จะเศร้าโศกถึงอะไร


        ท่านอาจารย์ เคยทราบว่า ใครตายไปกี่คนบ้าง ยับยั้งได้ไหม ไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ไหม โศกเศร้าเสียดาย หรือว่ารู้ว่าเป็นธรรมดา ก็แล้วแต่ แต่ว่าเราสิ ต้องตาย แน่ๆ เลย แล้วก็คิดถึงแต่ความตายของคนอื่น แล้วตัวเองจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น การฟังไม่ว่าเรื่องการเกิด การตาย หรือเรื่องธรรมทั้งหมด ก็เพื่อมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีเรา แต่ว่ามีธรรม ซึ่งเกิดขึ้น และต้องเป็นไป ซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ได้

        เพราะฉะนั้น จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง คิดว่าเป็นเรา แต่ละชาติ แต่ความจริงก็เป็นธรรมทั้งหมด ที่เป็นฝ่ายดีบ้าง หรือฝ่ายไม่ดีบ้าง และก็มีผลของกรรม เพราะฉะนั้น ชาติหนึ่ง ก็คือว่า มีการเกิดเป็นผลของกรรม แล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็จำแล้วก็คิดนึก ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงบังคับบัญชาได้เลย แล้วแต่ว่า สิ่งที่มีถูกเปิดเผย ให้เข้าใจความจริง มากน้อยแค่ไหน ถ้ายังปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ก็นำมาซึ่งความโศกเศร้า ในสิ่งที่ไม่มี ถ้าคิดลึกๆ ปัญญาก็สามารถที่จะค่อยๆ คลายความติดข้อง ด้วยความไม่รู้ เพราะว่า ความจริงแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่ว่าเวลาไหนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะเวลาจากโลกนี้ไป แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้น คำไหนที่เป็นคำจริง คำนั้นสมควรอย่างยิ่ง ที่จะได้ประจักษ์แจ้ง ในวันนึง เพราะว่า ทั้งๆ ที่ขณะนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ปัญญาไม่พอ ที่จะเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มี หมายความว่า สิ่งที่ไม่มีแล้วเกิดมี เพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไปไม่กลับอีก ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน

        เพราะฉะนั้น สุญญตา สิ่งที่มีขณะนี้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน หรือว่าว่างเปล่า จากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าใคร ไม่ว่าอะไรทั้งหมด จะป็นรูปธรรมก็ว่างเปล่า จากที่เคยยึดถือ ว่าเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นแม่น้ำ เป็นภูเขา เพราะเหตุว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ไม่ให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ บังคับบัญชาก็ไม่ได้

        เพราะฉะนั้น ที่จะหมดจากความโศกเศร้า ความไม่รู้ ความติดข้อง กุศล และอกุศลทั้งหลาย ก็ด้วยการรู้ความจริง ว่าแม้แต่เราก็ไม่มี ถ้ายังมีอยู่ ก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะคนอื่นที่จากไป หรือว่าเพราะตัวเรา ที่จะต้องจากไป แต่ถ้าไม่มีก็คือว่าเป็นธรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เห็นก็ตามเหตุตามปัจจัย เห็นแล้วคิดอะไร ฟังอะไร เป็นยังไงก็ตามเหตุตามปัจจัย

        เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมประเสริฐสุด เพราะเหตุว่า จากสังสารวัฏ ซึ่งมืดสนิทแล้วก็สุขทุกข์มาด้วยการเป็นคนนั้นบ้าง เป็นคนนี้บ้าง มีผู้ที่เป็นที่รักจากไปนับไม่ถ้วนในแต่ละชาติ ชาตินี้ก็ต้องมีอีก แค่นี้ไม่พอ ต้องมีอีกแน่นอน แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ว่าเป็นธรรมดา ก็เกิดแล้วทั้งนั้น คนที่จากไป เกิดแล้วทั้งนั้น แล้วจะทุกข์โศกอะไร

        อ.อรรณพ เราก็จะเศร้าโศกถึงคนที่จากไป แต่ทำไมท่านอาจารย์ถึงกล่าวว่า ถ้าจะไปเศร้าโศกถึงบุคคลที่จากไป ก็น่าจะเศร้าโศกถึงนามรูป ที่เกิดแล้วดับไปตอนนี้

        ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะความจริงอะไรจากไป กำลังจากไปทุกขณะ แล้วไม่มีเรา นี่แหละ สำคัญที่สุด ถ้าตราบใดยังมีเรา ก็มีเขา ใช่ไหม มีผู้ที่เป็นที่รัก มีผู้ที่เป็นที่ชัง มีเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่าไม่มี แล้วก็มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพียงแค่ปรากฏแสนสั้น และก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย เป็นอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะได้ฟังธรรม และมีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่ต้องมีธรรมแน่นอน เพราะอะไร เดี๋ยวนี้ธรรมทั้งนั้น แต่ละหนึ่งๆ เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ของใครแล้วก็มีปัจจัย จึงเกิดได้ เกิดแล้วก็ไม่ยั่งยืน เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด ต้องไม่มีเรา จึงจะรู้ว่าไม่มีเขา และไม่มีใคร ทั้งหมดเป็นแต่เพียงธรรม


    หมายเลข 11771
    16 ธ.ค. 2566