เข้าใจ เหมือนยืนอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร มหาสมุทรไม่ใช่ลำธารเล็กๆ ลึกมาก แต่ถ้าไม่หยั่งลงไป จะรู้ไหมว่า ลึกแค่ไหนและถ้าไม่มีปัญญาที่จะหยั่ง ก็หยั่งได้เท่ากับหางกระต่าย หรือว่าจะงอยปากยุง แล้วแต่บุคคล ที่เมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถเข้าใจขึ้น ว่าสิ่งนี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องไปทำอะไรค้นคว้า เหนื่อยยากเลย เพียงแต่ว่า มีแล้วไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมเตชะ ทำให้สามารถเกิดสิ่งซึ่งเหมือนปาฏิหาริย์ จากความไม่รู้ มาเป็นความค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีขึ้น

        เพราะฉะนั้น การสนทนามีในครั้งพุทธกาล เพราะเหตุว่า ต่างคนต่างฟังต่างคนต่างคิด เพราะฉะนั้น ถ้าได้สนทนากัน ก็จะได้พิจารณาสิ่งซึ่งต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างฟังว่า คำใดที่สามารถจะทำให้เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ในมงคล ๓๘ การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะเหตุว่า นำมาซึ่งความเข้าใจขึ้นความถูกต้องยิ่งขึ้น


    หมายเลข 11778
    13 ธ.ค. 2566